วันนี้ (10 ส.ค.2549) เวลา 13.00 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเกียรติ สิทธิอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเกี่ยวกับความคืบหน้ากรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปหลังจากที่ได้ยื่นหนังสือต่อกระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549 ว่า พรรคได้มีการติดตามการทำงานของกระทรวงพาณิชย์เป็นระยะๆ มาจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้เกือบ 6 เดือนแล้ว ซึ่งก็เข้าใจดีว่าการตรวจสอบต้องใช้เวลาในการที่จะไปสืบพยาน และเก็บหลักฐานตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด
นายเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่เราตั้งไปในขณะนั้นมีประเด็นของบริษัทกุหลาบแก้วถือหุ้นแทนบริษัทไซเปรส และแอสแปนโฮลดิ้งส์ เป็นกรณีที่ประกอบธุรกิจโดยต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาติซึ่งตรงนี้กระทบถึงสถานะของบริษัทกุหลาบแก้วว่า เป็นต่างชาติหรือเป็นไทย และกระทบถึงสถานะของบริษัทชินคอร์ป รวมไปถึงการถือหุ้นในบริษัทไทยแอร์เอเชีย
“การถือหุ้นแทนก็ทราบว่าเป็นความผิดในมาตรา 36 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้และก็การประกอบธุรกิจโดยไม่มีใบอนุญาติผิดมาตรา 37 ชี้ให้เห็นถึงการตั้งคณะกรรมการโดยทั้ง 3 บริษัทมีกรรมการเป็นชาวต่างชาติเป็นสิงคโปร์มีความซ้ำซ้อนกันอยู่มีลักษณะเข้าไปครอบงำกิจการในลักษณะของการถือหุ้นแทนหลักฐานปรากฎชัดเจน”นายเกียรติกล่าว
นายเกียรติ กล่าวต่อไปอีกว่า เมื่อประมาณช่วงใกล้กรกฎาคมที่ผ่านมาทางกระทรวงพาณิชย์ได้มีการออกข่าวว่า ภายในสิ้นเดือนจะมีการแถลงผลการสอบสวน หลังจากนั้นเมื่อมีการไปทวงถามก็ยังมีข่าวต่อไปอีกว่าขณะนี้ได้มีการส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมายและจะแถลงในระยะเวลาอันสั้น แต่จนถึงขณะนี้นักข่าวยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว
“ความล่าช้าที่เกิดขึ้นทั้งหมดเข้าข่ายความผิดแล้ว ในเรื่องของการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่เราก็ให้โอกาสกระทรวงดำเนินการได้เต็มที่มีการแถลงข้อเท็จจริงออกมา ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในการถือหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฎอยู่ในหลักฐานเอกสารอยู่ครบถ้วนแล้วไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แม้กระทั่งเส้นทางเงินในการที่นำเงินเข้ามาถือหุ้นชินก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนการทำธุรกรรมในธนาคารได้ดังนั้นปรากฎชัดไม่มีประโยชน์อะไรที่จะละเลยเรื่องนี้”นายเกียรติกล่าว
นายเกียรติ ยังฝากความห่วงใยถึง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเลือกว่าจะเข้าข้างประชาชนหรือจะเข้าข้างคนผิด ถึงจุดนี้แล้วถ้าไม่มีการแถลงผลการสอบสวนข้อเท็จจริงออกมาก็จะถือว่านายสมคิดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ทั้งนี้อยากฝากไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยว่า ขอให้หยุดพฤติกรรมเหนี่ยวการดำเนินการของฝ่ายราชการเพื่อให้เกิดความล่าช้า
“ผมขอคำตอบจากกระทรวงพาณิชย์ภายในวันที่ 11 สิงหาคม ภายในวันพรุ่งนี้จะมีการแถลงผลสอบข้อเท็จจริงเมื่อใดขอให้พูดให้ชัด ถึงเวลานี้ถ้าไม่พูดให้ชัดเมื่อใด ผมคิดว่ารัฐมนตรีสมคิดเอง รัฐมนตรีช่วยว่าการและบุคคลที่เกี่ยวข้องถ้าจะถูกพิพากษาจะไม่ได้ถูกพิพากษาโดยประชาชนอย่างเดียว ถึงจุดนั้นอาจจะถูกพิพากษาโดยศาลยุติธรรมทุกศาล เพราะว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรไม่มีเหตุผลใดที่จะล่าช้าไปกว่านี้ ถ้าไม่นำผลมาแถลงให้ประชาชนก็จะเข้าข่ายการกระทำผิดตามกฎหมายหลายฉบับไม่ใช่กฎหมายฉบับเดียว หากนิ่งเฉยต่อไปทางเราไม่มีทางเลือกและจะเรียกร้องความยุติธรรมต่อศาลต่อไป” นายเกียรติกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ส.ค. 2549--จบ--
นายเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่เราตั้งไปในขณะนั้นมีประเด็นของบริษัทกุหลาบแก้วถือหุ้นแทนบริษัทไซเปรส และแอสแปนโฮลดิ้งส์ เป็นกรณีที่ประกอบธุรกิจโดยต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาติซึ่งตรงนี้กระทบถึงสถานะของบริษัทกุหลาบแก้วว่า เป็นต่างชาติหรือเป็นไทย และกระทบถึงสถานะของบริษัทชินคอร์ป รวมไปถึงการถือหุ้นในบริษัทไทยแอร์เอเชีย
“การถือหุ้นแทนก็ทราบว่าเป็นความผิดในมาตรา 36 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้และก็การประกอบธุรกิจโดยไม่มีใบอนุญาติผิดมาตรา 37 ชี้ให้เห็นถึงการตั้งคณะกรรมการโดยทั้ง 3 บริษัทมีกรรมการเป็นชาวต่างชาติเป็นสิงคโปร์มีความซ้ำซ้อนกันอยู่มีลักษณะเข้าไปครอบงำกิจการในลักษณะของการถือหุ้นแทนหลักฐานปรากฎชัดเจน”นายเกียรติกล่าว
นายเกียรติ กล่าวต่อไปอีกว่า เมื่อประมาณช่วงใกล้กรกฎาคมที่ผ่านมาทางกระทรวงพาณิชย์ได้มีการออกข่าวว่า ภายในสิ้นเดือนจะมีการแถลงผลการสอบสวน หลังจากนั้นเมื่อมีการไปทวงถามก็ยังมีข่าวต่อไปอีกว่าขณะนี้ได้มีการส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมายและจะแถลงในระยะเวลาอันสั้น แต่จนถึงขณะนี้นักข่าวยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว
“ความล่าช้าที่เกิดขึ้นทั้งหมดเข้าข่ายความผิดแล้ว ในเรื่องของการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่เราก็ให้โอกาสกระทรวงดำเนินการได้เต็มที่มีการแถลงข้อเท็จจริงออกมา ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในการถือหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฎอยู่ในหลักฐานเอกสารอยู่ครบถ้วนแล้วไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แม้กระทั่งเส้นทางเงินในการที่นำเงินเข้ามาถือหุ้นชินก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนการทำธุรกรรมในธนาคารได้ดังนั้นปรากฎชัดไม่มีประโยชน์อะไรที่จะละเลยเรื่องนี้”นายเกียรติกล่าว
นายเกียรติ ยังฝากความห่วงใยถึง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเลือกว่าจะเข้าข้างประชาชนหรือจะเข้าข้างคนผิด ถึงจุดนี้แล้วถ้าไม่มีการแถลงผลการสอบสวนข้อเท็จจริงออกมาก็จะถือว่านายสมคิดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ทั้งนี้อยากฝากไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยว่า ขอให้หยุดพฤติกรรมเหนี่ยวการดำเนินการของฝ่ายราชการเพื่อให้เกิดความล่าช้า
“ผมขอคำตอบจากกระทรวงพาณิชย์ภายในวันที่ 11 สิงหาคม ภายในวันพรุ่งนี้จะมีการแถลงผลสอบข้อเท็จจริงเมื่อใดขอให้พูดให้ชัด ถึงเวลานี้ถ้าไม่พูดให้ชัดเมื่อใด ผมคิดว่ารัฐมนตรีสมคิดเอง รัฐมนตรีช่วยว่าการและบุคคลที่เกี่ยวข้องถ้าจะถูกพิพากษาจะไม่ได้ถูกพิพากษาโดยประชาชนอย่างเดียว ถึงจุดนั้นอาจจะถูกพิพากษาโดยศาลยุติธรรมทุกศาล เพราะว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรไม่มีเหตุผลใดที่จะล่าช้าไปกว่านี้ ถ้าไม่นำผลมาแถลงให้ประชาชนก็จะเข้าข่ายการกระทำผิดตามกฎหมายหลายฉบับไม่ใช่กฎหมายฉบับเดียว หากนิ่งเฉยต่อไปทางเราไม่มีทางเลือกและจะเรียกร้องความยุติธรรมต่อศาลต่อไป” นายเกียรติกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ส.ค. 2549--จบ--