วันนี้ (23 มิย.) ที่รัฐสภา นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการฯ ซีกฝ่ายค้าน กล่าวว่า การประชุมร่วมกันของคณะกรรมาธิการการคมนาคมและคณะกรรมาธิการป.ป.ช. ที่ไม่สามารถสรุปผลการสอบสวนได้ เกิดจากความล้มเหลวของการประชุมร่วม และผู้เกี่ยวข้องที่คณะกรรมาธิการฯ เชิญมาชี้แจง ถือว่าไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ความร่วมมือ เปรียบเหมือนวัวสันหลังหวะที่กลัวการตรวจสอบ หรือผู้บริหารหน่วยงานดังกล่าวรู้ว่าข้อมูลที่จะนำมาชี้แจงนั้นชี้ให้เห็นว่ามีการทุจริตจริง ที่สำคัญเป็นการตบหน้านายกฯ และประธานรัฐสภา ดูถูกสภาผู้แทนราษฎร อย่างแรง เชื่อว่าสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่มาชี้แจงต้องได้รับสัญญาณจากผู้มีอำนาจ และถือว่านายกฯ ปากว่าตาขยิบ ที่ชอบพูดว่าพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครให้ความร่วมมือ
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ขอเสนอแนะให้ยกเลิกการประชุมร่วมกันของคณะกรรมาธิการฯ เว้นเสียแต่เป็นความประสงค์ของคณะกรรมาธิการฯ เอง ประธานรัฐสภาไม่ควรเข้ามาดำเนินการ และควรแสดงความรับผิดชอบ เพราะความล้มเหลวของคณะกรรมาธิการฯ ร่วมกันครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าเป็นการซื้อเวลา หลักเลี่ยงการตรวจสอบ เพราะถึงที่สุดแล้วไม่สามารถทำอะไรได้ ตนจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการประสางานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เพื่อหามาตรการดำเนินการต่อไป และหลังจากนี้แต่ละคณะกรรมาธิการฯ ต้องไปสรุปผลการศึกษาพิจารณากันเอง เพื่อส่งให้ประธานสภา แต่ประธานสภาต้องทำหน้าที่เพียงบุรุษไปรษณีย์เพื่อบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเท่านั้น ไม่ใช่มาวินิจฉัยว่าผลสอบสวนของคณะกรรมมาธการฯ ชุดไหนถูกผิด หรือแก้ผิดให้เป็นถูก โดยเฉพาะไม่สามารถแก้ไขได้ว่ามีการทุจริตหรือไม่ ไม่ใช่วิสัยที่ประธานสภากระทำ
“ขอเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดการปิดกั้นการตรวจสอบ ล่าสุดยังมีผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลโทรศัพท์ไปข่มขู่การจัดสัมมนาทุจริตโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่จัดโดยคลื่นวิทยุ 92.25 ที่อาคารฐานเศรษฐกิจ ทำให้เจ้าของสถานที่เกิดความหวาดกลัวอำนาจอิทธิพล และต้องเปลี่ยนไปจัดงานที่โรงแรมเดอะแกรนด์ ถนนรัชดาภิเษก พฤติกรรมเช่นนี้ส่อให้เห็นว่าเป็นการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารสาธารณะ เป็นการกระทำที่เข้าสู่ยุคเกสตาโป ยุคมืด วันนี้คุกไม่ได้มีอยู่ในพรรคไทยรักไทยเท่านั้น แต่ยังเอาคุกไปขังประชาชน ปิดหู ปิดตา ปิดกั้นการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ควรเกิดพฤติกรรมเช่นนี้ในระบอบประชาธิปไตย นายกฯ ต้องชี้แจงเรื่องนี้ และหาตัวผู้โทรศัพท์ไปข่มขู่ให้ได้” นายอลงกรณ์กล่าว
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ขณะที่วุฒิสภาบอกว่าไม่ใช่วัวควาย ตนขอบอกเช่นกันว่าสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่ใช่วัวควาย ทุกคนมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่จะมาข่มขืนหรือบังคับได้ เราต้องซื้อสัตย์ต่อประชาชน ไม่ใช่ซื่อสัตย์ต่อบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องมีจิตสำนึกในข้าวแดงแกงร้อนและเงินภาษีของประชาชน เสียงข้างมากต้องสะท้อนถึงความต้องการของประชาชน ไม่ใช่บอกถึงความต้องการของผู้นำ การที่วิปรัฐบาลมีมติไว้วางใจรมว.คมนาคมล่วงหน้า ถือว่าเป็นเรื่องอัปยศมาก
ทั้งนี้การแถลงดังกล่าวของ นายอลงกรณ์มีขึ้นภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการการคมนาคมและคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของสภาผู้แทนราษฎรที่ร่วมกันตรวจสอบการทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ โดยอ้างว่าไม่ได้รับความร่วมมือในการให้ข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีมติให้ยุติการสอบสวนเอาไว้ชั่วคราว แล้วให้รอฟังข้อมูลจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านก่อน
นายสุวโรช พะลัง ส.ส.ชุมพรพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษย์ชนแถลงภายหลังการประชุมถึงกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ๊กซ์ 9000 ว่าจากการซักถามในที่ประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกรรมาธิการไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือเมื่อกระทรวงการต่างประเทศของไทยถามไปที่กระทรวงการยุติธรรมของสหรัฐฯโดยมารยาททางการทูตทำไมทางกระทรวงยุติธรรมถึงไม่ตอบมาทางกระทรวงการต่างประเทศแต่กลับส่งผ่านไปที่สำนักอัยการสูงสุดซึ่งไม่เป็นผู้เกี่ยวข้องจึงได้เชิญนายกฤษณ์ กาญจนกุญชรปลัดกระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจงกับกรรมาธิการฯแต่ได้ส่งผู้แทนมาชี้แจง
นายสุวโรช กล่าวต่อว่าที่ประชุมได้มีการซักถามเกี่ยวกับความชอบธรรมที่กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือไปยังกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯว่ามีกฎหมายพระราชบัญญัตติความร่วมมือระหว่างประเทศความอาญาปี 2535 ซึ่งมีกฎเกณฑ์ขั้นตอนระบุชัดเจนว่าผู้ประสานงานกลางในเรื่องดังกล่าวในเรื่องดังกล่าวระหว่างสหรัฐฯกับไทยคืออัยการสูงสุดน่าจะเป็นผู้ซักถามมากกว่าก็คือต้องมีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับทางตำรวจและหลังจากที่กล่าวโทษต้องมีตัวผู้ต้องหาและทำคดีขึ้นมาส่งมาให้อัยการสูงสุดโดยอัยการสูงสุดจะถามข้อเท็จจริงทั้งหมดไปที่กระทรงวงยุติธรรมสหรัฐฯแต่จนถึงบัดนี้กลับไม่มีการดำเนินการใดๆกับเรื่องนี้ในกรณีดังกล่าวแต่อย่างใดเพราะฉะนั้นอัยการสูงสุดจึงไม่สามารถขอความร่วมมือไปยังกระทรวงยุติธรรมได้
ขณะที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่าหนังสือที่ทางสหรัฐฯตอบมาว่ายินดีที่จะให้ความร่วมมือทุกประการเมื่อมีการร้องขอซึ่งทางอัยการสูงสุดที่มาชี้แจงบอกชัดเจนแล้วว่าถ้าไม่มีการแจ้งความหรือกล่าวโทษก็ทำอะไรไม่ได้ดังนั้นรัฐบาลมีความจริงใจแค่ไหนที่จะสืบหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 23 มิ.ย. 2548--จบ--
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ขอเสนอแนะให้ยกเลิกการประชุมร่วมกันของคณะกรรมาธิการฯ เว้นเสียแต่เป็นความประสงค์ของคณะกรรมาธิการฯ เอง ประธานรัฐสภาไม่ควรเข้ามาดำเนินการ และควรแสดงความรับผิดชอบ เพราะความล้มเหลวของคณะกรรมาธิการฯ ร่วมกันครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าเป็นการซื้อเวลา หลักเลี่ยงการตรวจสอบ เพราะถึงที่สุดแล้วไม่สามารถทำอะไรได้ ตนจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการประสางานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เพื่อหามาตรการดำเนินการต่อไป และหลังจากนี้แต่ละคณะกรรมาธิการฯ ต้องไปสรุปผลการศึกษาพิจารณากันเอง เพื่อส่งให้ประธานสภา แต่ประธานสภาต้องทำหน้าที่เพียงบุรุษไปรษณีย์เพื่อบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเท่านั้น ไม่ใช่มาวินิจฉัยว่าผลสอบสวนของคณะกรรมมาธการฯ ชุดไหนถูกผิด หรือแก้ผิดให้เป็นถูก โดยเฉพาะไม่สามารถแก้ไขได้ว่ามีการทุจริตหรือไม่ ไม่ใช่วิสัยที่ประธานสภากระทำ
“ขอเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดการปิดกั้นการตรวจสอบ ล่าสุดยังมีผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลโทรศัพท์ไปข่มขู่การจัดสัมมนาทุจริตโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่จัดโดยคลื่นวิทยุ 92.25 ที่อาคารฐานเศรษฐกิจ ทำให้เจ้าของสถานที่เกิดความหวาดกลัวอำนาจอิทธิพล และต้องเปลี่ยนไปจัดงานที่โรงแรมเดอะแกรนด์ ถนนรัชดาภิเษก พฤติกรรมเช่นนี้ส่อให้เห็นว่าเป็นการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารสาธารณะ เป็นการกระทำที่เข้าสู่ยุคเกสตาโป ยุคมืด วันนี้คุกไม่ได้มีอยู่ในพรรคไทยรักไทยเท่านั้น แต่ยังเอาคุกไปขังประชาชน ปิดหู ปิดตา ปิดกั้นการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ควรเกิดพฤติกรรมเช่นนี้ในระบอบประชาธิปไตย นายกฯ ต้องชี้แจงเรื่องนี้ และหาตัวผู้โทรศัพท์ไปข่มขู่ให้ได้” นายอลงกรณ์กล่าว
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ขณะที่วุฒิสภาบอกว่าไม่ใช่วัวควาย ตนขอบอกเช่นกันว่าสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่ใช่วัวควาย ทุกคนมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่จะมาข่มขืนหรือบังคับได้ เราต้องซื้อสัตย์ต่อประชาชน ไม่ใช่ซื่อสัตย์ต่อบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องมีจิตสำนึกในข้าวแดงแกงร้อนและเงินภาษีของประชาชน เสียงข้างมากต้องสะท้อนถึงความต้องการของประชาชน ไม่ใช่บอกถึงความต้องการของผู้นำ การที่วิปรัฐบาลมีมติไว้วางใจรมว.คมนาคมล่วงหน้า ถือว่าเป็นเรื่องอัปยศมาก
ทั้งนี้การแถลงดังกล่าวของ นายอลงกรณ์มีขึ้นภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการการคมนาคมและคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของสภาผู้แทนราษฎรที่ร่วมกันตรวจสอบการทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ โดยอ้างว่าไม่ได้รับความร่วมมือในการให้ข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีมติให้ยุติการสอบสวนเอาไว้ชั่วคราว แล้วให้รอฟังข้อมูลจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านก่อน
นายสุวโรช พะลัง ส.ส.ชุมพรพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษย์ชนแถลงภายหลังการประชุมถึงกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ๊กซ์ 9000 ว่าจากการซักถามในที่ประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกรรมาธิการไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือเมื่อกระทรวงการต่างประเทศของไทยถามไปที่กระทรวงการยุติธรรมของสหรัฐฯโดยมารยาททางการทูตทำไมทางกระทรวงยุติธรรมถึงไม่ตอบมาทางกระทรวงการต่างประเทศแต่กลับส่งผ่านไปที่สำนักอัยการสูงสุดซึ่งไม่เป็นผู้เกี่ยวข้องจึงได้เชิญนายกฤษณ์ กาญจนกุญชรปลัดกระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจงกับกรรมาธิการฯแต่ได้ส่งผู้แทนมาชี้แจง
นายสุวโรช กล่าวต่อว่าที่ประชุมได้มีการซักถามเกี่ยวกับความชอบธรรมที่กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือไปยังกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯว่ามีกฎหมายพระราชบัญญัตติความร่วมมือระหว่างประเทศความอาญาปี 2535 ซึ่งมีกฎเกณฑ์ขั้นตอนระบุชัดเจนว่าผู้ประสานงานกลางในเรื่องดังกล่าวในเรื่องดังกล่าวระหว่างสหรัฐฯกับไทยคืออัยการสูงสุดน่าจะเป็นผู้ซักถามมากกว่าก็คือต้องมีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับทางตำรวจและหลังจากที่กล่าวโทษต้องมีตัวผู้ต้องหาและทำคดีขึ้นมาส่งมาให้อัยการสูงสุดโดยอัยการสูงสุดจะถามข้อเท็จจริงทั้งหมดไปที่กระทรงวงยุติธรรมสหรัฐฯแต่จนถึงบัดนี้กลับไม่มีการดำเนินการใดๆกับเรื่องนี้ในกรณีดังกล่าวแต่อย่างใดเพราะฉะนั้นอัยการสูงสุดจึงไม่สามารถขอความร่วมมือไปยังกระทรวงยุติธรรมได้
ขณะที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่าหนังสือที่ทางสหรัฐฯตอบมาว่ายินดีที่จะให้ความร่วมมือทุกประการเมื่อมีการร้องขอซึ่งทางอัยการสูงสุดที่มาชี้แจงบอกชัดเจนแล้วว่าถ้าไม่มีการแจ้งความหรือกล่าวโทษก็ทำอะไรไม่ได้ดังนั้นรัฐบาลมีความจริงใจแค่ไหนที่จะสืบหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 23 มิ.ย. 2548--จบ--