การสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค เรื่อง
“การออมชุมชน สู่สวัสดิการที่ยั่งยืน : จากประสบการณ์ของชาวบ้านสู่การทำงานของรัฐ”
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2549 สศค. ได้จัดการสัมมนาในหัวข้อ “การออมชุมชน สู่สวัสดิการสังคมที่ยั่งยืน : จากประสบการณ์ของชาวบ้านสู่การทำงานของรัฐ” ณ โรงแรม บี พี สมิหลา บีช สงขลา จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ ได้แก่ ดร. ครูชบ ยอดแก้ว นายสินธพ อินทรัตน์ นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ ดร. สันติ กีระนันท์ นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ผู้แทนจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จำนวนกว่า 300 คน
ผลการสัมมนาสรุปได้ดังนี้
1. บทบาทของการออมระดับชุมชนที่เกิดจากการรวมตัวและภูมิปัญญาของชุมชน โดยจัดตั้งเป็นกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นและบริหารจัดการโดยชุมชนมีความสำคัญและประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง องค์กรการเงินระดับฐานรากเหล่านี้นอกจากจะเป็นแหล่งระดมเงินออมและเงินลงทุนแล้ว ยังมีส่วนในการจัดสวัสดิการให้กับสมาชิกชุมชนด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
2. ในยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจทุกระดับ ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจระดับฐานรากด้วยนั้น ได้มีผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านเสนอแนวคิดในเรื่องทุนที่น่าสนใจ กล่าวคือ ทุนมีหลายประเภท เช่น คน ภูมิปัญญา ศาสนาวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน เวลา และเงิน ปัจจุบันภายใต้โลกาภิวัตน์ เงินได้กลายเป็นทุนที่มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิต ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างทุนเงินกับทุนอื่นๆ จึงได้มีการนำทุนเงินมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทุนอื่นๆ เช่น การจัดตั้งกองทุนสัจจะลดรายจ่ายวันละ 1 บาท เพื่อทำสวัสดิการภาคประชาชน จังหวัดสงขลา ของ ดร. ครูชบ ยอดแก้ว ซึ่งแนวทางดังกล่าวนอกจากจะเป็นการให้สวัสดิการกับสมาชิกในรูปของเงินแล้ว ยังเป็นการสร้างวินัยการใช้จ่ายและวินัยการออม อีกทั้งเป็นการสร้างคุณธรรมขึ้นในชุมชน
3. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวขององค์กรการเงินชุมชน ทั้งเพื่อการออมและสวัสดิการชุมชน ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับค่านิยมใหม่ว่าการออมไม่ใช่รายได้หักด้วยค่าใช้จ่าย แต่ควรเป็นรายได้หักด้วยการออมที่เหลือจึงนำไปใช้จ่าย ซึ่งจะปลูกฝังนิสัยการออมให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
4. ได้มีการกล่าวถึงปัจจัยที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรการเงินระดับฐานราก โดยเห็นว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเรียนรู้ร่วมกัน และภาครัฐควรสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ เช่น การใช้สื่อให้เกิดประโยชน์อย่างบูรณาการ และควรสอดแทรกให้เกิดการเรียนรู้ทุกระดับ นอกจากนี้ องค์กรการเงินจะต้องมีระบบบริหารจัดการที่มีคุณภาพ มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบในการดำเนินงาน
5. นอกจากนี้ ได้มีการเสนอแนะให้มีการเชื่อมโยงระหว่างองค์กรการเงินระดับฐานรากกับสถาบันการเงินในระบบอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม กล่าวคือสถาบันการเงินในระบบสามารถทำหน้าที่ในการให้ความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการเงินทุน รวมถึงแนวทางในการบริหารจัดการเงินทุนให้กับองค์กรการเงินระดับฐานราก
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้นำข้อเสนอแนะจากการศึกษามาใช้ประโยชน์ประกอบการพิจารณาเสนอแนวทางการสนับสนุน การพัฒนาระบบการออม การลงทุนและการจัดสวัสดิการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 72/2549 4 สิงหาคม 49--
ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค เรื่อง
“การออมชุมชน สู่สวัสดิการที่ยั่งยืน : จากประสบการณ์ของชาวบ้านสู่การทำงานของรัฐ”
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2549 สศค. ได้จัดการสัมมนาในหัวข้อ “การออมชุมชน สู่สวัสดิการสังคมที่ยั่งยืน : จากประสบการณ์ของชาวบ้านสู่การทำงานของรัฐ” ณ โรงแรม บี พี สมิหลา บีช สงขลา จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ ได้แก่ ดร. ครูชบ ยอดแก้ว นายสินธพ อินทรัตน์ นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ ดร. สันติ กีระนันท์ นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ผู้แทนจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จำนวนกว่า 300 คน
ผลการสัมมนาสรุปได้ดังนี้
1. บทบาทของการออมระดับชุมชนที่เกิดจากการรวมตัวและภูมิปัญญาของชุมชน โดยจัดตั้งเป็นกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นและบริหารจัดการโดยชุมชนมีความสำคัญและประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง องค์กรการเงินระดับฐานรากเหล่านี้นอกจากจะเป็นแหล่งระดมเงินออมและเงินลงทุนแล้ว ยังมีส่วนในการจัดสวัสดิการให้กับสมาชิกชุมชนด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
2. ในยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจทุกระดับ ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจระดับฐานรากด้วยนั้น ได้มีผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านเสนอแนวคิดในเรื่องทุนที่น่าสนใจ กล่าวคือ ทุนมีหลายประเภท เช่น คน ภูมิปัญญา ศาสนาวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน เวลา และเงิน ปัจจุบันภายใต้โลกาภิวัตน์ เงินได้กลายเป็นทุนที่มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิต ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างทุนเงินกับทุนอื่นๆ จึงได้มีการนำทุนเงินมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทุนอื่นๆ เช่น การจัดตั้งกองทุนสัจจะลดรายจ่ายวันละ 1 บาท เพื่อทำสวัสดิการภาคประชาชน จังหวัดสงขลา ของ ดร. ครูชบ ยอดแก้ว ซึ่งแนวทางดังกล่าวนอกจากจะเป็นการให้สวัสดิการกับสมาชิกในรูปของเงินแล้ว ยังเป็นการสร้างวินัยการใช้จ่ายและวินัยการออม อีกทั้งเป็นการสร้างคุณธรรมขึ้นในชุมชน
3. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวขององค์กรการเงินชุมชน ทั้งเพื่อการออมและสวัสดิการชุมชน ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับค่านิยมใหม่ว่าการออมไม่ใช่รายได้หักด้วยค่าใช้จ่าย แต่ควรเป็นรายได้หักด้วยการออมที่เหลือจึงนำไปใช้จ่าย ซึ่งจะปลูกฝังนิสัยการออมให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
4. ได้มีการกล่าวถึงปัจจัยที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรการเงินระดับฐานราก โดยเห็นว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเรียนรู้ร่วมกัน และภาครัฐควรสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ เช่น การใช้สื่อให้เกิดประโยชน์อย่างบูรณาการ และควรสอดแทรกให้เกิดการเรียนรู้ทุกระดับ นอกจากนี้ องค์กรการเงินจะต้องมีระบบบริหารจัดการที่มีคุณภาพ มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบในการดำเนินงาน
5. นอกจากนี้ ได้มีการเสนอแนะให้มีการเชื่อมโยงระหว่างองค์กรการเงินระดับฐานรากกับสถาบันการเงินในระบบอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม กล่าวคือสถาบันการเงินในระบบสามารถทำหน้าที่ในการให้ความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการเงินทุน รวมถึงแนวทางในการบริหารจัดการเงินทุนให้กับองค์กรการเงินระดับฐานราก
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้นำข้อเสนอแนะจากการศึกษามาใช้ประโยชน์ประกอบการพิจารณาเสนอแนวทางการสนับสนุน การพัฒนาระบบการออม การลงทุนและการจัดสวัสดิการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 72/2549 4 สิงหาคม 49--