นางสาวนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่าขณะนี้ ธปท.ได้ส่งหนังสือเกี่ยวกับมาตรการดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมในส่วนที่จะอนุญาตให้ผู้ส่งออกเพิ่มช่วงเวลาการถือครองเงินสกุลต่างประเทศจาก 7 วันเป็น 15 วัน และอนุญาตให้นักลงทุนไทย/บริษัทหลักทรัพย์ออกไปลงทุนในต่างประเทศได้เพิ่มเติม โดยได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ ยอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วเกินไปแต่ก็ได้ติดตามดูแลอยู่ตลอดเวลา
นางสาวนิตยา กล่าวว่าค่าเงินบาทขณะนี้ค่อนข้างแข็งค่าขึ้นเร็วเกินไปซึ่งก็เป็นผลมาจากพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาค การเพิ่มมาตรการต่าง ๆ ในการดูแลค่าเงินบาทนั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะจะพิจารณาเฉพาะในเวลาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องคำนึงถึงช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าด้วย ส่วนกรณีที่ผู้ส่งออกได้ทำหนังสือมาที่ ธปท.นั้นก็จะต้องชี้แจงให้เข้าใจถึงฐานะการเงินของโลกด้วย สำหรับค่าเงินบาทวานนี้แข็งค่าต่อเนื่องเคลื่อนไหว ที่ระดับ 36.43-36.46 บาทต่อดอลลาร์
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน (ธปท.) เปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ธปท.จะเผยแพร่ข้อมูลดุลการชำระเงินโดยนับรวมข้อมูลในส่วนของกำไรสะสมที่นำกลับมาลงทุนใหม่(Reinvested Earnings) ไว้ในบัญชีด้วยเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลซึ่งการนำข้อมูลกำไรที่นำกลับมาลงทุนมาบันทึกไว้ในบัญชีนี้ จะมีผลทำให้มูลค่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีลดลง ขณะที่บัญชีเงินทุนจะเพิ่มขึ้นแต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น ไม่มีเม็ดเงินไหลเข้าออกจริง
ประเด็นวิเคราะห์:
จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่องนั้น ธปท. ได้พยายามหามาตรการเพื่อผ่อนคลายปัญหาดังกล่าว ดังนั้น เห็นควรที่ภาครัฐและเอกชนจะต้องเร่งการทำงานในเชิงรุกและหากลยุทธ์ ในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและการบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป
ที่มา: http://www.depthai.go.th