ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ให้ ธ.พาณิชย์ส่งงบการเงินรวมภายในสิ้นปีนี้ นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผอส. ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธปท. เปิดเผยว่า
ธปท. ได้สั่งให้ ธ.พาณิชย์ส่งงบการเงินรวมให้ ธปท. ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม ซึ่งต้องการให้
สถาบันการเงินและกลุ่มโดยรวมมีความแข็งแกร่งและมั่นคงทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของกลุ่ม
โดยรวมที่มีผลกระทบต่อบริษัทในกลุ่มและสถาบันการเงินนั้น ทั้งนี้ การจัดทำงบการเงินรวมเป็นการจัดทำของบริษัทแม่กับบริษัทในกลุ่มธุรกิจ
ทางการเงินที่ประกอบธุรกิจการเงินและธุรกิจสนับสนุนที่บริษัทแม่ถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์
ลิสซิ่ง และเช่าซื้อ โดยธนาคารไม่ต้องรวมงบของบริษัทที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจสถาบันการเงินที่ถือหุ้นที่ได้จากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยแปลงหนี้
เป็นทุนมารวมด้วย เพราะบริษัทเหล่านั้นมีความเสี่ยงต่ำกว่าธุรกิจอื่นของ ธ.พาณิชย์ โดยภายในปีนี้ ธ.พาณิชย์ต้องแจ้งให้ทราบว่าโครงสร้างกลุ่ม
ธุรกิจจะเป็นแบบไหนจากที่มีอยู่ 3 แบบ คือ 1) ธ.พาณิชย์เป็นบริษัทแม่ 2) บริษัทรวมทุน (โฮลดิ้ง) เป็นบริษัทแม่ และ 3) บริษัทหลักทรัพย์หรือ
บริษัทประกันเป็นบริษัทแม่ ซึ่ง ธ.พาณิชย์ไทยคงใช้แค่ 2 แบบแรก ส่วนแบบหลังแบ่งเผื่อไว้ โดย 2 แบบแรกไม่แตกต่างกัน แต่แบบที่โฮลดิ้งเป็น
บริษัทแม่เป็นแค่บริษัทที่ลงทุนสามารถลงทุนได้จำกัด (เดลินิวส์)
2. ธปท. ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือลดเอ็นพีแอลอย่างจริงจัง นายทำนอง ดาศรี ผอ.ฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธปท. เปิดเผยถึงการ
ลดยอดคงค้างเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินจากปัจจุบัน ณ สิ้นเดือน มิ.ย.49 ที่มีอยู่จำนวน 484,701.70 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อ
สินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 8.23 ซี่ง ธปท. ต้องการลดเอ็นพีแอลให้อยู่ที่ระดับร้อยละ 2 ต่อสินเชื่อรวมภายในปี 50 และเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สามารถ
ทำได้อยู่ที่ทุกฝ่ายจะต้องให้ความร่วมมือในการลดเอ็นพีแอลอย่างจริงจัง ทั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ทำหน้าที่ในการรับซื้อเอ็นพีแอลไปบริหาร
ต้องรู้จักจัดการให้ดี ธ.พาณิชย์จะต้องเร่งรัดการบริหารจัดการเอ็นพีแอลด้วยตนเอง และกรมบังคับคดีก็ต้องช่วยกันเร่งรัดทั้งการไกล่เกลี่ยและการ
ประนอมหนี้ให้มากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่จะส่งผลให้เอ็นพีแอลในระบบลดลงได้ตามเป้าหมาย ส่วนการแก้ปัญหา
เอ็นพีแอลสิ่งสำคัญคือต้องรู้จักการบริหารจัดการที่ดี โดยที่ผ่านมาบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ สามารถบริหารเอ็นพีแอลให้ลดลงได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ส่วนจะลดเอ็นพีแอลให้ได้ร้อยละ 0 คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเอ็นพีแอลสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้น เจ้าหนี้และลูกหนี้เมื่อมีปัญหาจะ
ต้องรีบพูดคุยและปรึกษากันก่อนที่ปัญหาจะใหญ่จนกลายเป็นเอ็นพีแอล (แนวหน้า)
3. สภาพัฒน์คาดอีก 3 ปี ได้ใช้กรีนจีดีพีวัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นายสันติ บางอ้อ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยว่า สภาพัฒน์อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำแบบจำลองทางเศรษฐกิจวัดอัตราการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจหักด้วยต้นทุนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ กรีนจีดีพี มาใช้ คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปี กว่าจะบรรลุผล เนื่องจาก
เป็นการชี้วัดที่ทำได้ยากและมีน้อยประเทศที่นำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาที่เติบโตได้ถึงร้อยละ 6-7 จริง ๆ
แล้วยังไม่ได้หักต้นทุนด้านทรัพยากรที่ต้องสูญเสียไป ทำให้ไม่มีใครทราบว่าจริง ๆ แล้วเศรษฐกิจไทยขยายตัวสุทธิเท่าไหร่ และต้องแลกด้วยอะไร
บ้างกว่าจะได้ตัวเลขที่สูง ๆ มา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สภาพัฒน์ได้ใช้ตัวชี้วัดเบื้องต้นผ่านดัชนีความอยู่ดีมีสุข แต่ยังไมได้ลงลึกถึงขนาดเป็นกรีนจีดีพี
นอกจากนี้ ตัวชี้วัดในอนาคตจะต้องมีการรวมเรื่องการกระจายได้ในจีดีพีด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจเติบโตสูงแต่ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
ของคนไทยยังสูงอยู่และควรมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมถึงสิ่งที่ถูกทำลายไปในการทำให้จีดีพีขยายตัวขึ้น (โพสต์ทูเดย์)
4. สินเชื่อรายใหญ่ยังขยายตัวได้ แต่สินเชื่อบุคคลชะลอตัวลง คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า
สินเชื่อที่ยังขยายตัวได้คือสินเชื่อรายใหญ่ เป็นโครงการประเภทโรงงานไฟฟ้า ปิโตรเคมี กระดาษ ประกอบกับสินค้าในตลาดโลกปรับราคาสูงขึ้น
ตามราคาน้ำมันทำให้บางธุรกิจ เช่น โรงงานยาง โรงสีข้าว มันสำปะหลัง ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นในการซื้อของปริมาณเท่าเดิมและอาจสูงขึ้นถึง
สองเท่าตัว จึงยังมีความต้องใช้เงิน ส่วนสินเชื่อประเภทรายย่อยขยายตัวได้จากสินเชื่ออุปโภคบริโภคและสินเชื่อการเคหะเป็นหลัก แม้จะเติบโต
ชะลอตัว แต่ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องจากประชาชนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมา ขณะที่ธนาคารต้องระวังเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น โดยภาพรวมอัตราผล
ตอบแทนแม้ไม่ได้ลดลงลง แต่ถ้าการแข่งขันสูงส่วนต่างดอกเบี้ยจะลดลง หรือถ้าต้นทุนเงินฝากสูงขึ้นถึงจุดหนึ่งที่เงินฝากย้ายจากออมทรัพย์มาประจำ
เพิ่มขึ้น ต้นทุนโดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนการที่ ธ.กรุงเทพยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบ ธ.พาณิชย์ เพราะการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยเป็นนโยบายของธนาคารแต่ละแห่ง (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางยุโรปคาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปี 49 อาจขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 20 ส.ค. 49
Axel Weber ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสภา ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ให้สัมภาษณ์ นสพ.German daily Bild ว่าเขาคาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีอาจ
ขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีในปี 49 แต่เขาก็เตือนว่ามีปัจจัยเสี่ยงจากราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง อัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรและ
การขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคอีกร้อยละ 3 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 50 ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไม่ขยายตัวตามที่คาดไว้ อย่างไรก็ดี ยังมี
ปัจจัยสนับสนุนในทางบวกที่มองเห็นได้ชัดในขณะนี้คือการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน แต่เขาก็ยังไม่เชื่อว่าจำนวนคนว่างงานในเยอรมนีจะลดลงต่ำกว่า
ระดับ 4 ล้านคนได้ไม่ว่าในปี 49 หรือปี 50 ทั้งนี้จำนวนคนว่างงานในเดือน ก.ค.49 มีจำนวน 4.4 ล้านคน หลังจากที่เมื่อต้นปี 48 มีคนว่างงาน
จำนวน 5.2 ล้านคนซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
2. ราคาบ้านที่เสนอขายในอังกฤษและเวลล์ระหว่างต้นเดือน ก.ค.-ต้นเดือน ส.ค.49 ลดลงร้อยละ 1.6 เทียบต่อปี รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อ 21 ส.ค.49 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ Rightmove เปิดเผยว่า ราคาบ้านที่เสนอขายในอังกฤษและเวลล์ระหว่างต้นเดือน ก.ค.-
ต้นเดือน ส.ค.49 ลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่งผลอัตราเงินเฟ้อราคาบ้านกลับลดลงเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียวที่
ร้อยละ 9 โดยมีสาเหตุมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของอังกฤษในระยะนี้ ทำให้ความเป็นไปได้ที่ราคาบ้านจะสูงขึ้นเช่นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้หมดไป
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาบ้านชะลอลงส่วนหนึ่งอาจมาจากว่าปกติแล้วในเดือน ส.ค ช่วงเวลาของบ้านที่ยังไม่สามารถขายได้ในตลาดมีระยะ
เวลายาวนานขึ้นเป็น 81 วัน จาก 78 วัน ส่งผลให้จำนวนบ้านคงค้างเพิ่มขึ้น อนึ่ง ราคาบ้านในลอนดอนลดลงร้อยละ 1.5 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ลดลง
นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.48 เป็นต้นมา แม้ว่าราคาบ้านจะยังคงอยู่ที่ร้อยละ 13.9 สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนก็ตาม ทั้งนี้ ผอ. Rightmove
กล่าวว่า ช่วงห่างระหว่างราคาบ้านในลอนดอน และราคาบ้านในอังกฤษนอกเหนือนครลอนดอนเริ่มแคบลง ส่งผลให้ทำนายว่าราคาบ้านในอนาคตจะ
ลดลง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของ Rightmove ยังไม่ได้ปรับปัจจัยแนวโน้มทางฤดูกาลและตรงข้ามกับผลสำรวจของแหล่งอื่น ซึ่งเน้นว่าตลาดที่อยู่
อาศัยยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังไม่ได้ประกาศตัวเลขในเดือน ส.ค.นี้ (รอยเตอร์)
3. คาดว่า ธ.กลางจีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาสที่ 4 รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 49
นักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงของจีนกล่าวว่า อาจมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ภายหลังจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายอย่างเหนือความคาดหมายอีกร้อยละ 0.27 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นับเป็นการปรับเพิ่มเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 เดือน และเป็นความพยายาม
ครั้งล่าสุดในการควบคุมการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อ และการลงทุน ทั้งนี้วารสารตลาดหลักทรัพย์ของจีนเผยแพร่คำกล่าวของนาย
Wang Xiaoguang นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาและปฎิรูปแห่งชาติของจีน ว่ามีความเป็นไปได้ที่จีนจะปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นไตรมาสที่ 4 แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกใน
ไตรมาสที่ 3 ส่วนความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จากหลายแหล่งเห็นว่า รัฐบาลจีนควรจะพิจารณาในเรื่องผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายที่ถี่เกินไป และเห็นว่ารัฐบาลจีนควรที่จะหลีกเลี่ยงการดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดจนเกินไป แต่ควรที่จะรอดูตัวเลขเศรษฐกิจก่อน
ที่จะตัดสินใจในการดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดหากมีความจำเป็น (รอยเตอร์)
4. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของมาเลเซียยังไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ ผู้ว่าการ ธ.กลางมาเลเซีย
(Zeti Akhtar Aziz) เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ยนโนบายของมาเลเซียยังไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากยังคงมีปัจจัย
กระทบจากการขยายตัวของสินเชื่อ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้ ธ.กลางมาเลเซียได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ไว้ที่ระดับร้อยละ 3.50 เมื่อปลายเดือนที่แล้ว และส่งสัญญาณว่าอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก โดยก่อนหน้านี้
ธ.กลางมาเลเซียได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.8 ตั้งแต่เดือน พ.ย.48 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม
ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค ได้แสดงสัญญาณที่ดีขึ้นโดยขยายตัวชะลอลงเหลือร้อยละ 4.1 ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่ขยาย
ตัวสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ร้อยละ 4.8 เมื่อเดือน มี.ค.49 อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่า สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. อาจเป็น
ปัจจัยสำคัญให้ ธ.กลางมาเลเซียคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันที่ 28 ส.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่ง
เป็นการประชุมครั้งที่ 6 จากแผนการประชุมประจำปี 49 ที่มีการกำหนดไว้จำนวน 8 ครั้ง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 ส.ค. 49 18 ส.ค. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.634 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.4453/37.7335 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 708.97/ 8.55 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,950/11,050 10,950/11,050 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 67.81 67.29 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 19 ส.ค. 49 29.39*/27.54 29.79/27.54 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ให้ ธ.พาณิชย์ส่งงบการเงินรวมภายในสิ้นปีนี้ นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผอส. ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธปท. เปิดเผยว่า
ธปท. ได้สั่งให้ ธ.พาณิชย์ส่งงบการเงินรวมให้ ธปท. ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม ซึ่งต้องการให้
สถาบันการเงินและกลุ่มโดยรวมมีความแข็งแกร่งและมั่นคงทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของกลุ่ม
โดยรวมที่มีผลกระทบต่อบริษัทในกลุ่มและสถาบันการเงินนั้น ทั้งนี้ การจัดทำงบการเงินรวมเป็นการจัดทำของบริษัทแม่กับบริษัทในกลุ่มธุรกิจ
ทางการเงินที่ประกอบธุรกิจการเงินและธุรกิจสนับสนุนที่บริษัทแม่ถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์
ลิสซิ่ง และเช่าซื้อ โดยธนาคารไม่ต้องรวมงบของบริษัทที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจสถาบันการเงินที่ถือหุ้นที่ได้จากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยแปลงหนี้
เป็นทุนมารวมด้วย เพราะบริษัทเหล่านั้นมีความเสี่ยงต่ำกว่าธุรกิจอื่นของ ธ.พาณิชย์ โดยภายในปีนี้ ธ.พาณิชย์ต้องแจ้งให้ทราบว่าโครงสร้างกลุ่ม
ธุรกิจจะเป็นแบบไหนจากที่มีอยู่ 3 แบบ คือ 1) ธ.พาณิชย์เป็นบริษัทแม่ 2) บริษัทรวมทุน (โฮลดิ้ง) เป็นบริษัทแม่ และ 3) บริษัทหลักทรัพย์หรือ
บริษัทประกันเป็นบริษัทแม่ ซึ่ง ธ.พาณิชย์ไทยคงใช้แค่ 2 แบบแรก ส่วนแบบหลังแบ่งเผื่อไว้ โดย 2 แบบแรกไม่แตกต่างกัน แต่แบบที่โฮลดิ้งเป็น
บริษัทแม่เป็นแค่บริษัทที่ลงทุนสามารถลงทุนได้จำกัด (เดลินิวส์)
2. ธปท. ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือลดเอ็นพีแอลอย่างจริงจัง นายทำนอง ดาศรี ผอ.ฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธปท. เปิดเผยถึงการ
ลดยอดคงค้างเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินจากปัจจุบัน ณ สิ้นเดือน มิ.ย.49 ที่มีอยู่จำนวน 484,701.70 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อ
สินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 8.23 ซี่ง ธปท. ต้องการลดเอ็นพีแอลให้อยู่ที่ระดับร้อยละ 2 ต่อสินเชื่อรวมภายในปี 50 และเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สามารถ
ทำได้อยู่ที่ทุกฝ่ายจะต้องให้ความร่วมมือในการลดเอ็นพีแอลอย่างจริงจัง ทั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ทำหน้าที่ในการรับซื้อเอ็นพีแอลไปบริหาร
ต้องรู้จักจัดการให้ดี ธ.พาณิชย์จะต้องเร่งรัดการบริหารจัดการเอ็นพีแอลด้วยตนเอง และกรมบังคับคดีก็ต้องช่วยกันเร่งรัดทั้งการไกล่เกลี่ยและการ
ประนอมหนี้ให้มากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่จะส่งผลให้เอ็นพีแอลในระบบลดลงได้ตามเป้าหมาย ส่วนการแก้ปัญหา
เอ็นพีแอลสิ่งสำคัญคือต้องรู้จักการบริหารจัดการที่ดี โดยที่ผ่านมาบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ สามารถบริหารเอ็นพีแอลให้ลดลงได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ส่วนจะลดเอ็นพีแอลให้ได้ร้อยละ 0 คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเอ็นพีแอลสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้น เจ้าหนี้และลูกหนี้เมื่อมีปัญหาจะ
ต้องรีบพูดคุยและปรึกษากันก่อนที่ปัญหาจะใหญ่จนกลายเป็นเอ็นพีแอล (แนวหน้า)
3. สภาพัฒน์คาดอีก 3 ปี ได้ใช้กรีนจีดีพีวัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นายสันติ บางอ้อ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยว่า สภาพัฒน์อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำแบบจำลองทางเศรษฐกิจวัดอัตราการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจหักด้วยต้นทุนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ กรีนจีดีพี มาใช้ คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปี กว่าจะบรรลุผล เนื่องจาก
เป็นการชี้วัดที่ทำได้ยากและมีน้อยประเทศที่นำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาที่เติบโตได้ถึงร้อยละ 6-7 จริง ๆ
แล้วยังไม่ได้หักต้นทุนด้านทรัพยากรที่ต้องสูญเสียไป ทำให้ไม่มีใครทราบว่าจริง ๆ แล้วเศรษฐกิจไทยขยายตัวสุทธิเท่าไหร่ และต้องแลกด้วยอะไร
บ้างกว่าจะได้ตัวเลขที่สูง ๆ มา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สภาพัฒน์ได้ใช้ตัวชี้วัดเบื้องต้นผ่านดัชนีความอยู่ดีมีสุข แต่ยังไมได้ลงลึกถึงขนาดเป็นกรีนจีดีพี
นอกจากนี้ ตัวชี้วัดในอนาคตจะต้องมีการรวมเรื่องการกระจายได้ในจีดีพีด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจเติบโตสูงแต่ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
ของคนไทยยังสูงอยู่และควรมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมถึงสิ่งที่ถูกทำลายไปในการทำให้จีดีพีขยายตัวขึ้น (โพสต์ทูเดย์)
4. สินเชื่อรายใหญ่ยังขยายตัวได้ แต่สินเชื่อบุคคลชะลอตัวลง คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า
สินเชื่อที่ยังขยายตัวได้คือสินเชื่อรายใหญ่ เป็นโครงการประเภทโรงงานไฟฟ้า ปิโตรเคมี กระดาษ ประกอบกับสินค้าในตลาดโลกปรับราคาสูงขึ้น
ตามราคาน้ำมันทำให้บางธุรกิจ เช่น โรงงานยาง โรงสีข้าว มันสำปะหลัง ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นในการซื้อของปริมาณเท่าเดิมและอาจสูงขึ้นถึง
สองเท่าตัว จึงยังมีความต้องใช้เงิน ส่วนสินเชื่อประเภทรายย่อยขยายตัวได้จากสินเชื่ออุปโภคบริโภคและสินเชื่อการเคหะเป็นหลัก แม้จะเติบโต
ชะลอตัว แต่ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องจากประชาชนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมา ขณะที่ธนาคารต้องระวังเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น โดยภาพรวมอัตราผล
ตอบแทนแม้ไม่ได้ลดลงลง แต่ถ้าการแข่งขันสูงส่วนต่างดอกเบี้ยจะลดลง หรือถ้าต้นทุนเงินฝากสูงขึ้นถึงจุดหนึ่งที่เงินฝากย้ายจากออมทรัพย์มาประจำ
เพิ่มขึ้น ต้นทุนโดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนการที่ ธ.กรุงเทพยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบ ธ.พาณิชย์ เพราะการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยเป็นนโยบายของธนาคารแต่ละแห่ง (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางยุโรปคาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปี 49 อาจขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 20 ส.ค. 49
Axel Weber ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสภา ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ให้สัมภาษณ์ นสพ.German daily Bild ว่าเขาคาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีอาจ
ขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีในปี 49 แต่เขาก็เตือนว่ามีปัจจัยเสี่ยงจากราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง อัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรและ
การขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคอีกร้อยละ 3 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 50 ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไม่ขยายตัวตามที่คาดไว้ อย่างไรก็ดี ยังมี
ปัจจัยสนับสนุนในทางบวกที่มองเห็นได้ชัดในขณะนี้คือการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน แต่เขาก็ยังไม่เชื่อว่าจำนวนคนว่างงานในเยอรมนีจะลดลงต่ำกว่า
ระดับ 4 ล้านคนได้ไม่ว่าในปี 49 หรือปี 50 ทั้งนี้จำนวนคนว่างงานในเดือน ก.ค.49 มีจำนวน 4.4 ล้านคน หลังจากที่เมื่อต้นปี 48 มีคนว่างงาน
จำนวน 5.2 ล้านคนซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
2. ราคาบ้านที่เสนอขายในอังกฤษและเวลล์ระหว่างต้นเดือน ก.ค.-ต้นเดือน ส.ค.49 ลดลงร้อยละ 1.6 เทียบต่อปี รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อ 21 ส.ค.49 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ Rightmove เปิดเผยว่า ราคาบ้านที่เสนอขายในอังกฤษและเวลล์ระหว่างต้นเดือน ก.ค.-
ต้นเดือน ส.ค.49 ลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่งผลอัตราเงินเฟ้อราคาบ้านกลับลดลงเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียวที่
ร้อยละ 9 โดยมีสาเหตุมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของอังกฤษในระยะนี้ ทำให้ความเป็นไปได้ที่ราคาบ้านจะสูงขึ้นเช่นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้หมดไป
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาบ้านชะลอลงส่วนหนึ่งอาจมาจากว่าปกติแล้วในเดือน ส.ค ช่วงเวลาของบ้านที่ยังไม่สามารถขายได้ในตลาดมีระยะ
เวลายาวนานขึ้นเป็น 81 วัน จาก 78 วัน ส่งผลให้จำนวนบ้านคงค้างเพิ่มขึ้น อนึ่ง ราคาบ้านในลอนดอนลดลงร้อยละ 1.5 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ลดลง
นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.48 เป็นต้นมา แม้ว่าราคาบ้านจะยังคงอยู่ที่ร้อยละ 13.9 สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนก็ตาม ทั้งนี้ ผอ. Rightmove
กล่าวว่า ช่วงห่างระหว่างราคาบ้านในลอนดอน และราคาบ้านในอังกฤษนอกเหนือนครลอนดอนเริ่มแคบลง ส่งผลให้ทำนายว่าราคาบ้านในอนาคตจะ
ลดลง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของ Rightmove ยังไม่ได้ปรับปัจจัยแนวโน้มทางฤดูกาลและตรงข้ามกับผลสำรวจของแหล่งอื่น ซึ่งเน้นว่าตลาดที่อยู่
อาศัยยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังไม่ได้ประกาศตัวเลขในเดือน ส.ค.นี้ (รอยเตอร์)
3. คาดว่า ธ.กลางจีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาสที่ 4 รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 49
นักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงของจีนกล่าวว่า อาจมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ภายหลังจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายอย่างเหนือความคาดหมายอีกร้อยละ 0.27 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นับเป็นการปรับเพิ่มเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 เดือน และเป็นความพยายาม
ครั้งล่าสุดในการควบคุมการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อ และการลงทุน ทั้งนี้วารสารตลาดหลักทรัพย์ของจีนเผยแพร่คำกล่าวของนาย
Wang Xiaoguang นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาและปฎิรูปแห่งชาติของจีน ว่ามีความเป็นไปได้ที่จีนจะปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นไตรมาสที่ 4 แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกใน
ไตรมาสที่ 3 ส่วนความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จากหลายแหล่งเห็นว่า รัฐบาลจีนควรจะพิจารณาในเรื่องผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายที่ถี่เกินไป และเห็นว่ารัฐบาลจีนควรที่จะหลีกเลี่ยงการดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดจนเกินไป แต่ควรที่จะรอดูตัวเลขเศรษฐกิจก่อน
ที่จะตัดสินใจในการดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดหากมีความจำเป็น (รอยเตอร์)
4. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของมาเลเซียยังไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ ผู้ว่าการ ธ.กลางมาเลเซีย
(Zeti Akhtar Aziz) เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ยนโนบายของมาเลเซียยังไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากยังคงมีปัจจัย
กระทบจากการขยายตัวของสินเชื่อ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้ ธ.กลางมาเลเซียได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ไว้ที่ระดับร้อยละ 3.50 เมื่อปลายเดือนที่แล้ว และส่งสัญญาณว่าอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก โดยก่อนหน้านี้
ธ.กลางมาเลเซียได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.8 ตั้งแต่เดือน พ.ย.48 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม
ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค ได้แสดงสัญญาณที่ดีขึ้นโดยขยายตัวชะลอลงเหลือร้อยละ 4.1 ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่ขยาย
ตัวสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ร้อยละ 4.8 เมื่อเดือน มี.ค.49 อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่า สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. อาจเป็น
ปัจจัยสำคัญให้ ธ.กลางมาเลเซียคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันที่ 28 ส.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่ง
เป็นการประชุมครั้งที่ 6 จากแผนการประชุมประจำปี 49 ที่มีการกำหนดไว้จำนวน 8 ครั้ง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 ส.ค. 49 18 ส.ค. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.634 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.4453/37.7335 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 708.97/ 8.55 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,950/11,050 10,950/11,050 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 67.81 67.29 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 19 ส.ค. 49 29.39*/27.54 29.79/27.54 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--