กรุงเทพ--15 ก.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2549 กระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว ดังนี้
1. การเดินทางไปเยือนกัมพูชาของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2549 มีวัตถุประสงค์ประการหนึ่งเพื่อไปหารือและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการสำรวจการปักปันเขตแดนทางบกตามที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้ในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543 และติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาร่วมในพื้นที่ไหล่ทวีปที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนกัน ตามบันทึกความเข้าใจฯ ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ตามที่รัฐบาลได้เคยแถลงข่าวไปแล้ว
2. ในการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดเลย เนื่องจากยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยมาโดยตลอด
3. ตามบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ไทยและกัมพูชาจะดำเนินการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลเหนือเส้นละติจูดที่ 11 ไปพร้อมกับเจรจาเพื่อจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ ซึ่งจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ข้อยุติสำหรับเส้นเขตทางทะเลเหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือแล้ว
4. การเจรจาจัดทำความตกลงพัฒนาร่วมในพื้นที่ทับซ้อนใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ มิได้มีผลเป็นการยอมรับเส้นเขตทางทะเลในพื้นที่ดังกล่าวเพราะการที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะเจรจาเพื่อจัดตั้งเขตพัฒนาร่วมในพื้นที่ทับซ้อนก็เนื่องจากยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับเส้นแบ่งเขตทางทะเลในบริเวณดังกล่าวได้ จึงเจรจาทำความตกลงเพื่อร่วมกันพัฒนาในพื้นที่ทับซ้อนเป็นการชั่วคราว ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิในเส้นเขตทางทะเลที่ทั้งสองฝ่ายจะเจรจาตกลงกันต่อไปในอนาคต
5. สำหรับบทความในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับประจำวันที่ 14 กันยายน 2549 ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวอ้างว่าไทยกำลังเสียบ้านร่มเกล้าฯ เพื่อแลกกับการย้ายองศาดาวเทียมไทยคมนั้น กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจงว่า การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-ลาว ดำเนินไปภายใต้กรอบกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-ลาว ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธาน และดำเนินการโดยใช้วิธีสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตลอดแนวระหว่างกัน ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-ลาวในภาพรวม บนพื้นฐานของสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส แผนที่และเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คณะกรรมาธิการดังกล่าวได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม ซึ่งได้
จัดส่งชุดสำรวจร่วมไทย-ลาว ไปปฏิบัติหน้าที่สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในภูมิประเทศ ปัจจุบันสามารถดำเนินการไปได้กว่าร้อยละ 90 ของเขตแดนทางบกแล้ว (ยังไม่มีข้อสรุปในกรณีบ้านร่มเกล้าแต่อย่างใด) ซึ่งนับเป็นความร่วมมือที่ดียิ่งระหว่างไทยกับลาวในการแก้ไขปัญหาเขตแดนระหว่างกัน
ทั้งนี้ การเจรจาและการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-ลาว ภายใต้กรอบกรรมาธิการดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกคณะกรรมาธิการฯ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่ควบคุมกิจการดาวเทียม หรือหน่วยงานอื่นใดทั้งสิ้น และไม่เคยมีการหยิบยกเรื่องดาวเทียมมาเกี่ยวข้องกับการเจรจาด้านเขตแดนแต่อย่างใด
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2549 กระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว ดังนี้
1. การเดินทางไปเยือนกัมพูชาของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2549 มีวัตถุประสงค์ประการหนึ่งเพื่อไปหารือและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการสำรวจการปักปันเขตแดนทางบกตามที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้ในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543 และติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาร่วมในพื้นที่ไหล่ทวีปที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนกัน ตามบันทึกความเข้าใจฯ ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ตามที่รัฐบาลได้เคยแถลงข่าวไปแล้ว
2. ในการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดเลย เนื่องจากยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยมาโดยตลอด
3. ตามบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ไทยและกัมพูชาจะดำเนินการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลเหนือเส้นละติจูดที่ 11 ไปพร้อมกับเจรจาเพื่อจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ ซึ่งจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ข้อยุติสำหรับเส้นเขตทางทะเลเหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือแล้ว
4. การเจรจาจัดทำความตกลงพัฒนาร่วมในพื้นที่ทับซ้อนใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ มิได้มีผลเป็นการยอมรับเส้นเขตทางทะเลในพื้นที่ดังกล่าวเพราะการที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะเจรจาเพื่อจัดตั้งเขตพัฒนาร่วมในพื้นที่ทับซ้อนก็เนื่องจากยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับเส้นแบ่งเขตทางทะเลในบริเวณดังกล่าวได้ จึงเจรจาทำความตกลงเพื่อร่วมกันพัฒนาในพื้นที่ทับซ้อนเป็นการชั่วคราว ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิในเส้นเขตทางทะเลที่ทั้งสองฝ่ายจะเจรจาตกลงกันต่อไปในอนาคต
5. สำหรับบทความในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับประจำวันที่ 14 กันยายน 2549 ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวอ้างว่าไทยกำลังเสียบ้านร่มเกล้าฯ เพื่อแลกกับการย้ายองศาดาวเทียมไทยคมนั้น กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจงว่า การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-ลาว ดำเนินไปภายใต้กรอบกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-ลาว ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธาน และดำเนินการโดยใช้วิธีสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตลอดแนวระหว่างกัน ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-ลาวในภาพรวม บนพื้นฐานของสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส แผนที่และเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คณะกรรมาธิการดังกล่าวได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม ซึ่งได้
จัดส่งชุดสำรวจร่วมไทย-ลาว ไปปฏิบัติหน้าที่สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในภูมิประเทศ ปัจจุบันสามารถดำเนินการไปได้กว่าร้อยละ 90 ของเขตแดนทางบกแล้ว (ยังไม่มีข้อสรุปในกรณีบ้านร่มเกล้าแต่อย่างใด) ซึ่งนับเป็นความร่วมมือที่ดียิ่งระหว่างไทยกับลาวในการแก้ไขปัญหาเขตแดนระหว่างกัน
ทั้งนี้ การเจรจาและการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-ลาว ภายใต้กรอบกรรมาธิการดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกคณะกรรมาธิการฯ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่ควบคุมกิจการดาวเทียม หรือหน่วยงานอื่นใดทั้งสิ้น และไม่เคยมีการหยิบยกเรื่องดาวเทียมมาเกี่ยวข้องกับการเจรจาด้านเขตแดนแต่อย่างใด
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-