เมื่อวันที่ 26 พ.ย.48 ที่ผ่านมา ณ สนามกีฬา ไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดงาน “วิสัยทัศน์สมัชชา ประชาชน ประชาธิปัตย์” โดยมีการปราศรัยถึงแนวทางการทำงานของพรรค และ ในงานได้มีการจัดประมูลของมีค่าของบุคคลสำคัญในพรรคด้วย โดยสิ่งของที่นำมาประมูล อาทิ เสื้อแจ๊คเก็ต ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค พระพ่อท่านคล้ายเหลี่ยมทอง พร้อมสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 2 บาท ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค เป็นต้น
พร้อมกันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวปราศรัยว่าปัญหาที่คนไทยต้องเผชิญอยู่ขณะนี้ ถือเป็นปัญหาใหญ่และซับซ้อนที่น่าเป็นห่วงมาก แม้พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้การเลือกตั้งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา พรรคก็ยอมรับผล และทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ ไม่เคยมองว่าหน้าที่ฝ่ายค้านจะต้องค้านทุกเรื่อง หรือต้องจ้องล้มรัฐบาล หลายเรื่องเป็นประโยชน์ต่อประเทศก็สนับสนุน แต่เรื่องที่เป็นปัญหา ก็ต้องท้วงติงและเสนอแนะ
ทั้งนี้ ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ทำงานอย่างเข้มแข็ง แต่ก็ทราบดีว่าประชาชนอาจไม่รับรู้ผลการทำงานของฝ่ายค้านเท่าที่ควร และเข้าใจดีว่าสื่อมวลชนทำงานลำบาก โดยเฉพาะวิทยุและโทรทัศน์ที่มีข้อจำกัดอย่างมากในการเสนอความเห็นที่แตกจากรัฐบาล แต่พรรคไม่ย่อท้อ และจะท้วงติงในสิ่งไม่ถูกต้อง และแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา เดินหน้าทำงานเต็มที่
“ปัญหาวันนี้ที่น่าเป็นห่วง ไม่ใช่ปัญหาการเมือง หลายคนอาจมองว่าปรากฏการณ์หลายอย่างเป็นปัญหาการเมือง เป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลที่ได้รับเสียงท่วมท้น ในช่วง 8 เดือนกลับมีคนไปชุมนุมหลักแสน เพื่อฟังนายสนธิ ลิ้มทองกุล นำเสนอความจริงด้านลบของรัฐบาล ทำไมรัฐบาลที่มีโอกาสทำงานเข้าสู่ปีที่ 5 กลับไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยยึดหลักกฎหมาย ซึ่งขอยืนยันว่าปัญหาต่างๆ ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล เพราะผู้นำไม่เชื่อมั่นในประชาชน และวิถีทางประชาธิปไตย”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่กล้าพูดเพราะอยากชี้ให้เห็นว่าหากรัฐบาลศรัทธาประชาชน และระบบอบประชาธิปไตย รัฐบาลต้องยอมรับความเห็นที่หลากหลาย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะไม่ฟัง ผู้นำประเทศต้องการรวบอำนาจ ตัดสินใจภายใต้ความคิดของตัวเอง มีความคิดที่แคบ มองแค่ผลประโยชน์ธุรกิจ เช่น เรื่องการแปรรูป กฟผ. ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตยืไม่ได้ต่อต้านการแปรรูป กฟผ. เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็คิดจะทำ แต่จะแปรรูปโดยมีเป้าหมายว่า ประชาชนต้องได้รับการบริการที่ดีขึ้น รัฐวิสาหกิจต้องมีประสิทธิภาพที่ดี ประชาชนต้องได้รับการบริการที่เป็นธรรม และหากจะแปรรูปต้องมีกฎหมายออกมาก่อน
แต่นายกฯ กลับมุ่งมั่นให้ กฟผ.เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องการให้ กฟผ.เป็นเครื่องมือกระตุ้นตลาด คำนึงเพียงว่าให้หุ้น กฟผ.ขายดี มีราคาสูง จนถึงขั้นยกสมบัติของชาติ และอำนาจการผูกขาดให้อยู่ในมือของบริษัทที่กำลังจะขายให้เอกชน นี่คือการบริหารงานที่ไม่คำนึงถึงคนส่วนใหญ่ คิดถึงแต่ตัวเลขที่จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยอมรับไม่ได้ และยืนยันว่าจะคัดค้านจนกว่ารัฐบาลจะปรับนโยบายการแปรรูปอย่างถูกต้อง เพื่อรักษาประสิทธิภาพและบริการที่ดี หากรัฐยังดึงดัน วันข้างหน้าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็จะเอาสมบัติของชาติกลับมาเป็นของประชาชนเหมือนเดิม
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวว่า เรื่องนี้ยืนยันให้เห็นว่ามีความคิดต่างกัน โดยรัฐบาลมองแต่ตัวเลขจึงยอมขายสมบัติชาติ แต่ฝ่ายค้านยึดหลักว่าเศรษฐกิจและตลาดหลักทรัพย์ ต้องรับใช้ประชาชน การบริหารเศรษฐกิจยุคนี้คิดเพียงกระตุ้นเศรษฐกิจ และยุให้ประชาชนใช้จ่ายจนเป็นหนี้ เมื่อถึงจุดหนึ่งประชาชนจะเดือดร้อน ประโยชน์จะตกอยู่กับกลุ่มธุรกิจใหญ่เท่านั้น แต่รัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ ทำให้วันนี้ต้องมาไล่ตามแก้ปัญหา ทั้งเรื่องการขาดดุล ปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีก
“ผมขอเตือนว่าปีหน้าประมาณเดือน ก.พ.49 นอกเหนือจากราคาสินค้าจะสูงขึ้นแล้ว ค่าไฟก็จะสูงขึ้นด้วย ถ้ารัฐบาลยังไม่หันกลับมาเสริมเรื่องความพร้อมของประชาชนในระดับพื้นฐานอย่างแท้จริง ผมเตือนว่ายุคข้าวยากหมากแพงจะเกิดขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เรื่องปัญหาความไม่สงบ รัฐบาลก็ประเมินสถานการณ์ผิด วันนี้ต้องชมเชยหน่วยปฏิบัติงานในพื้นที่ ทั้งกองทัพและเจ้าหน้าที่ ที่เข้าใจแนวทางสมานฉันท์ และเร่งทำงาน แต่สิ่งที่สะท้อนมาถึงตนคือ เจ้าหน้าที่ทำงานลำบาก เพราะฝ่ายนโยบายไม่นิ่ง มีความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาเสมอ รวมถึงยังมีการให้สัมภาษณ์กระทบความรู้สึกของคนในพื้นที่ จึงทำให้เกิดความสงบได้ยาก
รัฐบาลต้องทบทวนการบริการราชการแผ่นดินว่าได้เคารพเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ ได้ยึดหลักนิติรัฐ และนิติธรรมหรือยัง เพราะการละเมิดเจตนารมณ์เหล่านี้ คือที่มาของปัญหาต่างๆ ซึ่งนับวันยิ่งสะสมและเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น วันนี้ต้องมองรอบด้าน และไม่ควรยึดเพียงหลักประชานิยมเพื่อซื้อเวลา ความนิยมอยู่ได้ เพราะปัญหาสังคม ความมั่นคง กำลังก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆและส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่พื้นฐานของประชาชน
“ความล้มเหลวทั้งหลายเหล่านี้ รัฐบาลต้องเร่งปรับปรุง และผมยืนยันตลอดเวลาว่าผมไม่มีความประสงค์จะเกิดความรุนแรงขึ้น แม้จะทำให้รัฐบาลพ้นไป ผมขอยืนยันว่าไม่ใช่ความต้องการของพรรคฝ่ายค้าน แต่พรรคฝ่ายค้านต้องการให้รัฐบาลยอมรับวิถีทางประชาธิปไตย และทำให้กลไกลของประชาธิปไตยในระบบรัฐสภากลับมาเป็นที่พึ่งของประชาชน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าเพื่อลดความตึงเครียดในสังคมคือการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 313 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ เพราะปัจจุบันมีเพียง ส.ส. ส.ว. และ ครม.เท่านั้นที่สามารถเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งวันนี้มีเสียงจากหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าถ้าใช้กลไกตามปกติวันนี้ เมื่อรัฐธรรมนูญมีปัญหา รัฐบาลโดย ส.ส.เสียงข้างมาก คงไม่ยอมให้มีการแก้ไข เพราะเป็นการกระทบกับอำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง
“แต่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะ ส.ส.ฝ่ายค้าน ขอยืนยันว่าเราพร้อมที่จะยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และเราถือว่าอำนาจที่เรามีและใช้อยู่ในฐานะส.ส.นั้น ที่จริงคืออำนาจของประชาชน ดังนั้น ส.ส.ฝ่ายค้านของแสดงความบริสุทธิ์ใจว่ามีความพร้อมที่จะให้ประชาชนเข้ามาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แม้แต่ในประเด็นที่เป็นการริดลอนอำนาจ หรือมีผลกระทบต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเตรียมความพร้อมในการที่จะเสนอตัวเป็นทางเลือกของประชาชน ซึ่งกว่าครึ่งปีที่ผ่านมาพรรคได้ทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้าน และสิ่งที่ทำควบคุมกันไปคือการสร้างพรรคให้เป็นทางเลือกและที่พึ่งของประชาชน ภายในกลางปี 49 พรรคจะเริ่มประกาศตัวผู้สมัครในทุกพื้นที่ ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลเหล่านี้จะเดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ในเรื่องสมัชชาประชาชน ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากปัญหาในบ้านเมืองที่เกิดในขณะนี้ เพราะไม่ได้เปิดช่องให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศมาร่วมเป็นเจ้าของอำนาจและการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
“วันนี้รัฐบาลมองเพียงว่าประชาชนมีหน้าที่ในการไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง 4 ปี ครั้ง ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ พรรคได้พิสูจน์ให้เห็นตั้งแต่เดือนตุลาคม แล้วว่าเราจัดเวทีประวัติศาสตร์สมัชชาประชาชน มีประชาชนจากทั่วประเทศกว่า 3,000คน มาเพื่อเสนอความคิด ความเห็น ซึ่งไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว ไม่เรียกร้องนโยบายที่เป็นประชานิยม แต่สะท้อนปัญหาและร่วมคิดว่าจะนำพาประเทศเดินหน้าไปได้อย่างไร”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 พ.ย.2548--จบ--
พร้อมกันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวปราศรัยว่าปัญหาที่คนไทยต้องเผชิญอยู่ขณะนี้ ถือเป็นปัญหาใหญ่และซับซ้อนที่น่าเป็นห่วงมาก แม้พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้การเลือกตั้งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา พรรคก็ยอมรับผล และทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ ไม่เคยมองว่าหน้าที่ฝ่ายค้านจะต้องค้านทุกเรื่อง หรือต้องจ้องล้มรัฐบาล หลายเรื่องเป็นประโยชน์ต่อประเทศก็สนับสนุน แต่เรื่องที่เป็นปัญหา ก็ต้องท้วงติงและเสนอแนะ
ทั้งนี้ ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ทำงานอย่างเข้มแข็ง แต่ก็ทราบดีว่าประชาชนอาจไม่รับรู้ผลการทำงานของฝ่ายค้านเท่าที่ควร และเข้าใจดีว่าสื่อมวลชนทำงานลำบาก โดยเฉพาะวิทยุและโทรทัศน์ที่มีข้อจำกัดอย่างมากในการเสนอความเห็นที่แตกจากรัฐบาล แต่พรรคไม่ย่อท้อ และจะท้วงติงในสิ่งไม่ถูกต้อง และแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา เดินหน้าทำงานเต็มที่
“ปัญหาวันนี้ที่น่าเป็นห่วง ไม่ใช่ปัญหาการเมือง หลายคนอาจมองว่าปรากฏการณ์หลายอย่างเป็นปัญหาการเมือง เป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลที่ได้รับเสียงท่วมท้น ในช่วง 8 เดือนกลับมีคนไปชุมนุมหลักแสน เพื่อฟังนายสนธิ ลิ้มทองกุล นำเสนอความจริงด้านลบของรัฐบาล ทำไมรัฐบาลที่มีโอกาสทำงานเข้าสู่ปีที่ 5 กลับไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยยึดหลักกฎหมาย ซึ่งขอยืนยันว่าปัญหาต่างๆ ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล เพราะผู้นำไม่เชื่อมั่นในประชาชน และวิถีทางประชาธิปไตย”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่กล้าพูดเพราะอยากชี้ให้เห็นว่าหากรัฐบาลศรัทธาประชาชน และระบบอบประชาธิปไตย รัฐบาลต้องยอมรับความเห็นที่หลากหลาย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะไม่ฟัง ผู้นำประเทศต้องการรวบอำนาจ ตัดสินใจภายใต้ความคิดของตัวเอง มีความคิดที่แคบ มองแค่ผลประโยชน์ธุรกิจ เช่น เรื่องการแปรรูป กฟผ. ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตยืไม่ได้ต่อต้านการแปรรูป กฟผ. เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็คิดจะทำ แต่จะแปรรูปโดยมีเป้าหมายว่า ประชาชนต้องได้รับการบริการที่ดีขึ้น รัฐวิสาหกิจต้องมีประสิทธิภาพที่ดี ประชาชนต้องได้รับการบริการที่เป็นธรรม และหากจะแปรรูปต้องมีกฎหมายออกมาก่อน
แต่นายกฯ กลับมุ่งมั่นให้ กฟผ.เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องการให้ กฟผ.เป็นเครื่องมือกระตุ้นตลาด คำนึงเพียงว่าให้หุ้น กฟผ.ขายดี มีราคาสูง จนถึงขั้นยกสมบัติของชาติ และอำนาจการผูกขาดให้อยู่ในมือของบริษัทที่กำลังจะขายให้เอกชน นี่คือการบริหารงานที่ไม่คำนึงถึงคนส่วนใหญ่ คิดถึงแต่ตัวเลขที่จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยอมรับไม่ได้ และยืนยันว่าจะคัดค้านจนกว่ารัฐบาลจะปรับนโยบายการแปรรูปอย่างถูกต้อง เพื่อรักษาประสิทธิภาพและบริการที่ดี หากรัฐยังดึงดัน วันข้างหน้าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็จะเอาสมบัติของชาติกลับมาเป็นของประชาชนเหมือนเดิม
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวว่า เรื่องนี้ยืนยันให้เห็นว่ามีความคิดต่างกัน โดยรัฐบาลมองแต่ตัวเลขจึงยอมขายสมบัติชาติ แต่ฝ่ายค้านยึดหลักว่าเศรษฐกิจและตลาดหลักทรัพย์ ต้องรับใช้ประชาชน การบริหารเศรษฐกิจยุคนี้คิดเพียงกระตุ้นเศรษฐกิจ และยุให้ประชาชนใช้จ่ายจนเป็นหนี้ เมื่อถึงจุดหนึ่งประชาชนจะเดือดร้อน ประโยชน์จะตกอยู่กับกลุ่มธุรกิจใหญ่เท่านั้น แต่รัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ ทำให้วันนี้ต้องมาไล่ตามแก้ปัญหา ทั้งเรื่องการขาดดุล ปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีก
“ผมขอเตือนว่าปีหน้าประมาณเดือน ก.พ.49 นอกเหนือจากราคาสินค้าจะสูงขึ้นแล้ว ค่าไฟก็จะสูงขึ้นด้วย ถ้ารัฐบาลยังไม่หันกลับมาเสริมเรื่องความพร้อมของประชาชนในระดับพื้นฐานอย่างแท้จริง ผมเตือนว่ายุคข้าวยากหมากแพงจะเกิดขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เรื่องปัญหาความไม่สงบ รัฐบาลก็ประเมินสถานการณ์ผิด วันนี้ต้องชมเชยหน่วยปฏิบัติงานในพื้นที่ ทั้งกองทัพและเจ้าหน้าที่ ที่เข้าใจแนวทางสมานฉันท์ และเร่งทำงาน แต่สิ่งที่สะท้อนมาถึงตนคือ เจ้าหน้าที่ทำงานลำบาก เพราะฝ่ายนโยบายไม่นิ่ง มีความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาเสมอ รวมถึงยังมีการให้สัมภาษณ์กระทบความรู้สึกของคนในพื้นที่ จึงทำให้เกิดความสงบได้ยาก
รัฐบาลต้องทบทวนการบริการราชการแผ่นดินว่าได้เคารพเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ ได้ยึดหลักนิติรัฐ และนิติธรรมหรือยัง เพราะการละเมิดเจตนารมณ์เหล่านี้ คือที่มาของปัญหาต่างๆ ซึ่งนับวันยิ่งสะสมและเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น วันนี้ต้องมองรอบด้าน และไม่ควรยึดเพียงหลักประชานิยมเพื่อซื้อเวลา ความนิยมอยู่ได้ เพราะปัญหาสังคม ความมั่นคง กำลังก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆและส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่พื้นฐานของประชาชน
“ความล้มเหลวทั้งหลายเหล่านี้ รัฐบาลต้องเร่งปรับปรุง และผมยืนยันตลอดเวลาว่าผมไม่มีความประสงค์จะเกิดความรุนแรงขึ้น แม้จะทำให้รัฐบาลพ้นไป ผมขอยืนยันว่าไม่ใช่ความต้องการของพรรคฝ่ายค้าน แต่พรรคฝ่ายค้านต้องการให้รัฐบาลยอมรับวิถีทางประชาธิปไตย และทำให้กลไกลของประชาธิปไตยในระบบรัฐสภากลับมาเป็นที่พึ่งของประชาชน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าเพื่อลดความตึงเครียดในสังคมคือการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 313 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ เพราะปัจจุบันมีเพียง ส.ส. ส.ว. และ ครม.เท่านั้นที่สามารถเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งวันนี้มีเสียงจากหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าถ้าใช้กลไกตามปกติวันนี้ เมื่อรัฐธรรมนูญมีปัญหา รัฐบาลโดย ส.ส.เสียงข้างมาก คงไม่ยอมให้มีการแก้ไข เพราะเป็นการกระทบกับอำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง
“แต่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะ ส.ส.ฝ่ายค้าน ขอยืนยันว่าเราพร้อมที่จะยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และเราถือว่าอำนาจที่เรามีและใช้อยู่ในฐานะส.ส.นั้น ที่จริงคืออำนาจของประชาชน ดังนั้น ส.ส.ฝ่ายค้านของแสดงความบริสุทธิ์ใจว่ามีความพร้อมที่จะให้ประชาชนเข้ามาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แม้แต่ในประเด็นที่เป็นการริดลอนอำนาจ หรือมีผลกระทบต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเตรียมความพร้อมในการที่จะเสนอตัวเป็นทางเลือกของประชาชน ซึ่งกว่าครึ่งปีที่ผ่านมาพรรคได้ทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้าน และสิ่งที่ทำควบคุมกันไปคือการสร้างพรรคให้เป็นทางเลือกและที่พึ่งของประชาชน ภายในกลางปี 49 พรรคจะเริ่มประกาศตัวผู้สมัครในทุกพื้นที่ ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลเหล่านี้จะเดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ในเรื่องสมัชชาประชาชน ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากปัญหาในบ้านเมืองที่เกิดในขณะนี้ เพราะไม่ได้เปิดช่องให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศมาร่วมเป็นเจ้าของอำนาจและการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
“วันนี้รัฐบาลมองเพียงว่าประชาชนมีหน้าที่ในการไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง 4 ปี ครั้ง ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ พรรคได้พิสูจน์ให้เห็นตั้งแต่เดือนตุลาคม แล้วว่าเราจัดเวทีประวัติศาสตร์สมัชชาประชาชน มีประชาชนจากทั่วประเทศกว่า 3,000คน มาเพื่อเสนอความคิด ความเห็น ซึ่งไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว ไม่เรียกร้องนโยบายที่เป็นประชานิยม แต่สะท้อนปัญหาและร่วมคิดว่าจะนำพาประเทศเดินหน้าไปได้อย่างไร”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 พ.ย.2548--จบ--