กรุงเทพ--17 พ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548 ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวต่อที่ประชุมเต็มคณะของรัฐมนตรีเอเปค ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุมฯ ก่อนหน้าการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 13 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2548 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เน้นถึงความสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ (ECOTECH) ระหว่างสมาชิกเอเปคซึ่งจะช่วยสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ (การเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกทางการค้าการลงทุนภายในปี 2553 สำหรับสมาชิกที่พัฒนาแล้ว และปี 2563 สำหรับสมาชิกกำลังพัฒนา) และความร่วมมือระหว่างสมาชิกเอเปค โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศได้แสดงความยินดีต่อการที่เอเปคให้ความสำคัญต่อกิจกรรมของ ECOTECH พร้อมทั้ง ชื่นชมบทบาทสำคัญของออสเตรเลียในเรื่องนี้ และหวังว่าจะมีการเพิ่มความร่วมมือระหว่างเอเปคกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศในเรื่อง ECOTECH ต่อไป
ที่ประชุมเต็มคณะของรัฐมนตรีเอเปคได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (รายละเอียดสามารถเปิดดูได้จากเว็ปไซต์ www.apec.org) ซึ่งมีสาระสำคัญแสดงความหวังว่าการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบ โดฮาที่จะมีการหารือในที่ประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ฮ่องกงในเดือนธันวาคม ศกนี้ จะประสบความคืบหน้า นอกจากนี้ แถลงการณ์ร่วมฯ ยังเน้นถึงความจำเป็นที่ประชาคมระหว่างประเทศจะต้องร่วมมือกันในการต่อสู้กับโรคไข้หวัดนก และการต่อต้านการก่อการร้ายข้ามชาติ เพื่อนำมาซึ่งความมั่นคงอันเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการเปิดเสรีทางการค้าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
ในช่วงบ่าย ดร. กันตธีร์ฯ ได้พบหารือทวิภาคีกับนาย Samuel Lewis Navarro รองประธานาธิบดีคนที่หนึ่งและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปานามา ซึ่งฝ่ายปานามาได้ขอความสนับสนุนจากไทย ต่อการที่ปานามาจะสมัครเป็นสมาชิคเอเปคเมื่อช่วงเวลาการระงับการเปิดรับสมาชิกใหม่ของเอเปค สิ้นสุดลงในปี 2550 นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันว่าไทยและปานามามีโอกาสและช่องทาง ในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน โดยคำนึงถึงข้อได้เปรียบจากการที่ปานามา เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งสินค้า (logistic) และช่องทางเข้าสู่ตลาดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ตลอดจนประเทศในแคริเบียน
ในช่วงเย็น ดร. กันตธีร์ฯ ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบรูไนฯ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนามซึ่งเดินทางมาร่วมประชุมรัฐมนตรีเอเปค (ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน) เพื่อหารือถึงการเตรียมการสำหรับการประชุมระหว่างผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 7 ชาติ กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 18 พฤศจิกายน ศกนี้
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548 ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวต่อที่ประชุมเต็มคณะของรัฐมนตรีเอเปค ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุมฯ ก่อนหน้าการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 13 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2548 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เน้นถึงความสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ (ECOTECH) ระหว่างสมาชิกเอเปคซึ่งจะช่วยสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ (การเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกทางการค้าการลงทุนภายในปี 2553 สำหรับสมาชิกที่พัฒนาแล้ว และปี 2563 สำหรับสมาชิกกำลังพัฒนา) และความร่วมมือระหว่างสมาชิกเอเปค โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศได้แสดงความยินดีต่อการที่เอเปคให้ความสำคัญต่อกิจกรรมของ ECOTECH พร้อมทั้ง ชื่นชมบทบาทสำคัญของออสเตรเลียในเรื่องนี้ และหวังว่าจะมีการเพิ่มความร่วมมือระหว่างเอเปคกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศในเรื่อง ECOTECH ต่อไป
ที่ประชุมเต็มคณะของรัฐมนตรีเอเปคได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (รายละเอียดสามารถเปิดดูได้จากเว็ปไซต์ www.apec.org) ซึ่งมีสาระสำคัญแสดงความหวังว่าการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบ โดฮาที่จะมีการหารือในที่ประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ฮ่องกงในเดือนธันวาคม ศกนี้ จะประสบความคืบหน้า นอกจากนี้ แถลงการณ์ร่วมฯ ยังเน้นถึงความจำเป็นที่ประชาคมระหว่างประเทศจะต้องร่วมมือกันในการต่อสู้กับโรคไข้หวัดนก และการต่อต้านการก่อการร้ายข้ามชาติ เพื่อนำมาซึ่งความมั่นคงอันเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการเปิดเสรีทางการค้าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
ในช่วงบ่าย ดร. กันตธีร์ฯ ได้พบหารือทวิภาคีกับนาย Samuel Lewis Navarro รองประธานาธิบดีคนที่หนึ่งและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปานามา ซึ่งฝ่ายปานามาได้ขอความสนับสนุนจากไทย ต่อการที่ปานามาจะสมัครเป็นสมาชิคเอเปคเมื่อช่วงเวลาการระงับการเปิดรับสมาชิกใหม่ของเอเปค สิ้นสุดลงในปี 2550 นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันว่าไทยและปานามามีโอกาสและช่องทาง ในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน โดยคำนึงถึงข้อได้เปรียบจากการที่ปานามา เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งสินค้า (logistic) และช่องทางเข้าสู่ตลาดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ตลอดจนประเทศในแคริเบียน
ในช่วงเย็น ดร. กันตธีร์ฯ ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบรูไนฯ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนามซึ่งเดินทางมาร่วมประชุมรัฐมนตรีเอเปค (ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน) เพื่อหารือถึงการเตรียมการสำหรับการประชุมระหว่างผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 7 ชาติ กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 18 พฤศจิกายน ศกนี้
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-