แท็ก
การส่งออก
ในเดือนสิงหาคม 2549 เครื่องชี้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยการใช้จ่ายในประเทศชะลอตัวลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย ขณะที่มูลค่าการส่งออกและนำเข้ายังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูง ส่งผลให้ดุลการค้ากลับมาเกินดุลในเดือนนี้
ด้านอุปทาน ผลผลิตภาคเกษตรและราคาพืชผลขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง ทำให้รายได้เกษตรกรขยายตัวลดลงในเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี
เสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลต่อเนื่องและฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในเกณฑ์สูงส่วนอัตราเงินเฟ้อชะลอลงมากและอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนสิงหาคมปี 2549 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนนี้ขยายตัวร้อยละ 7.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย ตามการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกในหมวดอิเล็กทรอนิกส์และหมวดอาหารเป็นสำคัญ รวมทั้งหมวดยานยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์พาณิชย์รุ่นใหม่ เพื่อเตรียมจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออก นอกจากนี้ หมวดเครื่องดื่มมีการเร่งผลิตเบียร์เพื่อสะสมสต็อก
สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 74.1 ใกล้เคียงกับร้อยละ 74.0 ในเดือนก่อน
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 1.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน ตามการลดลงของปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ และการชะลอลงของทั้งปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งเป็นสำคัญ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 0.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ตามการลดลงของปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเป็นสำคัญ ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์กลับมาขยายตัวในเดือนนี้ สำหรับเครื่องชี้การลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย ตามปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น
3. ภาคการคลัง รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 220.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 18.0 โดยภาษีฐานรายได้ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.5 เร่งตัวจากเดือนก่อน ตามการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เนื่องจากอยู่ในช่วงของการเสียภาษีจากกำไรสุทธิรอบครึ่งปีบัญชี 2549 นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเร่งขึ้น เนื่องจากภาษีเงินได้จากดอกเบี้ยเป็นสำคัญ สำหรับภาษีฐานการบริโภคขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการชะลอตัวของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสำคัญ สำหรับรายได้ที่มิใช่ภาษีขยายตัวร้อยละ 136.1 จากระยะเดียวกันปีก่อนเร่งตัวขึ้นมากจากเดือนก่อน จากการนำส่งค่าภาคหลวงน้ำมันที่ปีก่อนนำส่งในเดือนกรกฎาคม ในเดือนนี้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 8.8 พันล้านบาท
4. ภาคต่างประเทศ ดุลการค้าเกินดุล 0.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ปรับตัวดีขึ้นจากที่ขาดดุลในเดือนก่อน โดยการส่งออกมีมูลค่าสูงถึง 11.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 17.0 สินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์เหล็ก การนำเข้ามีมูลค่า 11.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 11.2 จากการนำเข้าน้ำมันดิบ เครื่องจักร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน เกินดุล 0.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัด ในเดือนนี้เกินดุล 0.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลการชำระเงิน เกินดุล 0.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 59.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิ จำนวน 5.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงมากมาอยู่ที่ร้อยละ 3.8 จากราคาในหมวดพลังงานที่ชะลอลง ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในเดือนนี้ปรับลดลงจากเดือนก่อน 1.30 บาท และจากราคาในหมวดอาหารสดที่ชะลอลงตามราคาผักและผลไม้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผักและผลไม้หลายชนิดออกสู่ตลาด สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 จากหมวดอาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้านเป็นสำคัญ
ดัชนีราคาผู้ผลิตชะลอตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 6.6 จากร้อยละ 9.2 ในเดือนก่อน เป็นผลจากราคาหมวดเกษตรกรรม และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ลดลง
6. ภาวะการเงิน เงินฝากธนาคารพาณิชย์ในเดือนนี้ขยายตัวร้อยละ 9.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเมื่อหักผลของการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์รายใหม่ เงินฝากขยายตัวร้อยละ 7.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน สำหรับสิทธิเรียกร้องจากภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์1/ ขยายตัวร้อยละ 5.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจากเดือนกรกฎาคมตามการลดลงของสินเชื่อที่ให้แก่สถาบันการเงินอื่น ประกอบกับการชะลอตัวของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ ทั้งนี้ เมื่อหักผลของการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งใหมรวมทั้งการตัดสินเชื่อออกจากบัญชีและการโอนสินเชื่อไปยัง AMC สิทธิเรียกร้องฯ ขยายตัวร้อยละ 5.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน อนึ่ง ในเดือนนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะสั้น 3-6 เดือน และเงินให้สินเชื่อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 782.7 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนปริมาณเงิน M2 M2a M3 และปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money)2/ ขยายตัวร้อยละ 9.7 7.8 9.0 และ 9.4 ตามลำดับ เป็นอัตราการขยายตัวที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนสิงหาคม 2549 ต่อเนื่องมาถึงช่วงวันที่ 1-22 กันยายน 2549 ทั้งอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. ทั้งสองครั้งล่าสุดที่ผ่านมา (วันที่ 19 กรกฎาคม และ 6 กันยายน 2549) โดยอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.0 ต่อปี
7. ค่าเงินบาทในเดือนสิงหาคม 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ 37.64 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยในเดือนก่อนที่ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายดอลลาร์ สรอ. ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของเดือน เนื่องจากมีแนวโน้มว่าวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ น่าจะใกล้ยุติแล้ว อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน เงินบาทอ่อนค่าลงบ้างจากความกังวลเกี่ยวกับการสอบสวนบริษัทที่เป็น Nominee ในตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับแข็งค่าขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ระหว่างวันที่ 1-22 กันยายน 2549 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ 37.41 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แต่เคลื่อนไหวผันผวนในระยะสั้น ๆ หลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน โดยนักลงทุนต่างชาติเร่งซื้อดอลลาร์ สรอ. กลับ ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็วไปถึงระดับ 37.95 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ก่อนจะแข็งค่ากลับขึ้นมาบ้างเมื่อมีการประเมินว่าสถานการณ์มิได้มีความรุนแรงแต่อย่างใด
ข้อมูลเพิ่มเติม: คุณธรรมนูญ สดศรีชัย
โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639
e-mail: thammans@bot.or.th
1/ หมายถึง สินเชื่อภาคเอกชนรวมการถือครองหลักทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
2/ หมายถึง ปริมาณเงินในความหมายที่กว้างกว่า M3 โดยได้รวมเงินรับฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีลักษณะทดแทนเงินฝากได้ของสถาบันรับฝากเงินอื่น นอกเหนือจาก ธพ. บง. และธนาคารเฉพาะกิจ ในการจัดทำปริมาณเงินตามความหมายกว้างนี้ ธปท. ได้อ้างอิงคู่มือ Monetary and Financial Statistics Manual (MFSM2000) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายละเอียดเกี่ยวกับนิยาม หลักการ และวิธีการจัดทำสามารถอ้างอิงได้จาก http://www.bot.or.th/bothomepage/databank/EconData/EconFinance/download/MS06T.doc ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2550 ธปท. จะเผยแพร่ปริมาณเงินตามความหมายกว้างแทนปริมาณเงินอื่น ๆ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ด้านอุปทาน ผลผลิตภาคเกษตรและราคาพืชผลขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง ทำให้รายได้เกษตรกรขยายตัวลดลงในเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี
เสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลต่อเนื่องและฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในเกณฑ์สูงส่วนอัตราเงินเฟ้อชะลอลงมากและอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนสิงหาคมปี 2549 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนนี้ขยายตัวร้อยละ 7.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย ตามการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกในหมวดอิเล็กทรอนิกส์และหมวดอาหารเป็นสำคัญ รวมทั้งหมวดยานยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์พาณิชย์รุ่นใหม่ เพื่อเตรียมจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออก นอกจากนี้ หมวดเครื่องดื่มมีการเร่งผลิตเบียร์เพื่อสะสมสต็อก
สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 74.1 ใกล้เคียงกับร้อยละ 74.0 ในเดือนก่อน
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 1.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน ตามการลดลงของปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ และการชะลอลงของทั้งปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งเป็นสำคัญ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 0.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ตามการลดลงของปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเป็นสำคัญ ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์กลับมาขยายตัวในเดือนนี้ สำหรับเครื่องชี้การลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย ตามปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น
3. ภาคการคลัง รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 220.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 18.0 โดยภาษีฐานรายได้ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.5 เร่งตัวจากเดือนก่อน ตามการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เนื่องจากอยู่ในช่วงของการเสียภาษีจากกำไรสุทธิรอบครึ่งปีบัญชี 2549 นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเร่งขึ้น เนื่องจากภาษีเงินได้จากดอกเบี้ยเป็นสำคัญ สำหรับภาษีฐานการบริโภคขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการชะลอตัวของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสำคัญ สำหรับรายได้ที่มิใช่ภาษีขยายตัวร้อยละ 136.1 จากระยะเดียวกันปีก่อนเร่งตัวขึ้นมากจากเดือนก่อน จากการนำส่งค่าภาคหลวงน้ำมันที่ปีก่อนนำส่งในเดือนกรกฎาคม ในเดือนนี้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 8.8 พันล้านบาท
4. ภาคต่างประเทศ ดุลการค้าเกินดุล 0.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ปรับตัวดีขึ้นจากที่ขาดดุลในเดือนก่อน โดยการส่งออกมีมูลค่าสูงถึง 11.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 17.0 สินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์เหล็ก การนำเข้ามีมูลค่า 11.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 11.2 จากการนำเข้าน้ำมันดิบ เครื่องจักร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน เกินดุล 0.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัด ในเดือนนี้เกินดุล 0.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลการชำระเงิน เกินดุล 0.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 59.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิ จำนวน 5.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงมากมาอยู่ที่ร้อยละ 3.8 จากราคาในหมวดพลังงานที่ชะลอลง ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในเดือนนี้ปรับลดลงจากเดือนก่อน 1.30 บาท และจากราคาในหมวดอาหารสดที่ชะลอลงตามราคาผักและผลไม้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผักและผลไม้หลายชนิดออกสู่ตลาด สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 จากหมวดอาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้านเป็นสำคัญ
ดัชนีราคาผู้ผลิตชะลอตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 6.6 จากร้อยละ 9.2 ในเดือนก่อน เป็นผลจากราคาหมวดเกษตรกรรม และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ลดลง
6. ภาวะการเงิน เงินฝากธนาคารพาณิชย์ในเดือนนี้ขยายตัวร้อยละ 9.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเมื่อหักผลของการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์รายใหม่ เงินฝากขยายตัวร้อยละ 7.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน สำหรับสิทธิเรียกร้องจากภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์1/ ขยายตัวร้อยละ 5.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจากเดือนกรกฎาคมตามการลดลงของสินเชื่อที่ให้แก่สถาบันการเงินอื่น ประกอบกับการชะลอตัวของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ ทั้งนี้ เมื่อหักผลของการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งใหมรวมทั้งการตัดสินเชื่อออกจากบัญชีและการโอนสินเชื่อไปยัง AMC สิทธิเรียกร้องฯ ขยายตัวร้อยละ 5.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน อนึ่ง ในเดือนนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะสั้น 3-6 เดือน และเงินให้สินเชื่อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 782.7 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนปริมาณเงิน M2 M2a M3 และปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money)2/ ขยายตัวร้อยละ 9.7 7.8 9.0 และ 9.4 ตามลำดับ เป็นอัตราการขยายตัวที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนสิงหาคม 2549 ต่อเนื่องมาถึงช่วงวันที่ 1-22 กันยายน 2549 ทั้งอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. ทั้งสองครั้งล่าสุดที่ผ่านมา (วันที่ 19 กรกฎาคม และ 6 กันยายน 2549) โดยอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.0 ต่อปี
7. ค่าเงินบาทในเดือนสิงหาคม 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ 37.64 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยในเดือนก่อนที่ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายดอลลาร์ สรอ. ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของเดือน เนื่องจากมีแนวโน้มว่าวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ น่าจะใกล้ยุติแล้ว อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน เงินบาทอ่อนค่าลงบ้างจากความกังวลเกี่ยวกับการสอบสวนบริษัทที่เป็น Nominee ในตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับแข็งค่าขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ระหว่างวันที่ 1-22 กันยายน 2549 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ 37.41 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แต่เคลื่อนไหวผันผวนในระยะสั้น ๆ หลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน โดยนักลงทุนต่างชาติเร่งซื้อดอลลาร์ สรอ. กลับ ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็วไปถึงระดับ 37.95 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ก่อนจะแข็งค่ากลับขึ้นมาบ้างเมื่อมีการประเมินว่าสถานการณ์มิได้มีความรุนแรงแต่อย่างใด
ข้อมูลเพิ่มเติม: คุณธรรมนูญ สดศรีชัย
โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639
e-mail: thammans@bot.or.th
1/ หมายถึง สินเชื่อภาคเอกชนรวมการถือครองหลักทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
2/ หมายถึง ปริมาณเงินในความหมายที่กว้างกว่า M3 โดยได้รวมเงินรับฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีลักษณะทดแทนเงินฝากได้ของสถาบันรับฝากเงินอื่น นอกเหนือจาก ธพ. บง. และธนาคารเฉพาะกิจ ในการจัดทำปริมาณเงินตามความหมายกว้างนี้ ธปท. ได้อ้างอิงคู่มือ Monetary and Financial Statistics Manual (MFSM2000) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายละเอียดเกี่ยวกับนิยาม หลักการ และวิธีการจัดทำสามารถอ้างอิงได้จาก http://www.bot.or.th/bothomepage/databank/EconData/EconFinance/download/MS06T.doc ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2550 ธปท. จะเผยแพร่ปริมาณเงินตามความหมายกว้างแทนปริมาณเงินอื่น ๆ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--