วันนี้ (9พย.49) นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กรรมการบริหาร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กรมสรรพากรเตรียมออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร 2บุตรชายหญิงอดีตนายกรัฐมนตรีไปเสียภาษีและเบี้ยปรับ ว่า แม้บริษัทแอมเพิลริชจะอยู่ต่างประเทศ แต่ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแอมเพิลริช แต่เจ้าของทั้งสองคนคือ นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา อยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการอยู่ในบริษัทแอมเพิลริช โดยรายได้ของแอมเพิลริช ที่ลงทุนในประเทศไทยมีเงินปันผลทั้งสิ้น 4 ปี เป็นเงิน 1,910.60 ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการหัก ณ ที่จ่าย ร้อยละ 10 ดังนั้นจะต้องมีเงินสดเหลือประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเช็คเขียนจ่ายแอมเพิลริช 1,700 ล้านบาท แล้วใครเป็นคนเอาเช็คนี้ไปเบิกเงิน เพราะแอมเพิลริชอยู่ต่างประเทศ
" หากเอาเงินเข้าบัญชีเจ้าของบัญชีนายพานทองแท้ก็ต้องถามว่า นายพานทองแท้ได้แจ้งกรมสรรพากรว่าเงินที่ได้มาจากรูปแบบไหน เพราะไม่ใช่เจ้าของเงิน แต่แอมเพิลริชเป็นเจ้าของเงิน ในหลักการที่ถูกต้องเมื่อได้เช็คแล้วจะต้องส่งเช็คหรือแลกเป็นเงินดอลลาร์ส่งไปต่างประเทศ เวลาส่งต้องเสียภาษีอีก 15 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ทางกรรมสรรพากรต้องเข้าไปตรวจสอบว่ามีการเสียภาษีตรงนี้หรือไม่ อย่าให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)เข้ามาจี้ และอย่าให้การเมืองเข้ามาแทรกแซง ต้องปรับตัวกันใหม่ " นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว
อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า แอมเพิลริช มีหุ้นทั้งหมด 329 ล้านหุ้น ต้นทุนหุ้นละ 1 บาท เวลามาขายให้นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา โดยอ้างว่าขายราคาหุ้นละ 1 บาท เพื่อจะหลบเลี่ยงการเสียภาษี แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่าต้องตีราคาหุ้นจริง ดังนั้นวันที่แอมเพิลริชขายหุ้นให้ลูกๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องตีราคาที่หุ้นละ 47 บาท ไม่ใช่ 49.25 บาท เพราะราคา 49.25 บาท เป็นราคาที่เทมาเส็กซื้อ ไม่เกี่ยวกัน ต้องตีราคาตลาดในวันที่ซื้อว่ามีราคาเท่าไหร่ ตรงนั้นแอมเพิลริชมีกำไร 14,000 กว่าล้านบาท แอมเพิลริชต้องเสียภาษีร้อยละ 15-30 เพราะถือเป็นการลงทุนในประเทศไทย แอมเพิลริชอาจจะมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 เหรียญก็ตาม แต่เจ้าของแอมเพิลริชคือลูกชายและลูกสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเสียภาษีแทนแอมเพิลริช
คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ผู้นี้ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า มีการจ่ายเงินให้กับแอมเพิลริชจริงหรือไม่ เพราะหากมีการจ่ายจริงต้องมีการหักเงินส่งออก การที่ไม่มีการเสียภาษีแสดงว่าไม่มีการจ่ายเงินให้กับแอมเพิลริช และหากไม่มีการจ่ายเงินจริง แสดงว่าแอมเพิลริชเป็นลูกหนี้ของพ.ต.ท.ทักษิณ และต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ว่ามีลูกหนี้ชื่อแอมเพิลริช 329 ล้านบาทยังไม่ได้จ่ายเงินให้ แต่ยังไม่ได้มีการชี้แจงไว้ จึงแสดงว่ามีการจ่ายเงินจริง และคงต้องไปดูก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เอาเงินที่ไหนจ่ายให้ แอมเพิลริช 329 ล้านบาท ถ้าหากแอมเพิลริชไปกู้ก็เป็นคำตอบที่พอฟังได้ แต่ต้องถามอีกว่าใครเป็นคนค้ำประกัน แต่หากเป็นเงินก็น่าสงสัย เพราะไม่แน่ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีรายได้จากต่างประเทศในธุรกิจใด ถึง 300-400 ล้านบาท
“ผมมองถึงวันนี้ว่า คุณทักษิณ ไมได้ขายหุ้น 7 หมื่นกว่าล้านบาท ที่ทุกคนบอกว่าขายให้เทมาเส็ก ขายให้ใครต่อใคร และส่วนของคุณทักษิณ 49เปอร์เซ็นต์ผมคิดว่าคุณทักษิณขายให้ตัวเอง ซึ่งน่าจะเป็นไปได้มาก” นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่เหลือที่กรมสรรพากรต้องไปตามคือ จะต้องย้อนกลับไปดูว่าการขายหุ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ผู้ขายได้หุ้นมาอย่างไร ลูกๆ ก็ไปกู้เงินพ่อมาซื้อในราคา 1 บาทต่อหุ้น หรือ 10 บาท ต่อหุ้น ตรงนี้ต้องกลับไปดูว่าทำอย่างนั้นได้หรือไม่ แต่ประเด็นที่ตนคิดว่าชัดเจนคือ กรณี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจนมาน ชินวัตร ภรรยาพ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายบรรพจน์ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แบบปกติ แต่ไม่มีเงิน แต่ได้รับเงินสดมาจากคุณหญิงพจมาน จำนวน 738 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 เพื่อไปซื้อหุ้น โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว มีการอ้างว่าเงินที่ได้มา 738 ล้านบาท เนื่องจากได้ในวันแต่งงาน แต่วันแต่งงานย้อนหลังไป 2 ปี ทางกรมสรรพากรจะต้องกลับไปทบทวนในประเด็นเหล่านี้ด้วย
" ผมเห็นใจ แต่หน้าที่คือหน้าที่ ผมคิดว่าวันนี้จะล้างบาปตัวเองต้องรีบทำเรื่องพวกนี้ให้ครบบริบูรณ์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับผิดชอบทั้งหมดต้องลาออกไปเสีย โดยส่วนตัวก็อภัยให้ได้แต่ในทางกฎหมายอาจจะรับไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ทั้งนี้อย่าเพิ่งลาออกตอนนี้ต้องทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องก่อน และหน้าที่ใครก็ต้องรับผิดชอบ ถ้ามีหน้าที่ตรงนั้นอยู่เรื่องอื่นยังพออภัยกันได้แต่เรื่องภาษีอภัยไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เราทุกคนก็เสียภาษีกันทั้งนั้น 40 ล้านกว่าคน " กอร์ปศักดิ์ กล่าวตอบข้อถามที่ว่า ควรจะเอาผิดเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรหรือไม่ เพราะตอนแรกออกมาระบุว่าไม่ต้องเก็บภาษี
เมื่อถามว่า ทางม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ออกมาระบุว่า ทางอธิบดีกรมสรรพากรไม่มีเรื่องกับการตัดสินใจไม่เก็บภาษี เหมือนเป็นการปกป้องกันหรือไม่ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นใครเป็นผู้รับผิดชอบ ตนเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีต รมว.คลัง ซึ่งได้เสนอหลักฐานและกล่าวหาว่านายสมคิดละเลยไม่เก็บภาษีนายบรรพจน์ ตนได้ส่งหลักฐานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ขณะนั้น ปลัดกระทรวงการคลังคนปัจจุบันคือนายศุภรัตน์ ควัฒน์กูล เป็นอธิบดีกรมสรรพากรขณะนั้น โดยทางป.ป.ช. ได้เชิญอธิบดีมาชี้แจง แล้วบอกว่าไม่มีเอกสารหลักฐานใดๆ ที่นายสมคิดสั่งการไม่ให้เสียภาษี ดังนั้น ป.ป.ช.จึงถือว่านายสมคิดไม่เกี่ยว
แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ การที่จะมาอ้างว่าเงิน 738 ล้าบาท ได้มาเพราะวันแต่งงานกับได้บุตรคนแรก ซึ่งห่างกันเป็นเวลา 2 ปี ไม่น่าจะถูกต้องจึงขอให้มีการแยกเรื่องและตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเจ้าหน้าที่โดยตรง ซึ่งป.ป.ช. ชุดเก่าที่เราเชื่อว่าอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ เขายังเชื่อว่าเรื่องนี้ไปไม่ไหวจริงๆ จึงได้พักเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ชุดใหม่ที่จะเดินเรื่องต่อ
“ไม่มีใครเชื่อว่าเงินจำนวน 738 ล้านบาท ตามที่คุณหญิงพจนมานอ้างว่า ในโอกาสวันแต่งงานและวันเกิดลูกชาย ฟังไม่ขึ้น เพราะเหตุการณ์ไม่ได้ให้หลังจาก 1 วัน 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือนหลังวันแต่งงาน แต่นี่เป็นเวลาเกือบ 2 ปี” นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าคิดว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ที่ออกมาพูดเหมือนปกป้องเจ้าหน้าที่ควรจะต้องแสดงความชัดเจนตรงนี้หรือไม่ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ต้องบอกท่าน ตนคิดว่าท่านรู้หน้าที่ของท่านดีอยู่แล้ว ทั้งนี้ ตนไม่แน่ใจว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรจะออกมาปกป้องอย่างไร ถ้าปกป้องจริงเรื่องเก็บภาษีคงจะไม่เกิดขึ้น ท่านคงมีวิธีการของท่าน คงต้องเชื่อมือกันหน่อย
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากจะต้องเสียภาษีคิดแล้วจะเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า เงินภาษีส่วนที่เข้ารัฐมากที่สุดน่าจะเป็นส่วนที่มีการซื้อขายในราคาทุน หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ขายให้ลูกชาย น้องสาว หรือให้ใครก็แล้วแต่ ในราคาทุน ผู้ซื้อหลายคนไม่มีเงินเป็นการกู้เงินมาซื้อ ไม่มีการชำระเงินสด แต่อ้างว่าซื้อในราคาทุนปกติแต่ทางกรมสรรพากรจะตีความราคา ณ วันซื้อขาย แต่อย่าลืมว่าการซื้อขายทั้งหมดทำนอกตลาด ไม่ใช่ในตลาดดังนั้น เงินที่จะต้องเสียภาษีให้กับรัฐ กรณีการขายหุ้นชินในราคาพาร์ 329 ล้านบาท เป็นเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพราะต้องคิดราคาขาย ณ วันซื้อขาย คือ หุ้นละ 47 บาท
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 9 พ.ย. 2549--จบ--
" หากเอาเงินเข้าบัญชีเจ้าของบัญชีนายพานทองแท้ก็ต้องถามว่า นายพานทองแท้ได้แจ้งกรมสรรพากรว่าเงินที่ได้มาจากรูปแบบไหน เพราะไม่ใช่เจ้าของเงิน แต่แอมเพิลริชเป็นเจ้าของเงิน ในหลักการที่ถูกต้องเมื่อได้เช็คแล้วจะต้องส่งเช็คหรือแลกเป็นเงินดอลลาร์ส่งไปต่างประเทศ เวลาส่งต้องเสียภาษีอีก 15 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ทางกรรมสรรพากรต้องเข้าไปตรวจสอบว่ามีการเสียภาษีตรงนี้หรือไม่ อย่าให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)เข้ามาจี้ และอย่าให้การเมืองเข้ามาแทรกแซง ต้องปรับตัวกันใหม่ " นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว
อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า แอมเพิลริช มีหุ้นทั้งหมด 329 ล้านหุ้น ต้นทุนหุ้นละ 1 บาท เวลามาขายให้นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา โดยอ้างว่าขายราคาหุ้นละ 1 บาท เพื่อจะหลบเลี่ยงการเสียภาษี แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่าต้องตีราคาหุ้นจริง ดังนั้นวันที่แอมเพิลริชขายหุ้นให้ลูกๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องตีราคาที่หุ้นละ 47 บาท ไม่ใช่ 49.25 บาท เพราะราคา 49.25 บาท เป็นราคาที่เทมาเส็กซื้อ ไม่เกี่ยวกัน ต้องตีราคาตลาดในวันที่ซื้อว่ามีราคาเท่าไหร่ ตรงนั้นแอมเพิลริชมีกำไร 14,000 กว่าล้านบาท แอมเพิลริชต้องเสียภาษีร้อยละ 15-30 เพราะถือเป็นการลงทุนในประเทศไทย แอมเพิลริชอาจจะมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 เหรียญก็ตาม แต่เจ้าของแอมเพิลริชคือลูกชายและลูกสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเสียภาษีแทนแอมเพิลริช
คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ผู้นี้ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า มีการจ่ายเงินให้กับแอมเพิลริชจริงหรือไม่ เพราะหากมีการจ่ายจริงต้องมีการหักเงินส่งออก การที่ไม่มีการเสียภาษีแสดงว่าไม่มีการจ่ายเงินให้กับแอมเพิลริช และหากไม่มีการจ่ายเงินจริง แสดงว่าแอมเพิลริชเป็นลูกหนี้ของพ.ต.ท.ทักษิณ และต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ว่ามีลูกหนี้ชื่อแอมเพิลริช 329 ล้านบาทยังไม่ได้จ่ายเงินให้ แต่ยังไม่ได้มีการชี้แจงไว้ จึงแสดงว่ามีการจ่ายเงินจริง และคงต้องไปดูก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เอาเงินที่ไหนจ่ายให้ แอมเพิลริช 329 ล้านบาท ถ้าหากแอมเพิลริชไปกู้ก็เป็นคำตอบที่พอฟังได้ แต่ต้องถามอีกว่าใครเป็นคนค้ำประกัน แต่หากเป็นเงินก็น่าสงสัย เพราะไม่แน่ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีรายได้จากต่างประเทศในธุรกิจใด ถึง 300-400 ล้านบาท
“ผมมองถึงวันนี้ว่า คุณทักษิณ ไมได้ขายหุ้น 7 หมื่นกว่าล้านบาท ที่ทุกคนบอกว่าขายให้เทมาเส็ก ขายให้ใครต่อใคร และส่วนของคุณทักษิณ 49เปอร์เซ็นต์ผมคิดว่าคุณทักษิณขายให้ตัวเอง ซึ่งน่าจะเป็นไปได้มาก” นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่เหลือที่กรมสรรพากรต้องไปตามคือ จะต้องย้อนกลับไปดูว่าการขายหุ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ผู้ขายได้หุ้นมาอย่างไร ลูกๆ ก็ไปกู้เงินพ่อมาซื้อในราคา 1 บาทต่อหุ้น หรือ 10 บาท ต่อหุ้น ตรงนี้ต้องกลับไปดูว่าทำอย่างนั้นได้หรือไม่ แต่ประเด็นที่ตนคิดว่าชัดเจนคือ กรณี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจนมาน ชินวัตร ภรรยาพ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายบรรพจน์ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แบบปกติ แต่ไม่มีเงิน แต่ได้รับเงินสดมาจากคุณหญิงพจมาน จำนวน 738 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 เพื่อไปซื้อหุ้น โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว มีการอ้างว่าเงินที่ได้มา 738 ล้านบาท เนื่องจากได้ในวันแต่งงาน แต่วันแต่งงานย้อนหลังไป 2 ปี ทางกรมสรรพากรจะต้องกลับไปทบทวนในประเด็นเหล่านี้ด้วย
" ผมเห็นใจ แต่หน้าที่คือหน้าที่ ผมคิดว่าวันนี้จะล้างบาปตัวเองต้องรีบทำเรื่องพวกนี้ให้ครบบริบูรณ์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับผิดชอบทั้งหมดต้องลาออกไปเสีย โดยส่วนตัวก็อภัยให้ได้แต่ในทางกฎหมายอาจจะรับไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ทั้งนี้อย่าเพิ่งลาออกตอนนี้ต้องทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องก่อน และหน้าที่ใครก็ต้องรับผิดชอบ ถ้ามีหน้าที่ตรงนั้นอยู่เรื่องอื่นยังพออภัยกันได้แต่เรื่องภาษีอภัยไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เราทุกคนก็เสียภาษีกันทั้งนั้น 40 ล้านกว่าคน " กอร์ปศักดิ์ กล่าวตอบข้อถามที่ว่า ควรจะเอาผิดเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรหรือไม่ เพราะตอนแรกออกมาระบุว่าไม่ต้องเก็บภาษี
เมื่อถามว่า ทางม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ออกมาระบุว่า ทางอธิบดีกรมสรรพากรไม่มีเรื่องกับการตัดสินใจไม่เก็บภาษี เหมือนเป็นการปกป้องกันหรือไม่ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นใครเป็นผู้รับผิดชอบ ตนเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีต รมว.คลัง ซึ่งได้เสนอหลักฐานและกล่าวหาว่านายสมคิดละเลยไม่เก็บภาษีนายบรรพจน์ ตนได้ส่งหลักฐานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ขณะนั้น ปลัดกระทรวงการคลังคนปัจจุบันคือนายศุภรัตน์ ควัฒน์กูล เป็นอธิบดีกรมสรรพากรขณะนั้น โดยทางป.ป.ช. ได้เชิญอธิบดีมาชี้แจง แล้วบอกว่าไม่มีเอกสารหลักฐานใดๆ ที่นายสมคิดสั่งการไม่ให้เสียภาษี ดังนั้น ป.ป.ช.จึงถือว่านายสมคิดไม่เกี่ยว
แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ การที่จะมาอ้างว่าเงิน 738 ล้าบาท ได้มาเพราะวันแต่งงานกับได้บุตรคนแรก ซึ่งห่างกันเป็นเวลา 2 ปี ไม่น่าจะถูกต้องจึงขอให้มีการแยกเรื่องและตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเจ้าหน้าที่โดยตรง ซึ่งป.ป.ช. ชุดเก่าที่เราเชื่อว่าอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ เขายังเชื่อว่าเรื่องนี้ไปไม่ไหวจริงๆ จึงได้พักเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ชุดใหม่ที่จะเดินเรื่องต่อ
“ไม่มีใครเชื่อว่าเงินจำนวน 738 ล้านบาท ตามที่คุณหญิงพจนมานอ้างว่า ในโอกาสวันแต่งงานและวันเกิดลูกชาย ฟังไม่ขึ้น เพราะเหตุการณ์ไม่ได้ให้หลังจาก 1 วัน 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือนหลังวันแต่งงาน แต่นี่เป็นเวลาเกือบ 2 ปี” นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าคิดว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ที่ออกมาพูดเหมือนปกป้องเจ้าหน้าที่ควรจะต้องแสดงความชัดเจนตรงนี้หรือไม่ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ต้องบอกท่าน ตนคิดว่าท่านรู้หน้าที่ของท่านดีอยู่แล้ว ทั้งนี้ ตนไม่แน่ใจว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรจะออกมาปกป้องอย่างไร ถ้าปกป้องจริงเรื่องเก็บภาษีคงจะไม่เกิดขึ้น ท่านคงมีวิธีการของท่าน คงต้องเชื่อมือกันหน่อย
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากจะต้องเสียภาษีคิดแล้วจะเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า เงินภาษีส่วนที่เข้ารัฐมากที่สุดน่าจะเป็นส่วนที่มีการซื้อขายในราคาทุน หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ขายให้ลูกชาย น้องสาว หรือให้ใครก็แล้วแต่ ในราคาทุน ผู้ซื้อหลายคนไม่มีเงินเป็นการกู้เงินมาซื้อ ไม่มีการชำระเงินสด แต่อ้างว่าซื้อในราคาทุนปกติแต่ทางกรมสรรพากรจะตีความราคา ณ วันซื้อขาย แต่อย่าลืมว่าการซื้อขายทั้งหมดทำนอกตลาด ไม่ใช่ในตลาดดังนั้น เงินที่จะต้องเสียภาษีให้กับรัฐ กรณีการขายหุ้นชินในราคาพาร์ 329 ล้านบาท เป็นเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพราะต้องคิดราคาขาย ณ วันซื้อขาย คือ หุ้นละ 47 บาท
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 9 พ.ย. 2549--จบ--