คำต่อคำ คำปราศรัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ในงานทำบุญครบรอบ 60 พรรคประชาธิปัตย์
พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกคน ผมต้องขอกราบขอบพระคุณพี่น้องทุกท่านที่ได้มาร่วมงานครบ 60 ปี ของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่าพี่น้องที่เป็นสมาชิกพรรคทุกคนคงจะมีความภาคภูมิใจที่พรรคประชาธิปัตย์มีวันนี้ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเราเป็นพรรคการเมืองที่มีประวัติยาวนาน ได้เติบโตโดยธรรมชาติมาโดยลำดับ จนกระทั่งวันนี้เรามีสมาชิกพรรคทั่วประเทศกว่า 4 ล้านคน และมีสาขาพรรคทั่วประเทศเกือบ 200 สาขา ซึ่งท่านสมาชิกและสาขาพรรคนั้นกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคในหมู่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่สำคัญที่สุดก็คือประวัติอันยาวนานของพรรคได้ยืนยันความเป็นประชาธิปไตยในตัวพรรคของเรา และได้ยืนยันในความยั่งยืนที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองมาทุกยุคทุกสมัย มีการเปลี่ยนถ่ายผู้บริหารพรรคมาหลายต่อหลายครั้งในระบบที่เป็นประชาธิปไตย ผมก็มายืนตรงนี้ในฐานะหัวหน้าพรรคคนที่ 7 และเลขาธิการพรรคก็เป็นเลขาธิการพรรคคนที่ 14 สิ่งเหล่านี้เป็นการยืนยันถึงความเป็นสถาบันที่มีประวัติอันยาวนานและความยั่งยืน ผมยังไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ 10 ปี กว่าจะมีพรรคการเมืองอื่น ซึ่งสามารถจะยืนหยัดยืนยาวเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดมาได้อีกในวันนี้
พี่น้องครับ กิจกรรมเนื่องในโอกาส 60 ปีของพรรคนั้นจะเป็นกิจกรรมที่มีความต่อเนื่องตลอดทั้งปี แน่นอนที่สุดนอกเหนือจากกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ แล้ว เราก็คงจะได้มีกิจกรรมในเชิงวิชาการเพื่อเผยแพร่ความคิด อุดมการณ์ นโยบายต่างๆ ที่เราได้สืบทอด สืบสานมาเป็นเวลานาน และนอกจากนั้นครับ นอกจากปีนี้จะเป็นปีที่เป็นความภาคภูมิใจของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นปีมหามงคลของผสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ เพราะเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้ใช้โอกาสนี้ในการจัดทำโครงการและกิจกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสนองแนวพระราชดำริในเรื่งอของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งนอกจากตัวผมเองแล้ว ท่านอดีตหัวหน้าพรรคอีก 2 ท่าน คือท่านอดีตนายกฯ ชวน และอดีตหัวหน้าบัญญัติ จะมาร่วมในการขับเคลื่อนโครงการตรงนี้ด้วย
การที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดมาได้ถึง 60 ปี พี่น้องครับ อะไรคือสิ่งที่เป็นความสำคัญที่สุด อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้พรรคของเราสามารถที่จะยืนหยัดมาได้ ในขณะที่พรรคการเมืองอีกหลายต่อหลายพรรคก่อตั้งขึ้น ไม่สามารถที่จะยืนหยัดได้ หลายท่านอาจจะมองถึงเรื่องของบุคลากร หรือยุคนี้หลายท่านอาจจะมองถึงเรื่องของทรัพยากร แต่ในความเป็นจริงแล้ว พี่น้องครับ สิ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดยืนยาวมาได้ถึงขณะนี้คือเรื่องของอุดมการณ์ คือเรื่องของความคิดที่ได้หลอมรวมสมาชิกผ่านหลายยุคหลายสมัยมาตลอด 60 ปี ที่เป็นอุดมการณ์ที่ทำเพื่อส่วนรวมและต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย พี่น้องที่เคารพครับ อุดมการณ์ที่สร้างสถาบันนี้มาสร้างเรามาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน แต่เป็นการตอบสนองความต้องการของประชาชนบนพื้นฐานของความยั่งยืน บนพื้นฐานของความถูกต้อง และในหลายช่วงหลายยุค มันหมายถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์กล้าเป็นผู้นำทางความคิดสำหรับสังคม ประเทศชาติ บ้านเมือง เป็นอุดมการณ์ที่ทำให้เรามีความแนบแน่นกับระบอบประชาธิปไตย และเป็นอุดมการณ์ที่เรายึดมั่นในเรื่องของความจริงและสัจธรรม เมื่อคืนนี้ ผมได้กลับไปดูคำประกาศอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 อีกครั้งหนึ่งครับ และผมมีความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นว่าอุดมการณ์ที่ประกาศไว้เมื่อ 60 ปีที่แล้วเป็นอุดมการณ์ที่ยังสอดคล้องกับยุคสมัยเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้ก่อตั้งพรรคเมื่อ 60 ปีที่แล้ว และเตือนสติพวกเราทุกคนที่ทำหน้าที่สืบสานอุดมการณ์ว่า เราก็จะต้องใช้อุดมการณ์นี้ถ่ายทอดเป็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลสำหรับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศต่อไป
ผมอยากจะให้พี่น้องได้ฟังอุดมการณ์ที่ประกาศไว้ในบางข้อ เพราะผมเห็นว่าอุดมการณ์ที่ประกาศไว้ตรงนั้นจะเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดเลยว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำในวันนี้เป็นไปตามอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง หนักแน่น จะได้เกิดความเข้าใจที่แท้จริงว่า ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยืนหยัดมากว่า 60 ปีหมายถึงอะไร จะได้ไม่มีความสับสน จะได้ไม่มีคนมาตกใจ จะเป็นลม ว่าสิ่งที่เราเสนอในวันนี้นี่มันเปลี่ยนหรือมันต่างไปจากเดิม เพราะนี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นสัจธรรม
อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 ในเรื่องของการเมืองประกาศไว้อย่างนี้ครับ “พรรคจะดำเนินการเมือง โดยอาศัยหลักกฎหมายและเหตุผล เพื่อความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังให้มีความนับถือและนิยมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พรรคจะไม่สนับสนุนระบบและวิธีแห่งเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นระบบและวิธีการของรัฐบาลใดๆ”
พี่น้องที่เคารพครับ นั่นเป็นการยืนยันว่าเหนือสิ่งอื่นใดคือความศักด์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญที่จะสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข วันนี้เราจึงต้องถามว่าความหมายของประชาธิปไตย ความหมายของความศักด์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ ตลอดจนหลักกฎหมายและเหตุผลที่เป็นจุดหลักของอุดมการณ์ของพรรคนั้นคืออะไร
พี่น้องครับ ในประเทศประชาธิปไตยและในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญของเราในปัจจุบันนี้ หัวใจสำคัญที่สุดคือเรื่องของสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชน และหัวใจสำคัญที่สุดที่แยกระบอบประชาธิปไตยออกจากระบอบอื่น คือความสามารถของพี่น้องประชาชนที่จะตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้ที่เอาอำนาจประชาชนไปใช้ นี่คือเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ และนี่คือสิ่งที่จะทำให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะวันที่ไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง ถ้าพวกเราเข้าใจระบอบประชาธิปไตยอย่างนี้ และเข้าใจคำประกาศอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อ 60 ปีที่แล้วอย่างนี้ เราก็จะเข้าใจทันทีครับว่า จริงอยู่การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งจะไม่มีความหมาย ไม่มีควสามชอบธรรมในการเป็นกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ถ้าสิทธิ เสรีภาพของพี่น้องประชาชนไม่ได้รับความคุ้มครอง และจะไม่มีความหมายถ้าพี่น้อง ประชาชนไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วน ความเลวร้ายของระบอบการเมือง 5 ปีที่ผ่านมาคือการละเมิดพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยตรงนี้ ที่สั่งสมปัญหาการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในหลายรูปแบบ ที่อดีตหัวหน้าพรรคทั้ง 2 ท่านได้กล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทุกคนที่สูญเสียชีวิตไป สังเวยนโยบายที่ผิดพลาด สังเวยนโยบายที่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชนที่ไม่น่าเชื่อว่าในยุคของรัฐธรรมนูญที่เขาบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ยังต้องมาชุมนุมกันล้นหลามเพื่อต่อต้านการคุกคามสิทธิเสรีภาพในหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบเดิมๆ ของอำนาจรัฐ ทั้งรูปแบบใหม่ของทางธุรกิจอำนาจเงิน และรูปแบบของการใช้กฎหมู่ที่เข้ามาคุกคามสิทธิ เสรีภาพ เราไม่อาจจะบอกได้เลยว่าบ้านเมืองเราเป็นประชาธิปไตย ถ้าคนที่เอาอำนาจของประชาชนไปนั้นสามารถใช้อำนาจไปเพื่อการทุจริต คอรัปชั่น เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสมบัติของชาติโดยการใช้อำนาจรัฐ และทำแล้วไม่ต้องมีการตรวจสอบ ไม่ต้องมีการรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยการไปทำลายองค์กรซึ่งเป็นหลักของรัฐธรรมนูญทั้งหลาย ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่สามารถทำงานได้ด้วยความพิกลพิการจากการแทรกแซงของระบอบอันเลวร้ายนี้
พี่น้องที่เคารพครับ นั่นคือที่มาของวิกฤตการณ์ทั้งหมดของประเทศตลอดกว่าค่อนปีที่ผ่านมา และมันเป็นวิกฤตการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์จึงกล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่ามันไม่สามารถแก้ได้ด้วยการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเลือกตั้งที่จัดโดยองค์กรที่ขาดความเป็นกลาง ขาดความเป็นอิสระ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเลือกตั้งที่หวังเพียงอย่างเดียวว่าจะเอาการหย่อนบัตรของประชาชนไปใช้เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดหรือฟอกตัว วันนี้การเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไป แต่ยังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่เรียบร้อย แน่นอนครับ พรรคประชาธิปัตย์เราเคารพการไปหย่อนบัตรคะแนนของพี่น้องประชาชนทุกคนหรือพี่น้องประชาชนที่ได้เลือกแสดงออกทางการเมืองโดยวิธีอื่น เราไม่ปฏิเสธการลงคะแนนเสียงของพี่น้อง จะเป็น 14 15 หรือ 16 ล้านคนที่บอกว่านิยมชมชอบในตัวนายกฯ ทักษิณหรือนโยบายที่ไปสัญญากับเขาในเรื่องของโครงการต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน 16 ล้านเสียงนี้ก็ไม่อาจจะเป็นข้ออ้างใดๆ ที่จะสร้างความชอบธรรมที่จะมาลบล้างการละเมิดรัฐธรรมนูญหรือการทุจริตคอรัปชั่นที่จะต้องมีการตรวจสอบต่อไป ในขณะที่พี่น้องประชาชนกว่า 10 ล้านคนได้ใช้โอกาสของการเลือกตั้งไม่ได้ไปแสดงความสนับสนุนนิยมพรรคการเมืองใดๆ ครับ แต่กล้าอย่างที่ไม่เคยมาก่อนในประวัติศาสตร์ พร้อมใจกันไปบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่คำตอบของประเทศ ปฏิเสธระบอบใหม่ที่เข้ามาคุกคามระบอบประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
ปัญหาพื้นฐานของวิกฤตการณ์ทั้งหลายจึงยังเป็นปัญหาที่คุกรุ่นอยู่ในใจของคนจำนวนมาก แน่นอนที่สุดเมื่อคืนวานซืน ท่านนายกฯ ทักษิณได้ตัดสินใจประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองในสภาหรือในรัฐบาลชุดต่อไป คือตำแหน่งในฝ่ายบริหาร ผมเรียนพี่น้องทุกคนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของท่านนายกฯ ทักษิณนั้นเป็นเรื่องที่ดีในการลดความตึงเครียดลงในสังคม และผมเห็นด้วยว่าทางเลือกซึ่งท่านนายกฯ ทักษิณเคยคิดก็คือว่าเดินหน้าอย่างเดียวเพื่อที่จะเปิดสภาและกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นทางเลือกซึ่งจะทำให้สังคมนั้นขัดแย้งสูงจนจะเกิดวิกฤตการณ์ เมื่อท่านตัดสินใจไม่เลือกไปในทางนี้ ผมก็คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่สังคมและบ้านเมืองจะดำเนินต่อไปอย่างไรจากวันนี้ สังคมต้องตั้งสติและคิดด้วยความรอบคอบ ประชาธิปัตย์ยืนยันครับว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำตามอุดมการณ์ที่เราประกาศไว้เมื่อ 60 ปีที่แล้ว นั่นคือการใช้หลักกฎหมายและเหตุผลเพื่อความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ ทำในสิ่งที่จะเป็นเยี่ยงอย่างสำหรับอนุชนรุ่นหลังให้มีความนับถือและนิยมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
คำถามคือว่าถ้าเป็นอย่างที่นายกฯ ทักษิณต้องการ เราก้าวเข้าสู่ระบอบอะไร ถ้าท่านนายกฯ ทักษิณบอกว่าจะเคารพเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกติกา เบื้องต้นก็ต้องบอกก่อนว่า ท่านนายกฯ ทักษิณก็ต้องรอว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะวินิจฉัยอย่างไรต่อการร้องเรียนว่าท่านได้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหลายครั้ง ถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เห็นหลักฐานการกระทำต่างๆ จากการร้องเรียนและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเลือกตั้งแล้ว กกต. ต้องกล้าตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา นั่นอาจจะเป็นช่องทางหนึ่งซึ่งจะยุติปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ แต่ถ้าสมมติว่ากกต. ได้ตัดสินใจแล้ว และรับรองสถานะของการเป็นสส. ของนายกฯ ทักษิณ และถ้าสมมติว่าสภาเปิดได้ คำถามที่ตามมาคือว่าท่านนายกฯ ทักษิณนั้นเว้นวรรคเพื่อพักการใช้อำนาจ หรือท่านนายกฯ ทักษิณเว้นวรรคเพื่อชักใย ถ้าเป็นกรณีแรก ว่าเป็นการเว้นวรรคเพื่อพักการใช้อำนาจ ผมคิดว่านั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะคลี่คลายแก้ปัญหาสะสางที่ระบอบทักษิณสร้างไว้ได้
แต่ถ้าเป็นการเว้นวรรคเพื่อชักใย ผมจำเป็นที่จะต้องพูดว่า นั่นหมายถึงว่านายกฯ ทักษิณ นั้นกำลังจะมีสถานภาพไม่ใช่ถอยออกไปข้างๆ แต่ถอยไปอยู่เหนือนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมเชื่อว่านั่นเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะเป็นการสร้างสถานภาพพิเศษขึ้นมาให้กับบุคคลซึ่งกลายเป็นผู้มีอำนาจโดยปราศจากความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ผมเชื่อเหลือเกินครับว่าทุกคนจะมีแต่ความวิตกกังวลมากขึ้นๆว่า ความขัดแย้ง ความรุนแรงจะเป็นกี่เท่าทวีคูณของที่เราผ่านมา
ฉะนั้นวันนี้เป็นจังหวะเวลาที่ดีครับ เมื่อท่านนายกฯ ทักษิณได้พยายามลดความตึงเครียดแล้ว เราก็ควรจะตั้งหลักใช้สติ ใช้เหตุผล ใช้หลักกฎหมายเพื่อคลี่คลายปัญหา แล้วตั้งคำถามเพื่อทดสอบว่าเราอยากจะยืนยันการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและพิทักษ์ความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ด้วยการกระทำผิดกฎหมาย จะเป็นกฎหมายเลือกตั้ง หรือต่อไป ถ้ากระทำผิดรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่าเรากำลังยอมรับการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม และถ้าการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม จะนำไปสู่สภาและรัฐบาลที่ชอบธรรมได้อย่างไร ภาระหน้าที่วันนี้ คนที่จะต้องแสวงหาคำตอบเบื้องต้นคือคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ต้องตอบด้วยการพิสูจน์โดยการปฏิบัติหน้าที่ว่ากำลังทำตรงไปตรงมาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะการวินิจฉัยต่อจากนี้ไปในทุกเรื่อง มันไม่ใช่เรื่องเทคนิคหรอกครับ มันเป็นเรื่องของหัวใจของหลักการของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ ที่พวกเราต้องตั้งคำถามว่าคนที่บอกว่าได้รับการเลือกตั้งในวันที่ 2 (เมษายน) หรือจะได้รับการเลือกตั้งในวันที่ 23 นั้น เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ นี่คือภารกิจสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อพิทักษ์รักษาประชาธิปไตย เพื่อพิทักษ์รักษาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่มั่นใจได้ครับว่า เราจะทำบนพื้นฐานและวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมายและบนพื้นฐานของความสมานฉันท์และความสันติ
ผมกราบเรียนพี่น้องไว้อีกครั้งหนึ่งครับว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเสนอเป็นทางออกสำหรับประเทศ ที่ประกาศไว้ที่สนามหลวงและที่ประกาศตามมานั้นน่ะครับ แม้ที่ผ่านมานายกฯ ทักษิณจะปฏิเสธ แต่ยิ่งเดินต่อไปเท่าไร พี่น้องก็จะเห็นชัดเจนมากขึ้นว่าทางออกนั้นล่ะคือทางออกที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย และกำลังจะมีเงื่อนไขอีกมากที่จะเดินไปสู่ทางออกนั้นได้
พี่น้องครับ ในวิกฤตการณ์อย่างนี้ล่ะครับที่ผมบอกว่าพรรคการเมืองที่เป็นหลักของบ้านเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์จึงได้ปฏิบัติตามแนวอุดมการณ์ที่ประกาศไว้อย่างมั่นคง และผมเรียนว่าในช่วงตลอดปีข้างหน้า เราก็จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อพิสูจน์ว่าอุดมการณ์ของเราในข้ออื่นๆ นั้นเป็นอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับยุคสมัยและเป็นคำตอบของปัญหาบ้านเมืองอีกหลายข้อ
ผมขอใช้เวลาสั้นๆ ยกตัวอย่างว่าผมไปอ่านอุดมการณ์อีกข้อหนึ่งที่ประกาศเอาไว้ว่าพรรคเชื่อว่าการแทรกแซงของรัฐเป็นสิ่งที่จำเป็นในกิจการที่เห็นว่าการแทรกแซงจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เช่น กิจการสาธารณูปโภค นี่ก็สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของคนประชาธิปัตย์ 60 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้าอยู่ในวันนี้จะต้องบอกกับรัฐบาลชุดต่อไปว่าจะต้องเอา กฟผ. คืนให้กับประชาชนอย่างไร
หรืออุดมการณ์ของพรรคที่ประกาศเอาไว้ว่าพรรคมีจุดประสงค์ที่จะให้คนไทยทุกคนมีที่ทำกิน ที่อยู่ และอาชีพ และจะเคารพในกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินส่วนบุคคล แต่มิได้ละเลยที่จะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม นี่ก็จะเป็นคำตอบว่าจะแก้ไขปัญหาที่สะสมมาจากนโยบายประชานิยมอย่างไร
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ครับคือสิ่งที่ผมอยากจะกราบเรียนว่าเป็นอุดมการณ์ เป็นแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในยุคของโลกาภิวัฒน์ซึ่งหลักการของเศรษฐกิจเสรีและระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่มีเฉพาะแค่วันหย่อนบัตร และเศรษฐกิจที่เสรี โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมและความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงที่ยั่งยืนแล้ว คือคำตอบสำหรับสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์อย่างแท้จริง ซึ่งปีที่ 61 ของพรรคก็จะก้าวเดินต่อไปด้วยความมั่นคงสำหรับพี่น้องประชาชน สมาชิกพรรค และสังคมโดยส่วนรวม
แนวคิดกิจกรรมทั้งหลายซึ่งผู้บริหารชุดปัจจุบันได้เริ่มต้นดำเนินการมา จะเป็นสมัชชาประชาชน จะเป็นสภากาแฟ หรือเรื่องอื่นๆ คือแนวทางที่กำลังจะหลอมรวมพรรคประชาธิปัตย์ให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่ได้ต่อสู้มาอย่างน่าชื่นชมยกย่อง ว่าเป็นการต่อสู้อย่างสันติ โดยมีมวลชนจำนวนมากเข้าร่วม และเป้นการต่อสู้ที่ให้ข้อเท็จจริงต่อประชาชน อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะสร้างคุณภาพของประชาชนที่เป็นพลเมืองที่แข็งแกร่งของระบอบประชาธิปไตย การสร้างความตื่นตัวตรงนี้ทั้งหมดครับ คือหัวใจที่จะทำให้บ้านเมืองเราเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ
และปีที่ 61 ครับ ในสถานการณ์วิกฤตการณ์ประชาธิปไตยของบ้านเมืองอย่างนี้ ประชาธิปัตย์จะร่วมกับภาคประชาชนในการเรียกร้ององค์กรและสถาบันสำคัญให้ลุกขึ้นมาพิทักษ์รัฐธรรมนูญ หนึ่ง คือ สื่อสารมวลชน ปรากฎการณ์ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่ภาคประชาชนเคลื่อนไหว และสื่อสารมวลชนซึ่งเริ่มจากไม่ใช่สื่อหลักที่เข้าไปถึงพี่น้องประชาชนไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่ในเมืองใหญ่ๆ คือกระบวนการสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนที่รู้ความจริงทุกด้านแล้วกล้าแสดงออก เพื่อพิทักษ์รักษาสิทธิ เสรีภาพ และรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการลงคะแนนกว่า 10 ล้านคะแนน สื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลักต้องสนองตอบตรงนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะนี่จะเป็นวิธีการที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดในการล้มล้างระบอบอันเลวร้าย คือระบอบทักษิณให้สิ้นไปจากแผ่นดินนี้
สถาบันหรือกลุ่มคนที่สองที่ผมต้องเรียกร้อง คือ ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ระบบราชการและข้าราชการทุกคนนับแต่นี้ไป ถ้าเมื่อท่านนายกฯ ทักษิณ เว้นวรรคแล้ว จะต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างแท้จริง ต้องไม่จำนนต่ออำนาจการเมืองนอกระบบการบังคับบัญชาที่เป็นระบบบังคับบัญชาตามความถูกต้องในพื้นฐานกติกาของบ้านเมือง ถ้าพี่น้องราชการไม่ยอมให้การเว้นวรรคเพื่อชักใยเดินหน้าได้ ผมก็มั่นใจครับว่าระบอบอันเลวร้ายที่เราเรียกกันว่าระบอบทักษิณก็จะถูกกำจัดไปให้สิ้นซากจากแผ่นดินนี้เช่นกัน
พี่น้องที่เคารพครับ 60 ปีของประชาธิปัตย์ที่เราต่อสู้มาโดยตลอดนั้น เราไม่เคยมีเป้าหมายในระยะสั้นๆ ประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาแล้วมีเป้าหมายและหวังว่าวันนี้พรุ่งนี้หัวหน้าพรรคต้องไปเป็นนายกรัฐมนตรี หรือสมาชิกพรรคจะต้องเข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถ้าเป้าหมายที่สำคัญกว่าในยุคใดก็ตาม คือเอาความถูกต้อง ความดีงามในบ้านเมืองกลับคืนมาก่อน วันนี้ที่ประชาธิปัตย์ตัดสินใจไปนั้นก็เพื่อต่อสู้ เพื่อเรียกร้องให้ความดีงาม ความถูกต้องกลับคืนมา ละสถานภาพที่พวกเรานักการเมืองอาชีพหวงแหนมากที่สุด คือความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เราจึงเรียกร้องเพื่อนสมาชิกว่าให้มั่นคง ให้หนักแน่น เราได้เดินมาไกลในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนในการที่จะต่อสู้ แต่ฝ่ายที่พยายามจะฝังระบอบอันเลวร้ายให้ลึกลงไปก็ยังคงเดินหน้าอยู่เช่นกัน แต่ผมเชื่อครับว่า เหมือนกับที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดมาได้ 60 ปี เพราะอุดมการณ์ เพราะการยึดมั่นในความจริง สัจธรรม เหตุผล เราจึงยืนมาได้วันนี้ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 61 ฉันใด ฉันนั้น ถ้าสมาชิกทุกคน พี่น้องประชาชน สื่อสารมวลชน และข้าราชการจะได้ยึดมั่นในอุดมการณ์และสัจธรรมเหมือนกับที่พวกเราได้สืบทอด สืบสานกันมา 60 ปี ประเทศชาติบ้านเมืองของเราก็จะเป็นประเทศชาติบ้านเมืองที่มีความสงบสุข มีความรุ่งเรือง และชัยชนะเด็ดขาดขั้นสุดท้าย คือชัยชนะของพี่น้องประชาชนและคนทั้งประเทศครับ กราบขอบพระคุณครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 เม.ย. 2549--จบ--
ในงานทำบุญครบรอบ 60 พรรคประชาธิปัตย์
พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกคน ผมต้องขอกราบขอบพระคุณพี่น้องทุกท่านที่ได้มาร่วมงานครบ 60 ปี ของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่าพี่น้องที่เป็นสมาชิกพรรคทุกคนคงจะมีความภาคภูมิใจที่พรรคประชาธิปัตย์มีวันนี้ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเราเป็นพรรคการเมืองที่มีประวัติยาวนาน ได้เติบโตโดยธรรมชาติมาโดยลำดับ จนกระทั่งวันนี้เรามีสมาชิกพรรคทั่วประเทศกว่า 4 ล้านคน และมีสาขาพรรคทั่วประเทศเกือบ 200 สาขา ซึ่งท่านสมาชิกและสาขาพรรคนั้นกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคในหมู่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่สำคัญที่สุดก็คือประวัติอันยาวนานของพรรคได้ยืนยันความเป็นประชาธิปไตยในตัวพรรคของเรา และได้ยืนยันในความยั่งยืนที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองมาทุกยุคทุกสมัย มีการเปลี่ยนถ่ายผู้บริหารพรรคมาหลายต่อหลายครั้งในระบบที่เป็นประชาธิปไตย ผมก็มายืนตรงนี้ในฐานะหัวหน้าพรรคคนที่ 7 และเลขาธิการพรรคก็เป็นเลขาธิการพรรคคนที่ 14 สิ่งเหล่านี้เป็นการยืนยันถึงความเป็นสถาบันที่มีประวัติอันยาวนานและความยั่งยืน ผมยังไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ 10 ปี กว่าจะมีพรรคการเมืองอื่น ซึ่งสามารถจะยืนหยัดยืนยาวเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดมาได้อีกในวันนี้
พี่น้องครับ กิจกรรมเนื่องในโอกาส 60 ปีของพรรคนั้นจะเป็นกิจกรรมที่มีความต่อเนื่องตลอดทั้งปี แน่นอนที่สุดนอกเหนือจากกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ แล้ว เราก็คงจะได้มีกิจกรรมในเชิงวิชาการเพื่อเผยแพร่ความคิด อุดมการณ์ นโยบายต่างๆ ที่เราได้สืบทอด สืบสานมาเป็นเวลานาน และนอกจากนั้นครับ นอกจากปีนี้จะเป็นปีที่เป็นความภาคภูมิใจของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นปีมหามงคลของผสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ เพราะเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้ใช้โอกาสนี้ในการจัดทำโครงการและกิจกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสนองแนวพระราชดำริในเรื่งอของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งนอกจากตัวผมเองแล้ว ท่านอดีตหัวหน้าพรรคอีก 2 ท่าน คือท่านอดีตนายกฯ ชวน และอดีตหัวหน้าบัญญัติ จะมาร่วมในการขับเคลื่อนโครงการตรงนี้ด้วย
การที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดมาได้ถึง 60 ปี พี่น้องครับ อะไรคือสิ่งที่เป็นความสำคัญที่สุด อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้พรรคของเราสามารถที่จะยืนหยัดมาได้ ในขณะที่พรรคการเมืองอีกหลายต่อหลายพรรคก่อตั้งขึ้น ไม่สามารถที่จะยืนหยัดได้ หลายท่านอาจจะมองถึงเรื่องของบุคลากร หรือยุคนี้หลายท่านอาจจะมองถึงเรื่องของทรัพยากร แต่ในความเป็นจริงแล้ว พี่น้องครับ สิ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดยืนยาวมาได้ถึงขณะนี้คือเรื่องของอุดมการณ์ คือเรื่องของความคิดที่ได้หลอมรวมสมาชิกผ่านหลายยุคหลายสมัยมาตลอด 60 ปี ที่เป็นอุดมการณ์ที่ทำเพื่อส่วนรวมและต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย พี่น้องที่เคารพครับ อุดมการณ์ที่สร้างสถาบันนี้มาสร้างเรามาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน แต่เป็นการตอบสนองความต้องการของประชาชนบนพื้นฐานของความยั่งยืน บนพื้นฐานของความถูกต้อง และในหลายช่วงหลายยุค มันหมายถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์กล้าเป็นผู้นำทางความคิดสำหรับสังคม ประเทศชาติ บ้านเมือง เป็นอุดมการณ์ที่ทำให้เรามีความแนบแน่นกับระบอบประชาธิปไตย และเป็นอุดมการณ์ที่เรายึดมั่นในเรื่องของความจริงและสัจธรรม เมื่อคืนนี้ ผมได้กลับไปดูคำประกาศอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 อีกครั้งหนึ่งครับ และผมมีความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นว่าอุดมการณ์ที่ประกาศไว้เมื่อ 60 ปีที่แล้วเป็นอุดมการณ์ที่ยังสอดคล้องกับยุคสมัยเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้ก่อตั้งพรรคเมื่อ 60 ปีที่แล้ว และเตือนสติพวกเราทุกคนที่ทำหน้าที่สืบสานอุดมการณ์ว่า เราก็จะต้องใช้อุดมการณ์นี้ถ่ายทอดเป็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลสำหรับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศต่อไป
ผมอยากจะให้พี่น้องได้ฟังอุดมการณ์ที่ประกาศไว้ในบางข้อ เพราะผมเห็นว่าอุดมการณ์ที่ประกาศไว้ตรงนั้นจะเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดเลยว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำในวันนี้เป็นไปตามอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง หนักแน่น จะได้เกิดความเข้าใจที่แท้จริงว่า ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยืนหยัดมากว่า 60 ปีหมายถึงอะไร จะได้ไม่มีความสับสน จะได้ไม่มีคนมาตกใจ จะเป็นลม ว่าสิ่งที่เราเสนอในวันนี้นี่มันเปลี่ยนหรือมันต่างไปจากเดิม เพราะนี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นสัจธรรม
อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 ในเรื่องของการเมืองประกาศไว้อย่างนี้ครับ “พรรคจะดำเนินการเมือง โดยอาศัยหลักกฎหมายและเหตุผล เพื่อความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังให้มีความนับถือและนิยมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พรรคจะไม่สนับสนุนระบบและวิธีแห่งเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นระบบและวิธีการของรัฐบาลใดๆ”
พี่น้องที่เคารพครับ นั่นเป็นการยืนยันว่าเหนือสิ่งอื่นใดคือความศักด์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญที่จะสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข วันนี้เราจึงต้องถามว่าความหมายของประชาธิปไตย ความหมายของความศักด์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ ตลอดจนหลักกฎหมายและเหตุผลที่เป็นจุดหลักของอุดมการณ์ของพรรคนั้นคืออะไร
พี่น้องครับ ในประเทศประชาธิปไตยและในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญของเราในปัจจุบันนี้ หัวใจสำคัญที่สุดคือเรื่องของสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชน และหัวใจสำคัญที่สุดที่แยกระบอบประชาธิปไตยออกจากระบอบอื่น คือความสามารถของพี่น้องประชาชนที่จะตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้ที่เอาอำนาจประชาชนไปใช้ นี่คือเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ และนี่คือสิ่งที่จะทำให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะวันที่ไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง ถ้าพวกเราเข้าใจระบอบประชาธิปไตยอย่างนี้ และเข้าใจคำประกาศอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อ 60 ปีที่แล้วอย่างนี้ เราก็จะเข้าใจทันทีครับว่า จริงอยู่การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งจะไม่มีความหมาย ไม่มีควสามชอบธรรมในการเป็นกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ถ้าสิทธิ เสรีภาพของพี่น้องประชาชนไม่ได้รับความคุ้มครอง และจะไม่มีความหมายถ้าพี่น้อง ประชาชนไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วน ความเลวร้ายของระบอบการเมือง 5 ปีที่ผ่านมาคือการละเมิดพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยตรงนี้ ที่สั่งสมปัญหาการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในหลายรูปแบบ ที่อดีตหัวหน้าพรรคทั้ง 2 ท่านได้กล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทุกคนที่สูญเสียชีวิตไป สังเวยนโยบายที่ผิดพลาด สังเวยนโยบายที่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชนที่ไม่น่าเชื่อว่าในยุคของรัฐธรรมนูญที่เขาบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ยังต้องมาชุมนุมกันล้นหลามเพื่อต่อต้านการคุกคามสิทธิเสรีภาพในหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบเดิมๆ ของอำนาจรัฐ ทั้งรูปแบบใหม่ของทางธุรกิจอำนาจเงิน และรูปแบบของการใช้กฎหมู่ที่เข้ามาคุกคามสิทธิ เสรีภาพ เราไม่อาจจะบอกได้เลยว่าบ้านเมืองเราเป็นประชาธิปไตย ถ้าคนที่เอาอำนาจของประชาชนไปนั้นสามารถใช้อำนาจไปเพื่อการทุจริต คอรัปชั่น เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสมบัติของชาติโดยการใช้อำนาจรัฐ และทำแล้วไม่ต้องมีการตรวจสอบ ไม่ต้องมีการรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยการไปทำลายองค์กรซึ่งเป็นหลักของรัฐธรรมนูญทั้งหลาย ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่สามารถทำงานได้ด้วยความพิกลพิการจากการแทรกแซงของระบอบอันเลวร้ายนี้
พี่น้องที่เคารพครับ นั่นคือที่มาของวิกฤตการณ์ทั้งหมดของประเทศตลอดกว่าค่อนปีที่ผ่านมา และมันเป็นวิกฤตการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์จึงกล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่ามันไม่สามารถแก้ได้ด้วยการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเลือกตั้งที่จัดโดยองค์กรที่ขาดความเป็นกลาง ขาดความเป็นอิสระ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเลือกตั้งที่หวังเพียงอย่างเดียวว่าจะเอาการหย่อนบัตรของประชาชนไปใช้เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดหรือฟอกตัว วันนี้การเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไป แต่ยังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่เรียบร้อย แน่นอนครับ พรรคประชาธิปัตย์เราเคารพการไปหย่อนบัตรคะแนนของพี่น้องประชาชนทุกคนหรือพี่น้องประชาชนที่ได้เลือกแสดงออกทางการเมืองโดยวิธีอื่น เราไม่ปฏิเสธการลงคะแนนเสียงของพี่น้อง จะเป็น 14 15 หรือ 16 ล้านคนที่บอกว่านิยมชมชอบในตัวนายกฯ ทักษิณหรือนโยบายที่ไปสัญญากับเขาในเรื่องของโครงการต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน 16 ล้านเสียงนี้ก็ไม่อาจจะเป็นข้ออ้างใดๆ ที่จะสร้างความชอบธรรมที่จะมาลบล้างการละเมิดรัฐธรรมนูญหรือการทุจริตคอรัปชั่นที่จะต้องมีการตรวจสอบต่อไป ในขณะที่พี่น้องประชาชนกว่า 10 ล้านคนได้ใช้โอกาสของการเลือกตั้งไม่ได้ไปแสดงความสนับสนุนนิยมพรรคการเมืองใดๆ ครับ แต่กล้าอย่างที่ไม่เคยมาก่อนในประวัติศาสตร์ พร้อมใจกันไปบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่คำตอบของประเทศ ปฏิเสธระบอบใหม่ที่เข้ามาคุกคามระบอบประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
ปัญหาพื้นฐานของวิกฤตการณ์ทั้งหลายจึงยังเป็นปัญหาที่คุกรุ่นอยู่ในใจของคนจำนวนมาก แน่นอนที่สุดเมื่อคืนวานซืน ท่านนายกฯ ทักษิณได้ตัดสินใจประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองในสภาหรือในรัฐบาลชุดต่อไป คือตำแหน่งในฝ่ายบริหาร ผมเรียนพี่น้องทุกคนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของท่านนายกฯ ทักษิณนั้นเป็นเรื่องที่ดีในการลดความตึงเครียดลงในสังคม และผมเห็นด้วยว่าทางเลือกซึ่งท่านนายกฯ ทักษิณเคยคิดก็คือว่าเดินหน้าอย่างเดียวเพื่อที่จะเปิดสภาและกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นทางเลือกซึ่งจะทำให้สังคมนั้นขัดแย้งสูงจนจะเกิดวิกฤตการณ์ เมื่อท่านตัดสินใจไม่เลือกไปในทางนี้ ผมก็คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่สังคมและบ้านเมืองจะดำเนินต่อไปอย่างไรจากวันนี้ สังคมต้องตั้งสติและคิดด้วยความรอบคอบ ประชาธิปัตย์ยืนยันครับว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำตามอุดมการณ์ที่เราประกาศไว้เมื่อ 60 ปีที่แล้ว นั่นคือการใช้หลักกฎหมายและเหตุผลเพื่อความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ ทำในสิ่งที่จะเป็นเยี่ยงอย่างสำหรับอนุชนรุ่นหลังให้มีความนับถือและนิยมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
คำถามคือว่าถ้าเป็นอย่างที่นายกฯ ทักษิณต้องการ เราก้าวเข้าสู่ระบอบอะไร ถ้าท่านนายกฯ ทักษิณบอกว่าจะเคารพเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกติกา เบื้องต้นก็ต้องบอกก่อนว่า ท่านนายกฯ ทักษิณก็ต้องรอว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะวินิจฉัยอย่างไรต่อการร้องเรียนว่าท่านได้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหลายครั้ง ถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เห็นหลักฐานการกระทำต่างๆ จากการร้องเรียนและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเลือกตั้งแล้ว กกต. ต้องกล้าตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา นั่นอาจจะเป็นช่องทางหนึ่งซึ่งจะยุติปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ แต่ถ้าสมมติว่ากกต. ได้ตัดสินใจแล้ว และรับรองสถานะของการเป็นสส. ของนายกฯ ทักษิณ และถ้าสมมติว่าสภาเปิดได้ คำถามที่ตามมาคือว่าท่านนายกฯ ทักษิณนั้นเว้นวรรคเพื่อพักการใช้อำนาจ หรือท่านนายกฯ ทักษิณเว้นวรรคเพื่อชักใย ถ้าเป็นกรณีแรก ว่าเป็นการเว้นวรรคเพื่อพักการใช้อำนาจ ผมคิดว่านั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะคลี่คลายแก้ปัญหาสะสางที่ระบอบทักษิณสร้างไว้ได้
แต่ถ้าเป็นการเว้นวรรคเพื่อชักใย ผมจำเป็นที่จะต้องพูดว่า นั่นหมายถึงว่านายกฯ ทักษิณ นั้นกำลังจะมีสถานภาพไม่ใช่ถอยออกไปข้างๆ แต่ถอยไปอยู่เหนือนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมเชื่อว่านั่นเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะเป็นการสร้างสถานภาพพิเศษขึ้นมาให้กับบุคคลซึ่งกลายเป็นผู้มีอำนาจโดยปราศจากความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ผมเชื่อเหลือเกินครับว่าทุกคนจะมีแต่ความวิตกกังวลมากขึ้นๆว่า ความขัดแย้ง ความรุนแรงจะเป็นกี่เท่าทวีคูณของที่เราผ่านมา
ฉะนั้นวันนี้เป็นจังหวะเวลาที่ดีครับ เมื่อท่านนายกฯ ทักษิณได้พยายามลดความตึงเครียดแล้ว เราก็ควรจะตั้งหลักใช้สติ ใช้เหตุผล ใช้หลักกฎหมายเพื่อคลี่คลายปัญหา แล้วตั้งคำถามเพื่อทดสอบว่าเราอยากจะยืนยันการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและพิทักษ์ความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ด้วยการกระทำผิดกฎหมาย จะเป็นกฎหมายเลือกตั้ง หรือต่อไป ถ้ากระทำผิดรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่าเรากำลังยอมรับการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม และถ้าการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม จะนำไปสู่สภาและรัฐบาลที่ชอบธรรมได้อย่างไร ภาระหน้าที่วันนี้ คนที่จะต้องแสวงหาคำตอบเบื้องต้นคือคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ต้องตอบด้วยการพิสูจน์โดยการปฏิบัติหน้าที่ว่ากำลังทำตรงไปตรงมาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะการวินิจฉัยต่อจากนี้ไปในทุกเรื่อง มันไม่ใช่เรื่องเทคนิคหรอกครับ มันเป็นเรื่องของหัวใจของหลักการของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ ที่พวกเราต้องตั้งคำถามว่าคนที่บอกว่าได้รับการเลือกตั้งในวันที่ 2 (เมษายน) หรือจะได้รับการเลือกตั้งในวันที่ 23 นั้น เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ นี่คือภารกิจสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อพิทักษ์รักษาประชาธิปไตย เพื่อพิทักษ์รักษาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่มั่นใจได้ครับว่า เราจะทำบนพื้นฐานและวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมายและบนพื้นฐานของความสมานฉันท์และความสันติ
ผมกราบเรียนพี่น้องไว้อีกครั้งหนึ่งครับว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเสนอเป็นทางออกสำหรับประเทศ ที่ประกาศไว้ที่สนามหลวงและที่ประกาศตามมานั้นน่ะครับ แม้ที่ผ่านมานายกฯ ทักษิณจะปฏิเสธ แต่ยิ่งเดินต่อไปเท่าไร พี่น้องก็จะเห็นชัดเจนมากขึ้นว่าทางออกนั้นล่ะคือทางออกที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย และกำลังจะมีเงื่อนไขอีกมากที่จะเดินไปสู่ทางออกนั้นได้
พี่น้องครับ ในวิกฤตการณ์อย่างนี้ล่ะครับที่ผมบอกว่าพรรคการเมืองที่เป็นหลักของบ้านเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์จึงได้ปฏิบัติตามแนวอุดมการณ์ที่ประกาศไว้อย่างมั่นคง และผมเรียนว่าในช่วงตลอดปีข้างหน้า เราก็จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อพิสูจน์ว่าอุดมการณ์ของเราในข้ออื่นๆ นั้นเป็นอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับยุคสมัยและเป็นคำตอบของปัญหาบ้านเมืองอีกหลายข้อ
ผมขอใช้เวลาสั้นๆ ยกตัวอย่างว่าผมไปอ่านอุดมการณ์อีกข้อหนึ่งที่ประกาศเอาไว้ว่าพรรคเชื่อว่าการแทรกแซงของรัฐเป็นสิ่งที่จำเป็นในกิจการที่เห็นว่าการแทรกแซงจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เช่น กิจการสาธารณูปโภค นี่ก็สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของคนประชาธิปัตย์ 60 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้าอยู่ในวันนี้จะต้องบอกกับรัฐบาลชุดต่อไปว่าจะต้องเอา กฟผ. คืนให้กับประชาชนอย่างไร
หรืออุดมการณ์ของพรรคที่ประกาศเอาไว้ว่าพรรคมีจุดประสงค์ที่จะให้คนไทยทุกคนมีที่ทำกิน ที่อยู่ และอาชีพ และจะเคารพในกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินส่วนบุคคล แต่มิได้ละเลยที่จะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม นี่ก็จะเป็นคำตอบว่าจะแก้ไขปัญหาที่สะสมมาจากนโยบายประชานิยมอย่างไร
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ครับคือสิ่งที่ผมอยากจะกราบเรียนว่าเป็นอุดมการณ์ เป็นแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในยุคของโลกาภิวัฒน์ซึ่งหลักการของเศรษฐกิจเสรีและระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่มีเฉพาะแค่วันหย่อนบัตร และเศรษฐกิจที่เสรี โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมและความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงที่ยั่งยืนแล้ว คือคำตอบสำหรับสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์อย่างแท้จริง ซึ่งปีที่ 61 ของพรรคก็จะก้าวเดินต่อไปด้วยความมั่นคงสำหรับพี่น้องประชาชน สมาชิกพรรค และสังคมโดยส่วนรวม
แนวคิดกิจกรรมทั้งหลายซึ่งผู้บริหารชุดปัจจุบันได้เริ่มต้นดำเนินการมา จะเป็นสมัชชาประชาชน จะเป็นสภากาแฟ หรือเรื่องอื่นๆ คือแนวทางที่กำลังจะหลอมรวมพรรคประชาธิปัตย์ให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่ได้ต่อสู้มาอย่างน่าชื่นชมยกย่อง ว่าเป็นการต่อสู้อย่างสันติ โดยมีมวลชนจำนวนมากเข้าร่วม และเป้นการต่อสู้ที่ให้ข้อเท็จจริงต่อประชาชน อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะสร้างคุณภาพของประชาชนที่เป็นพลเมืองที่แข็งแกร่งของระบอบประชาธิปไตย การสร้างความตื่นตัวตรงนี้ทั้งหมดครับ คือหัวใจที่จะทำให้บ้านเมืองเราเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ
และปีที่ 61 ครับ ในสถานการณ์วิกฤตการณ์ประชาธิปไตยของบ้านเมืองอย่างนี้ ประชาธิปัตย์จะร่วมกับภาคประชาชนในการเรียกร้ององค์กรและสถาบันสำคัญให้ลุกขึ้นมาพิทักษ์รัฐธรรมนูญ หนึ่ง คือ สื่อสารมวลชน ปรากฎการณ์ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่ภาคประชาชนเคลื่อนไหว และสื่อสารมวลชนซึ่งเริ่มจากไม่ใช่สื่อหลักที่เข้าไปถึงพี่น้องประชาชนไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่ในเมืองใหญ่ๆ คือกระบวนการสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนที่รู้ความจริงทุกด้านแล้วกล้าแสดงออก เพื่อพิทักษ์รักษาสิทธิ เสรีภาพ และรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการลงคะแนนกว่า 10 ล้านคะแนน สื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลักต้องสนองตอบตรงนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะนี่จะเป็นวิธีการที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดในการล้มล้างระบอบอันเลวร้าย คือระบอบทักษิณให้สิ้นไปจากแผ่นดินนี้
สถาบันหรือกลุ่มคนที่สองที่ผมต้องเรียกร้อง คือ ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ระบบราชการและข้าราชการทุกคนนับแต่นี้ไป ถ้าเมื่อท่านนายกฯ ทักษิณ เว้นวรรคแล้ว จะต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างแท้จริง ต้องไม่จำนนต่ออำนาจการเมืองนอกระบบการบังคับบัญชาที่เป็นระบบบังคับบัญชาตามความถูกต้องในพื้นฐานกติกาของบ้านเมือง ถ้าพี่น้องราชการไม่ยอมให้การเว้นวรรคเพื่อชักใยเดินหน้าได้ ผมก็มั่นใจครับว่าระบอบอันเลวร้ายที่เราเรียกกันว่าระบอบทักษิณก็จะถูกกำจัดไปให้สิ้นซากจากแผ่นดินนี้เช่นกัน
พี่น้องที่เคารพครับ 60 ปีของประชาธิปัตย์ที่เราต่อสู้มาโดยตลอดนั้น เราไม่เคยมีเป้าหมายในระยะสั้นๆ ประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาแล้วมีเป้าหมายและหวังว่าวันนี้พรุ่งนี้หัวหน้าพรรคต้องไปเป็นนายกรัฐมนตรี หรือสมาชิกพรรคจะต้องเข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถ้าเป้าหมายที่สำคัญกว่าในยุคใดก็ตาม คือเอาความถูกต้อง ความดีงามในบ้านเมืองกลับคืนมาก่อน วันนี้ที่ประชาธิปัตย์ตัดสินใจไปนั้นก็เพื่อต่อสู้ เพื่อเรียกร้องให้ความดีงาม ความถูกต้องกลับคืนมา ละสถานภาพที่พวกเรานักการเมืองอาชีพหวงแหนมากที่สุด คือความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เราจึงเรียกร้องเพื่อนสมาชิกว่าให้มั่นคง ให้หนักแน่น เราได้เดินมาไกลในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนในการที่จะต่อสู้ แต่ฝ่ายที่พยายามจะฝังระบอบอันเลวร้ายให้ลึกลงไปก็ยังคงเดินหน้าอยู่เช่นกัน แต่ผมเชื่อครับว่า เหมือนกับที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดมาได้ 60 ปี เพราะอุดมการณ์ เพราะการยึดมั่นในความจริง สัจธรรม เหตุผล เราจึงยืนมาได้วันนี้ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 61 ฉันใด ฉันนั้น ถ้าสมาชิกทุกคน พี่น้องประชาชน สื่อสารมวลชน และข้าราชการจะได้ยึดมั่นในอุดมการณ์และสัจธรรมเหมือนกับที่พวกเราได้สืบทอด สืบสานกันมา 60 ปี ประเทศชาติบ้านเมืองของเราก็จะเป็นประเทศชาติบ้านเมืองที่มีความสงบสุข มีความรุ่งเรือง และชัยชนะเด็ดขาดขั้นสุดท้าย คือชัยชนะของพี่น้องประชาชนและคนทั้งประเทศครับ กราบขอบพระคุณครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 เม.ย. 2549--จบ--