วันนี้(24 ก.ค.49)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันที่ 15 ตุลาคมที่จะถึงนี้ว่า ความจริงก็ไม่ต่างกันที่สุดแล้วก็จะเป็นเรื่องของการตอบสนองประชาชนแล้วก็ในส่วนของการเลือกตั้งใหญ่นโยบายวาระประชาชนที่ทำอยู่ก็คือการยืนยันว่าประชาชนต้องมาก่อนพยายามทำทุกอย่างที่จะแก้ไขปัญหาโดยเร็วไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสงบเรียบร้อยไปจนถึงปัญหาสังคมต่างๆ
ส่วนกรณีที่สวนดุสิตโพลมีผลสำรวจว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ควรจะลาออก 57.23% และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่าควรจะสรรหา กกต.เพิ่มให้ครบ 5 คนพร้อมทั้งให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องของความรู้สึกของประชาชนคือ อยากเห็นทุกอย่างเดินไปได้ด้วยดี เพราะฉะนั้นอะไรที่จะช่วยคลี่คลายความตึงเครียดความขัดแย้งได้ก็คงอยากจะเห็น และกรณีของ กกต.นั้นตนคิดว่าเป็นเพียงการดำเนินการตามคำแนะนำของศาล
“การเลือกตั้งเราก็พูดกันมาตลอดว่าเราคิดว่าหนทางคลี่คลายวิกฤติมันต้องกลับไปสู่การมีการเลือกตั้ง การมีสภาการมีรัฐบาลตั้องเป็นไปด้วยความชอบธรรมแล้วผมคิดว่ากระแสพระราชดำรัสลงมาพร้อมๆกับพระราชกฤษฎีกาพระองค์ท่านก็ได้ทรงย้ำในเรื่องการบริสุทธิ์ยุติธรรม ผมคิดว่าคนไทยทั้งประเทศก็อยากจะรวมใจให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอะไรก็ที่จะนำไปสู่จุดนั้นได้อะไรก็ต้องทำ ในส่วนของพรรคได้ตั้งสมมติฐานว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมมาโดยตลอด ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายวาระประชาชน จะทยอยนำเสนอซึ่งบางส่วนก็ได้ประกาศไปแล้ว แต่ว่าการที่จะประกาศอย่างเป็นทางการก็ต้องมีการเสนอนโยบายทั้งหมด ซึ่งคาดว่าตั้งแต่ประมาณปลายสัปดาห์นี้ต้นสัปดาห์หน้าก็จะมีการนำเสนอเป็นรูปธรรมออกมา
“ผมคิดว่าขณะนี้สิ่งที่บ้านเมืองต้องการสำคัญก็คือ ทำอย่างไรเรากลับไปสู่ความปรองดอง ซึ่งผมคิดว่าไม่มีอะไรดีกว่าที่รัฐบาลซื่อสัตย์และรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายเพื่อที่จะให้ทุกคนเชื่อมั่นและศรัทธาในกระบวนการทางการเมืองอันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะหลอมรวมทั้งจิตใจและพลังของคนทั้งประเทศ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเรื่องของเศรษฐกิจซึ่งไม่ได้มีผลเพียงปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า แต่ว่าความสามารถของเรื่องเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งผมก็ได้ประกาศไปแล้วว่า การลงทุนที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของคน เพราะฉะนั้นในเรื่องนโยบายของการศึกษาและก็การเตรียมความพร้อมให้คนเพื่อเป็นความพร้อมให้คนเพื่อเตรียมความพร้อมให้เศรษฐกิจก็สำคัญ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และปัญหาระยะยาว ส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจคือความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ไปมองเพียงเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ซึ่งตนคิดว่าในปัจจุบันอัตราการขยายตัวไปได้ แต่ความเป็นธรรมจะมีผลหลายเรื่อง ตนเชื่อว่าถ้าให้ความเป็นธรรมกับเศรษฐกิจการขจัดการผูกขาดจะช่วยลดทั้งราคาน้ำมัน และราคาก๊าซหุงต้ม ทั้งค่าไฟรวมถึงว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้ผู้ใช้แรงงานด้วย
“ผมคิดว่ารัฐบาลที่ซื่อสัตย์ รัฐบาลที่รับฟังความเห็นทุกฝ่ายรัฐบาลที่ยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเหนือสิ่งอื่นใดคือสิ่งที่ประเทศชาติต้องการที่สุด ถ้าเกิดบอกว่าเป็นรัฐบาลแห่งชาติในความหมายว่าเพียงทุกพรรคมาเป็นรัฐบาลโดยเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ก.ค. 2549--จบ--
ส่วนกรณีที่สวนดุสิตโพลมีผลสำรวจว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ควรจะลาออก 57.23% และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่าควรจะสรรหา กกต.เพิ่มให้ครบ 5 คนพร้อมทั้งให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องของความรู้สึกของประชาชนคือ อยากเห็นทุกอย่างเดินไปได้ด้วยดี เพราะฉะนั้นอะไรที่จะช่วยคลี่คลายความตึงเครียดความขัดแย้งได้ก็คงอยากจะเห็น และกรณีของ กกต.นั้นตนคิดว่าเป็นเพียงการดำเนินการตามคำแนะนำของศาล
“การเลือกตั้งเราก็พูดกันมาตลอดว่าเราคิดว่าหนทางคลี่คลายวิกฤติมันต้องกลับไปสู่การมีการเลือกตั้ง การมีสภาการมีรัฐบาลตั้องเป็นไปด้วยความชอบธรรมแล้วผมคิดว่ากระแสพระราชดำรัสลงมาพร้อมๆกับพระราชกฤษฎีกาพระองค์ท่านก็ได้ทรงย้ำในเรื่องการบริสุทธิ์ยุติธรรม ผมคิดว่าคนไทยทั้งประเทศก็อยากจะรวมใจให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอะไรก็ที่จะนำไปสู่จุดนั้นได้อะไรก็ต้องทำ ในส่วนของพรรคได้ตั้งสมมติฐานว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมมาโดยตลอด ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายวาระประชาชน จะทยอยนำเสนอซึ่งบางส่วนก็ได้ประกาศไปแล้ว แต่ว่าการที่จะประกาศอย่างเป็นทางการก็ต้องมีการเสนอนโยบายทั้งหมด ซึ่งคาดว่าตั้งแต่ประมาณปลายสัปดาห์นี้ต้นสัปดาห์หน้าก็จะมีการนำเสนอเป็นรูปธรรมออกมา
“ผมคิดว่าขณะนี้สิ่งที่บ้านเมืองต้องการสำคัญก็คือ ทำอย่างไรเรากลับไปสู่ความปรองดอง ซึ่งผมคิดว่าไม่มีอะไรดีกว่าที่รัฐบาลซื่อสัตย์และรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายเพื่อที่จะให้ทุกคนเชื่อมั่นและศรัทธาในกระบวนการทางการเมืองอันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะหลอมรวมทั้งจิตใจและพลังของคนทั้งประเทศ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเรื่องของเศรษฐกิจซึ่งไม่ได้มีผลเพียงปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า แต่ว่าความสามารถของเรื่องเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งผมก็ได้ประกาศไปแล้วว่า การลงทุนที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของคน เพราะฉะนั้นในเรื่องนโยบายของการศึกษาและก็การเตรียมความพร้อมให้คนเพื่อเป็นความพร้อมให้คนเพื่อเตรียมความพร้อมให้เศรษฐกิจก็สำคัญ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และปัญหาระยะยาว ส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจคือความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ไปมองเพียงเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ซึ่งตนคิดว่าในปัจจุบันอัตราการขยายตัวไปได้ แต่ความเป็นธรรมจะมีผลหลายเรื่อง ตนเชื่อว่าถ้าให้ความเป็นธรรมกับเศรษฐกิจการขจัดการผูกขาดจะช่วยลดทั้งราคาน้ำมัน และราคาก๊าซหุงต้ม ทั้งค่าไฟรวมถึงว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้ผู้ใช้แรงงานด้วย
“ผมคิดว่ารัฐบาลที่ซื่อสัตย์ รัฐบาลที่รับฟังความเห็นทุกฝ่ายรัฐบาลที่ยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเหนือสิ่งอื่นใดคือสิ่งที่ประเทศชาติต้องการที่สุด ถ้าเกิดบอกว่าเป็นรัฐบาลแห่งชาติในความหมายว่าเพียงทุกพรรคมาเป็นรัฐบาลโดยเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ก.ค. 2549--จบ--