กรุงเทพ--26 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
สรุปสาระสำคัญการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2549 ณ ห้องประชุมกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันพุธที่ 20 ธ.ค. 2549 นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่างๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร - สะหวันนะเขต)
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปทรงเป็นประธานประกอบพิธีเปิดสะพานมิตรภาพ 2 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดมุกดาหารของไทยและแขวง สะหวันนะเขตของ สปป.ลาว ร่วมกับ ฯพณฯ นายบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศแห่ง สปป.ลาว และมีบุคคลสำคัญอีกหลายท่านร่วมพิธีดังกล่าว ประกอบด้วยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว นายเหวียน เติน ซุง (Mr. Nguyen Tan Dung) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งมีกำหนดการจะเดินทางเยือนไทยต่อไปหลังจากพิธีเปิดสะพาน นาย Katsuhito Asano รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น นาย Kozo Yamamoto รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าญี่ปุ่น แขกรับเชิญ คณะทูต และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมพิธีบนสะพานกว่า 1,000 คน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์แนบแน่นและใกล้ชิดกันระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และมิตรประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
หลังจากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ข้ามไปยังฝั่งลาวตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลลาว เพื่อทรงเยี่ยมชมกิจการโรงเรียนสาธารณสุขแขวงสะหวันนะเขต ซึ่งเป็นสถานศึกษาสำหรับผลิตพยาบาลของลาว หลังจากนั้น นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว เป็นเจ้าภาพถวายเลี้ยงพระกระยาหารกลางวันอย่างเป็นทางการ ณ อาคารด่านชายแดนสะพานมิตรภาพ 2
สะพานมิตรภาพ 2 เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญอย่างมากที่จะเชื่อม East-West Economic Corridor ซึ่งถือว่าเป็นความใฝ่ฝันของผู้นำและประชาชนในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลานาน ซึ่งเมื่อมีสะพานเส้นนี้ก็สามารถเชื่อมเวียดนามที่เมืองดานัง มายังสะหวันนะเขต และข้ามแม่น้ำโขงมาประเทศไทยที่จังหวัดมุกดาหาร และสามารถผ่านไปยังฝั่งตะวันตกที่ชายแดนไทย-พม่า ที่อำเภอแม่สอดและเมืองเมียวดี ก่อนไปสิ้นสุดที่เมืองมะละแหม่งของพม่า ตัวสะพานมีความยาวประมาณ 1,600 เมตร แต่ถ้านับคอสะพานด้วยก็จะมีระยะรวมประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ ซึ่งถือเป็นสะพานที่ยาวและใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก นอกจากการไปมาหาสู่ของประชาชนทั่วไปแล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการค้า การลงทุน และท่องเที่ยว และเป็นตัวอย่างที่สำคัญที่จะให้ความสัมพันธ์และความร่วมมือในลักษณะ 3 เส้า ออกมามีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้ในโครงการในลักษณะเดียวกันหรือโครงสร้างพื้นฐานในลักษณะเดียวกันใน ปท.อื่นๆ โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือ ACMECS (ไทย ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม)
การสร้างและพัฒนาเครือข่ายถือเป็นหัวใจหลักประการหนึ่งของนโยบายต่างประเทศในปัจจุบันที่พยายามผลักดันเรื่องเครือข่ายซึ่งไม่เพียงแต่ทางบก แต่ยังรวมทางน้ำและทางอากาศด้วย ซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่นำไปสู่ความร่วมมือในกรอบต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวหรือแม้แต่ในกรอบของสังคมวัฒนธรรม ซึ่งจะอยู่ที่การติดต่อในระดับประชาชนเป็นสำคัญ คาดว่าคงจะมีข่าวดีเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ท่านนายกฯ และ รมว.กต. คงจะได้ใช้ประโยชน์จากสะพานนี้ในการกระชับความสัมพันธ์ในภูมิภาคต่อไปทั้งในกรอบ ACMECS ASEAN หรือแม้แต่ BIMSTEC
2.การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม
นายเหวียน เติน ซุง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยจะเดินทางถึงท่าอากาศยานกองบัญชาการกองทัพอากาศ ในวันที่ 20 ธ.ค. 2549 เวลา 15.30 น. หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นำนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และในช่วงเย็นจะมีพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ ทำเนียบรัฐบาล และต่อด้วยการหารือข้อราชการเต็มคณะ
เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นทุเรียน ดังนั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจะมอบเงินบริจาคจากรัฐบาลไทยให้แก่ประชาชนเวียดนามที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวจำนวน 50,000.- ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้น จะมีการหารือเต็มคณะระหว่าง 2 ฝ่าย และจะมีการลงนามในประกาศร่วมเกี่ยวกับเอกสาร Thai-Vietnam Joint Strategy for Economic Partnership ซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับเวียดนาม และเอกสาร Thailand-Vietnam Security Outlook ซึ่งเป็นการประสานมุมมองและวิสัยทัศน์ด้านความมั่นคง
ทั้งสองฝ่ายจะใช้เอกสารนี้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาความร่วมมือสองฝ่ายอย่างต่อเนื่องต่อไป เรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นยุทธศาสตร์ทวิภาคีแต่ก็จะส่งผลประโยชน์ต่อประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย และจะแนวทางการพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกันของการเป็นประชาคมอาเซียนในที่สุด
3 สำนักงาน USAID เชิญชวนนักธุรกิจไทยส่งสินค้าต่างๆ ให้โครงการของ USAID ที่ปากีสถาน
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน ว่า สำนักงานให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา หรือ USAID (United States Agency for International Development) ประจำปากีสถาน ได้แจ้งมายังสถานเอกอัครราชทูตฯ ขอให้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักธุรกิจที่สนใจทำธุรกิจกับ USAID โดยการจัดหาสินค้า อุปกรณ์เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามความต้องการของ USAID เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวในปากีสถาน ซึ่งสินค้ามีหลายประเภทได้แก่ สินค้าด้านปศุศัตว์ เช่น เป็ด ไก่ สัตว์ปีก วัวควาย ยารักษาโรคสัตว์และอุปกรณ์สัตวแพทย์ เครื่องมือชุดฉีดวัคซีนสัตว์ เครื่องมือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น สินค้าด้านการเกษตร เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช กล้าไม้ อุปกรณ์การเกษตร วัสดุก่อสร้าง เช่น ชุดเครื่องมือสำหรับช่างไม้ ช่างก่อสร้าง ช่างประปา ช่างไฟฟ้า เครื่องเชื่อมโลหะ เป็นต้น สำหรับผู้ที่สนใจจะเป็นผู้จัดหา (Suppliers) จะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดซื้อจัดหาของ USAID
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ของ USAID และสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง e-mail: hr@cntapakistan.org
4. การเจรจา 6 ฝ่ายรอบใหม่เกี่ยวกับคาบสมุทรเกาหลี
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้กลับสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้งหนึ่งเมื่อ 18 ธ.ค. 49 ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพที่กรุงปักกิ่ง โดยจะมีการเจรจา 6 ฝ่ายและการเจรจาคู่ขนานในประเด็นต่างๆ ที่จะนำไปสู่ข้อยุติปัญหาในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งทางการไทยมีความยินดีที่เวทีนี้ได้กลับมามีบทบาทสำคัญในการที่จะนำประเด็นต่างๆ กลับมาสู่การเจรจา ไทยเชื่อมั่นและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเจรจาจะช่วยนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกด้วย ไทยเข้าใจว่าประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีความซับซ้อนพอสมควร แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายจะใช้ความอดทนและความพยายามในการเจรจาเพื่อให้การประชุมบรรลุผลอันเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคในระยะยาวและอย่างถาวรต่อไป
ประเด็นคำถาม
1) การประชุม ASEAN Summit จะจัดขึ้นเมื่อไหร่
คาดว่าเป็นช่วงวันที่ 11-15 มกราคม 2550 ซึ่งจะจัดที่เมืองเซบูเหมือนเดิม แต่ต้องรอการยืนยันอีกครั้งหนึ่งจากทางการฟิลิปปินส์
2) รายงานคนไทยตกทุกข์ได้ยาก
เกิดเหตุอาคารถล่มในไต้หวัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน เป็นแรงงานไทย 1 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 1 คน ซึ่งทาง สนง. เศรษฐกิจการค้าของไทยที่กรุงไทเปได้ประสานกับฝ่ายไต้หวันเพื่อให้ความช่วยเหลือแล้ว โดยผู้เสียชีวิตจะได้รับสิทธิ์ประโยชน์ที่พึงได้และเป็นธรรม ในชั้นนี้ มีการจ่ายเงินทำขวัญเบื้องต้น 500,000 เหรียญไต้หวันในกรณีเสียชีวิต และ 200,000 เหรียญไต้หวันในกรณีบาดเจ็บ ทั้งนี้ ได้แจ้งให้ญาติผู้เสียชีวิตทราบแล้ว
3) ท่าที ASEAN ในเรื่องเกาหลีเหนือ
อาเซียนต้องการให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และอยากให้การดำเนินการแก้ไขในกรอบการเจรจา 6 ฝ่าย บรรลุข้อยุติที่ยั่งยืน และนำไปสู่การปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเอเชียตะวันออก อาเซียน และเอเชีย-แปซิฟิกโดยตรง อาเซียนได้พยายามสนับสนุนการแก้ไขปัญหามาโดยตลอด โดยเฉพาะในกรอบ ARF ซึ่งมีประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมประชุมด้วยในระดับ รมว.กต. ดังนั้น ทั้ง 6 ประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงสามารถใช้โอกาสที่ไปพบกันใน ARF หารือนอกรอบหรือสามารถให้ ARF ให้การสนับสนุนในประเด็นใดประเด็นหนึ่งได้
4) ข่าวเกี่ยวกับการเปิดเจรจากับกลุ่มป่วนใต้ที่บรูไนฯ
ประเด็นที่หนึ่ง กต.ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องข้อเสนอที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการเรียกประเด็นดังกล่าวว่าเป็นการเจรจา ปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องภายในประเทศ ทางรัฐบาลเปิดให้มีอะไรก็ตามที่จะเป็นช่องทางที่นำไปสู่สันติภาพและความสมานฉันท์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไม่ได้เป็นการเจรจาแบบ peace negotiation ประเด็นที่สอง เรารับทราบความปรารถนาดี และความพร้อมที่จะสนับสนุนและสร้างสันติสุขและความสมานฉันท์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ประเด็นที่สาม รัฐบาล และ กต.พอใจกับความร่วมมือที่ได้รับจากทางการมาเลเซียในทุกระดับ ทั้งในระดับท้องถิ่นและหน่วยงานกลางที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และต้องขอขอบคุณ ออท. ณ กรุงกัวลัมเปอร์ กสญ.ณ เมืองโกตาบารู และกงสุลกิติมศักดิ์ที่เมืองลังกาวี ที่ทำให้เราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากฝ่ายมาเลเซียมาโดยตลอด
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
สรุปสาระสำคัญการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2549 ณ ห้องประชุมกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันพุธที่ 20 ธ.ค. 2549 นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่างๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร - สะหวันนะเขต)
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปทรงเป็นประธานประกอบพิธีเปิดสะพานมิตรภาพ 2 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดมุกดาหารของไทยและแขวง สะหวันนะเขตของ สปป.ลาว ร่วมกับ ฯพณฯ นายบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศแห่ง สปป.ลาว และมีบุคคลสำคัญอีกหลายท่านร่วมพิธีดังกล่าว ประกอบด้วยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว นายเหวียน เติน ซุง (Mr. Nguyen Tan Dung) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งมีกำหนดการจะเดินทางเยือนไทยต่อไปหลังจากพิธีเปิดสะพาน นาย Katsuhito Asano รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น นาย Kozo Yamamoto รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าญี่ปุ่น แขกรับเชิญ คณะทูต และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมพิธีบนสะพานกว่า 1,000 คน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์แนบแน่นและใกล้ชิดกันระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และมิตรประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
หลังจากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ข้ามไปยังฝั่งลาวตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลลาว เพื่อทรงเยี่ยมชมกิจการโรงเรียนสาธารณสุขแขวงสะหวันนะเขต ซึ่งเป็นสถานศึกษาสำหรับผลิตพยาบาลของลาว หลังจากนั้น นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว เป็นเจ้าภาพถวายเลี้ยงพระกระยาหารกลางวันอย่างเป็นทางการ ณ อาคารด่านชายแดนสะพานมิตรภาพ 2
สะพานมิตรภาพ 2 เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญอย่างมากที่จะเชื่อม East-West Economic Corridor ซึ่งถือว่าเป็นความใฝ่ฝันของผู้นำและประชาชนในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลานาน ซึ่งเมื่อมีสะพานเส้นนี้ก็สามารถเชื่อมเวียดนามที่เมืองดานัง มายังสะหวันนะเขต และข้ามแม่น้ำโขงมาประเทศไทยที่จังหวัดมุกดาหาร และสามารถผ่านไปยังฝั่งตะวันตกที่ชายแดนไทย-พม่า ที่อำเภอแม่สอดและเมืองเมียวดี ก่อนไปสิ้นสุดที่เมืองมะละแหม่งของพม่า ตัวสะพานมีความยาวประมาณ 1,600 เมตร แต่ถ้านับคอสะพานด้วยก็จะมีระยะรวมประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ ซึ่งถือเป็นสะพานที่ยาวและใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก นอกจากการไปมาหาสู่ของประชาชนทั่วไปแล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการค้า การลงทุน และท่องเที่ยว และเป็นตัวอย่างที่สำคัญที่จะให้ความสัมพันธ์และความร่วมมือในลักษณะ 3 เส้า ออกมามีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้ในโครงการในลักษณะเดียวกันหรือโครงสร้างพื้นฐานในลักษณะเดียวกันใน ปท.อื่นๆ โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือ ACMECS (ไทย ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม)
การสร้างและพัฒนาเครือข่ายถือเป็นหัวใจหลักประการหนึ่งของนโยบายต่างประเทศในปัจจุบันที่พยายามผลักดันเรื่องเครือข่ายซึ่งไม่เพียงแต่ทางบก แต่ยังรวมทางน้ำและทางอากาศด้วย ซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่นำไปสู่ความร่วมมือในกรอบต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวหรือแม้แต่ในกรอบของสังคมวัฒนธรรม ซึ่งจะอยู่ที่การติดต่อในระดับประชาชนเป็นสำคัญ คาดว่าคงจะมีข่าวดีเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ท่านนายกฯ และ รมว.กต. คงจะได้ใช้ประโยชน์จากสะพานนี้ในการกระชับความสัมพันธ์ในภูมิภาคต่อไปทั้งในกรอบ ACMECS ASEAN หรือแม้แต่ BIMSTEC
2.การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม
นายเหวียน เติน ซุง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยจะเดินทางถึงท่าอากาศยานกองบัญชาการกองทัพอากาศ ในวันที่ 20 ธ.ค. 2549 เวลา 15.30 น. หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นำนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และในช่วงเย็นจะมีพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ ทำเนียบรัฐบาล และต่อด้วยการหารือข้อราชการเต็มคณะ
เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นทุเรียน ดังนั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจะมอบเงินบริจาคจากรัฐบาลไทยให้แก่ประชาชนเวียดนามที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวจำนวน 50,000.- ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้น จะมีการหารือเต็มคณะระหว่าง 2 ฝ่าย และจะมีการลงนามในประกาศร่วมเกี่ยวกับเอกสาร Thai-Vietnam Joint Strategy for Economic Partnership ซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับเวียดนาม และเอกสาร Thailand-Vietnam Security Outlook ซึ่งเป็นการประสานมุมมองและวิสัยทัศน์ด้านความมั่นคง
ทั้งสองฝ่ายจะใช้เอกสารนี้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาความร่วมมือสองฝ่ายอย่างต่อเนื่องต่อไป เรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นยุทธศาสตร์ทวิภาคีแต่ก็จะส่งผลประโยชน์ต่อประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย และจะแนวทางการพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกันของการเป็นประชาคมอาเซียนในที่สุด
3 สำนักงาน USAID เชิญชวนนักธุรกิจไทยส่งสินค้าต่างๆ ให้โครงการของ USAID ที่ปากีสถาน
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน ว่า สำนักงานให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา หรือ USAID (United States Agency for International Development) ประจำปากีสถาน ได้แจ้งมายังสถานเอกอัครราชทูตฯ ขอให้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักธุรกิจที่สนใจทำธุรกิจกับ USAID โดยการจัดหาสินค้า อุปกรณ์เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามความต้องการของ USAID เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวในปากีสถาน ซึ่งสินค้ามีหลายประเภทได้แก่ สินค้าด้านปศุศัตว์ เช่น เป็ด ไก่ สัตว์ปีก วัวควาย ยารักษาโรคสัตว์และอุปกรณ์สัตวแพทย์ เครื่องมือชุดฉีดวัคซีนสัตว์ เครื่องมือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น สินค้าด้านการเกษตร เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช กล้าไม้ อุปกรณ์การเกษตร วัสดุก่อสร้าง เช่น ชุดเครื่องมือสำหรับช่างไม้ ช่างก่อสร้าง ช่างประปา ช่างไฟฟ้า เครื่องเชื่อมโลหะ เป็นต้น สำหรับผู้ที่สนใจจะเป็นผู้จัดหา (Suppliers) จะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดซื้อจัดหาของ USAID
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ของ USAID และสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง e-mail: hr@cntapakistan.org
4. การเจรจา 6 ฝ่ายรอบใหม่เกี่ยวกับคาบสมุทรเกาหลี
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้กลับสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้งหนึ่งเมื่อ 18 ธ.ค. 49 ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพที่กรุงปักกิ่ง โดยจะมีการเจรจา 6 ฝ่ายและการเจรจาคู่ขนานในประเด็นต่างๆ ที่จะนำไปสู่ข้อยุติปัญหาในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งทางการไทยมีความยินดีที่เวทีนี้ได้กลับมามีบทบาทสำคัญในการที่จะนำประเด็นต่างๆ กลับมาสู่การเจรจา ไทยเชื่อมั่นและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเจรจาจะช่วยนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกด้วย ไทยเข้าใจว่าประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีความซับซ้อนพอสมควร แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายจะใช้ความอดทนและความพยายามในการเจรจาเพื่อให้การประชุมบรรลุผลอันเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคในระยะยาวและอย่างถาวรต่อไป
ประเด็นคำถาม
1) การประชุม ASEAN Summit จะจัดขึ้นเมื่อไหร่
คาดว่าเป็นช่วงวันที่ 11-15 มกราคม 2550 ซึ่งจะจัดที่เมืองเซบูเหมือนเดิม แต่ต้องรอการยืนยันอีกครั้งหนึ่งจากทางการฟิลิปปินส์
2) รายงานคนไทยตกทุกข์ได้ยาก
เกิดเหตุอาคารถล่มในไต้หวัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน เป็นแรงงานไทย 1 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 1 คน ซึ่งทาง สนง. เศรษฐกิจการค้าของไทยที่กรุงไทเปได้ประสานกับฝ่ายไต้หวันเพื่อให้ความช่วยเหลือแล้ว โดยผู้เสียชีวิตจะได้รับสิทธิ์ประโยชน์ที่พึงได้และเป็นธรรม ในชั้นนี้ มีการจ่ายเงินทำขวัญเบื้องต้น 500,000 เหรียญไต้หวันในกรณีเสียชีวิต และ 200,000 เหรียญไต้หวันในกรณีบาดเจ็บ ทั้งนี้ ได้แจ้งให้ญาติผู้เสียชีวิตทราบแล้ว
3) ท่าที ASEAN ในเรื่องเกาหลีเหนือ
อาเซียนต้องการให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และอยากให้การดำเนินการแก้ไขในกรอบการเจรจา 6 ฝ่าย บรรลุข้อยุติที่ยั่งยืน และนำไปสู่การปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเอเชียตะวันออก อาเซียน และเอเชีย-แปซิฟิกโดยตรง อาเซียนได้พยายามสนับสนุนการแก้ไขปัญหามาโดยตลอด โดยเฉพาะในกรอบ ARF ซึ่งมีประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมประชุมด้วยในระดับ รมว.กต. ดังนั้น ทั้ง 6 ประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงสามารถใช้โอกาสที่ไปพบกันใน ARF หารือนอกรอบหรือสามารถให้ ARF ให้การสนับสนุนในประเด็นใดประเด็นหนึ่งได้
4) ข่าวเกี่ยวกับการเปิดเจรจากับกลุ่มป่วนใต้ที่บรูไนฯ
ประเด็นที่หนึ่ง กต.ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องข้อเสนอที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการเรียกประเด็นดังกล่าวว่าเป็นการเจรจา ปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องภายในประเทศ ทางรัฐบาลเปิดให้มีอะไรก็ตามที่จะเป็นช่องทางที่นำไปสู่สันติภาพและความสมานฉันท์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไม่ได้เป็นการเจรจาแบบ peace negotiation ประเด็นที่สอง เรารับทราบความปรารถนาดี และความพร้อมที่จะสนับสนุนและสร้างสันติสุขและความสมานฉันท์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ประเด็นที่สาม รัฐบาล และ กต.พอใจกับความร่วมมือที่ได้รับจากทางการมาเลเซียในทุกระดับ ทั้งในระดับท้องถิ่นและหน่วยงานกลางที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และต้องขอขอบคุณ ออท. ณ กรุงกัวลัมเปอร์ กสญ.ณ เมืองโกตาบารู และกงสุลกิติมศักดิ์ที่เมืองลังกาวี ที่ทำให้เราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากฝ่ายมาเลเซียมาโดยตลอด
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-