ในช่วงก่อนหน้านี้ ได้มีรายงานข่าวเกี่ยวกับวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ข้ามชาติว่า นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียได้แถลงแนวทางของนโยบายรถยนต์แห่งชาติ (National Automotive Policy : NAP) ฉบับใหม่ ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ที่จะมุ่งนโยบายไปสู่การเปิดเสรีอุตสาหกรรมยานยนต์ของมาเลเซียต่อสาธารณชน และต่อมาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2549 มาเลเซียก็ได้แจ้งต่อที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน (SEOM) ครั้งที่ 2/37 ว่ารัฐบาลมาเลเซียได้ออกประกาศ Customs Act 1967 — Customs Duties ( Goods of ASEAN Countries Origin) (AHTN and CEPT) (Amendment) (No.5) Order 2006 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2549 เป็นต้นไป โดยประกาศดังกล่าวเป็นประกาศปรับลดอัตราศุลกากรภายใต้ CEPT สำหรับรถยนต์สำเร็จรูปลงเป็นร้อยละ 5 ซึ่งมาเลเซียอ้างว่าได้ปรับลดภาษีสินค้ารถยนต์สำเร็จรูปลงเหลือร้อยละ 0 — 5 ทั้งหมดแล้ว และได้เรียกร้องในการประชุมว่า มาเลเซียควรได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ CEPT ในสินค้าเหล่านี้จากประเทศสมาชิกเช่นกัน ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น น่าที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์อาเซียน รายละเอียดติดตามได้จากเว็บไซด์ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (www.oie.go.th/artcle.asp)
สำหรับในส่วนของประเทศไทย ได้มีประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 78) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2549 ยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคนที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี. ที่ได้นำไปติดตั้งชุดอุปกรณ์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติในกระบวนการผลิต ให้ได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิตเป็นจำนวนเงินเท่าที่เป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งชุดอุปกรณ์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ(NGV — Retrofit) แต่ไม่เกินห้าหมื่นบาทต่อคัน ทั้งนี้ รถยนต์ตามประเภทดังกล่าวต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงการคลังฉบับนี้ โดยการยกเว้นภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ให้มีผลเฉพาะรถยนต์ที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2551
อุตสาหกรรมรถยนต์
การผลิต ปริมาณการผลิตรถยนต์ของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 597,474 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.82 โดยมีการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.47 และ 15.99 ตามลำดับ แต่ผลิตรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 5.63 ซึ่งจากปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวม เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 267,443 คัน หรือร้อยละ 44.76 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อการส่งออกร้อยละ 22.29 และรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน(รวมรถยนต์ประเภท PPV) ร้อยละ 77.67 ของปริมาณการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกทั้งหมด เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.21 โดยมีการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.83 และ 8.95 ตามลำดับ แต่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 19.03 และหากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 ปริมาณการผลิตรถยนต์ลดลงร้อยละ 3.73 โดยมีการผลิตรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67 แต่รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 4.81 และ 17.14 ตามลำดับ
การจำหน่าย ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศในช่วงครึ่งปีแรก 2549 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 334,776 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2548 ลดลงร้อยละ 3.22 โดยมีการจำหน่ายรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.77 แต่รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ และรถยนต์ PPV รวม SUV ลดลงร้อยละ 1.79, 10.76 และ 34.98 ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตลาดรถยนต์ในครึ่งปีแรก 2549 ค่อนข้างชะลอตัวลง โดยตลาดรถยนต์ปิกอัพซึ่งมีขนาดตลาดที่ใหญ่ที่สุดของไทย ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึงร้อยละ 61.49 มีการชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20 แม้ว่าจะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงจากค่ายรถยนต์ปิกอัพยี่ห้อต่างๆ ทั้งการเปิดตัวรถปิกอัพรุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2549 และการจัดการส่งเสริมการขายที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ในส่วนของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ โดยเฉพาะรถยนต์บรรทุกก็ชะลอตัวลง ซึ่งสาเหตุที่สำคัญเนื่องจากการชะลอลงของการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในหมวดก่อสร้างหดตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ในส่วนของตลาดรถยนต์นั่งที่มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 28.15 กลับมาคึกคักขึ้นในปีนี้ หลังจากที่ค่อนข้างซบเซาในปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีผลกระตุ้นยอดขายมาจากการเปิดตัวของรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,800 ซีซี. แต่สำหรับตลาดรถยนต์นั่งประเภทหรูหราค่อนข้างซบเซา อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่ใจในภาวะเศรฐกิจและการเมืองเป็นสำคัญ และสำหรับรถยนต์ประเภทที่มีลักษณะการใช้ประโยชน์คล้ายรถยนต์นั่งซึ่งก็คือรถยนต์ PPV (สร้างมาจากฐานของรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน) และรถยนต์ SUV (มีลักษณะเป็นรถยนต์นั่งและมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ) ที่เคยเป็นที่นิยมและมีการขยายตัวสูงในปี 2548 ก็กลับได้รับความนิยมลดลงมีปริมาณการจำหน่ายหดตัวลง เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ลดลงร้อยละ 8.15 โดยมีการจำหน่ายรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.51 แต่รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ และรถยนต์ PPV รวม SUV ลดลงร้อยละ 6.93, 20.39 และ 45.16 ตามลำดับ และหากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ลดลงร้อยละ 3.05 โดยมีการจำหน่ายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.99 แต่รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ และรถยนต์ PPV รวม SUV ลดลงร้อยละ 8.05, 5.88 และ 10.78 ตามลำดับ
การส่งออก ปริมาณการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีปริมาณการส่งออกรถยนต์(CBU) จำนวน 263,591 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.88 โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออก 117,674.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.10 โดยรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน(รวมรถยนต์ PPV) มีปริมาณการส่งออกถึงประมาณร้อยละ 78 รถยนต์นั่งประมาณร้อยละ 21 เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการส่งออกรถยนต์ทุกประเภทของไทย และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการส่งออกเพิ่มร้อยละ 19.83 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 แล้ว ลดลงร้อยละ 9.96 ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถยนต์นั่งจากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ได้แก่ ออสเตรเลีย โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 65.59 นอกจากนี้ ยังมีตลาดที่สำคัญในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ และตลาดที่มีการขยายตัวสูงมากคือประเทศตะวันออกกลาง ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดส่งออกรถแวนและปิกอัพที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักรฯ และซาอุดีอาระเบีย มีการขยายตัวร้อยละ 10.51, 41.45 และ 87.11 ตามลำดับ และมีตลาดส่งออกที่มีการขยายตัวสูง คือ เยอรมนี ตลาดส่งออกรถบัสและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย แต่หดตัวร้อยละ 55.21 และมีตลาดส่งออกที่น่าสนใจ คือ ซาอุดีอาระเบีย และลิเบีย ซึ่งมีการขยายตัวถึงร้อยละ 398.00 และ 284.21 ตามลำดับ
การนำเข้า การนำเข้ารถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งคิดเป็นมูลค่า 5,560.7 ล้านบาท ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 17.01 และมีการนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกคิดเป็นมูลค่า 4,324.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 36.58 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุกลดลงร้อยละ 16.07 และ 37.86 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 27.80 แต่รถยนต์โดยสารและรถบรรทุกเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.84 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถยนต์นั่งของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2549 ได้แก่ ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น และเยอรมนี แหล่งนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สำหรับข้อมูลจากกรมศุลกากร ซึ่งได้รายงานผลการนำเข้ารถยนต์นั่งใหม่ ที่ผ่านพิธีการศุลกากร ณ สำนักงานศุลกากรแหลมฉบัง, สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ, สำนักงานศุลกากรนำเข้าท่าเรือกรุงเทพ, สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ ปรากฏว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งรวมจำนวน 6,122 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ซึ่งมีการนำเข้ารถยนต์นั่ง 14,741คัน ร้อยละ 58.47 โดยแบ่งเป็น รถยนต์ญี่ปุ่น 3,777 คัน รถยนต์เกาหลี 1,136 คัน รถยนต์ยุโรป 1,189 คัน และรถยนต์สหรัฐอเมริกา 20 คัน
อุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก 2549 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 การผลิตมีการขยายตัว อันเนื่องมาจากการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ ในขณะที่ตลาดในประเทศได้ชะลอตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ ได้แก่ สถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อ และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจนส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภคในความมั่นใจด้านเศรษฐกิจการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2549 ที่เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งตลาดรถยนต์ในประเทศโดยรวมก็ชะลอตัวด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงไตรมาสที่สามจะค่อนข้างทรงตัว แต่หากพิจารณาภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ครึ่งปีหลัง 2549 จะขยายตัวได้ โดยอาศัยการขยายตลาดส่งออกเป็นสำคัญ และการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดในประเทศโดยการวางตำแหน่งสินค้าของผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ ที่เน้นตลาดรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์และนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อรถ ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะส่งผลด้านบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและอุตสาหกรรมรถยนต์ อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาตัวเลขภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ช่วงครึ่งปีแรกด้วยแล้ว คาดได้ว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2549 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 น่าจะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ได้ประมาณการไว้ช่วงต้นปี
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
การผลิต ปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีจำนวน 1,123,705 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 4.73 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว 1,082,080 คัน และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต 41,625 คัน ลดลงร้อยละ 4.12 และ 18.26 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 มีปริมาณการผลิต 527,202 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 9.46 โดยเป็นการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต ลดลงร้อยละ 8.71 และ 26.06 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ11.62 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 11.29 และ 19.74 ตามลำดับ
การจำหน่าย ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีจำนวน 1,127,116 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 8.56 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.54 และ 10.26 ตามลำดับ ซึ่งรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึงร้อยละ 99.05 เนื่องจากรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวมีความประหยัดทั้งด้านราคาและพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้ ซึ่งเหมาะกับสภาวะราคาน้ำมันและเศรษฐกิจของประเทศในช่วงนี้ โดยในส่วนของการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว รถจักรยานยนต์แบบสกู๊ตเตอร์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบสกู๊ตเตอร์ขยายตัวถึงประมาณร้อยละ 267 ทั้งนี้ เนื่องจากรถจักรยานยนต์แบบสกู๊ตเตอร์ให้ความสะดวกในการขับขี่ ประกอบกับมีรูปลักษณ์หรูหราทันสมัยตรงกับกระแสความนิยมของผู้บริโภคในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 มีปริมาณการจำหน่าย 554,008 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 8.47 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.60 แต่แบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 5.86 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 3.33 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ต ลดลงร้อยละ 3.05 และ 28.60 ตามลำดับ
การส่งออก ปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มี จำนวน 760,528 คัน(เป็นการส่งออก CBU ร้อยละ 8.88 และ CKD ร้อยละ 91.12) ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2548 ซึ่งมีปริมาณการส่งออก 658,798 คัน ร้อยละ 15.44 โดยคิดเป็นมูลค่า 11,915.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.90 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 มีปริมาณการส่งออก 356,842 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 7.12 แต่คิดเป็นมูลค่าลดลงร้อยละ 10.69 หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 ปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 11.60 และคิดเป็นมูลค่าลดลงร้อยละ 17.97 สำหรับประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถจักรยานยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และอินโดนีเซีย โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 9.34 และ 12.36 ตามลำดับ และมีตลาดใหม่ที่มีการขยายตัวสูงคือ โคลัมเบีย เพิ่มขึ้นร้อยละ 114.62 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในอาเซียนที่เคยมีการขยายตัวสูง เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กลับมีการขยายตัวในอัตราที่ลดลงมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่จีนได้ส่งออกรถจักรยานยนต์ไปในตลาดอาเซียนมากขึ้น
การนำเข้า การนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 คิดเป็นมูลค่า 1,046.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 33.99 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.05 หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 3.03 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2549 ได้แก่ ญี่ปุ่น โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 31.09 และปรากฏว่ามีแนวโน้มการนำเข้ารถจักรยานยนต์จากจีนเพิ่มมากขึ้น โดยมีการนำเข้าขยายตัวถึงร้อยละ 125.29
ในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ได้รับผลกระทบจากวิกฤติด้านราคาน้ำมัน สถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจโดยรวมบ้างเล็กน้อย โดยเห็นได้จากปริมาณการผลิตที่ชะลอตัวลง และปริมาณการจำหน่ายที่มีการขยายตัวไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และอาจคาดได้ว่า ในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะชะลอการซื้อรถ ส่งผลให้ตลาดรถจักรยานยนต์ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี คาดว่าอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2549 จะขยายตัวมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากผู้ที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ยานพาหนะในการเดินทาง รถจักรยานยนต์เป็นทางเลือกหนึ่งที่ประหยัดมากกว่ารถยนต์ ประกอบกับในช่วงปลายปี สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะส่งผลด้านบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) มีแนวโน้มว่าประเทศไทยจะส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป(CBU) ได้ลดลง แต่จะมีการส่งออกรถจักรยานยนต์ในลักษณะชุดของชิ้นส่วนเพื่อนำไปประกอบในโรงงาน (CKD) ได้มากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากการผลิตรถจักรยานยนต์อาศัยเทคโนโลยีที่ไม่สูงมากนัก จึงมีช่วงวงจรชีวิตของสินค้า (Product Cycle) ไม่นาน ประเทศที่เคยนำเข้ารถจักรยานยนต์สำเร็จรูป(CBU) จากไทยได้เริ่มที่จะสามารถผลิตได้เองและมีการใช้กำลังการผลิตมากขึ้น
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
การส่งออก การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีมูลค่า 41,803.74 และ 2,441.40 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 23.85 และ 35.27 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) มีมูลค่า 5,897.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 15.62 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมีมูลค่าส่งออก 252.42 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29.32 ทั้งนี้ เนื่องจากการส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของไทยได้รับผลกระทบจากการที่จีนได้มีการปรับเป้าหมายที่จะส่งออกชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ให้เร็วขึ้น จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 10 ปี เป็นภายใน 5 ปี โดยเมื่อปี 2548 จีนได้เริ่มมีการผลิตและส่งออกรถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น และลดการนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ด้วย ซึ่งจากเหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและส่งออกรถจักยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ทั่วโลก และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.43 และ 37.05 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.92 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 49.24 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) ลดลงร้อยละ 4.56 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.41 สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.32 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 23.24 ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย และแอฟริกาใต้ โดยมีการขยายตัวเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 21.92, 24.52 และ 24.66 ตามลำดับ ส่วนประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มีการขยายตัวร้อยละ 109.04 นอกจากนี้ ประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยมีการหดตัวร้อยละ 32.80 และ 47.65 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ของไทยได้ขยายการส่งออกไปในตลาดอื่นมากขึ้น ได้แก่ กัมพูชา สหราชอาณาจักร และบราซิล โดยมีการขยายตัวร้อยละ 225.08, 164.36 และ 116.20 ตามลำดับ
จากข้อมูลการขยายตัวของการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ข้างต้น จึงคาดการณ์ได้ว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2549 การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ จะยังคงมีการขยายตัว สำหรับการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) เพื่อนำไปประกอบเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปในประเทศผู้นำเข้า จะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับการส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของไทยมีลู่ทางที่ไม่แจ่มใสนัก เนื่องจากต้องเผชิญการแข่งขันอย่างรุนแรงจากประเทศจีน จึงต้องเร่งที่จะปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เทียบเท่าหรือสูงกว่ามาตรฐานสากล ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินการเร่งปรับปรุงมาตรฐานของไทย โดยใช้แนวทางของ UN-ECE เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และคุ้มครองผู้บริโภคจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน
การนำเข้า การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีมูลค่า 59,120.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 5.59 สำหรับการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มี มูลค่า 3,680.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.93 และเมื่อพิจารณาไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ลดลงร้อยละ 9.94 การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.31 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกปี 2549 มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ลดลงร้อยละ 4.56 ส่วนการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.41 ซึ่งแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ได้แก่ ญี่ปุ่น และแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน และอินโดนีเชีย
ตารางการจำหน่ายยานยนต์ในประเทศ
หน่วย : คัน
ประเภทยานยนต์ ปี ปี ม.ค.-มิ.ย. ม.ค.-มิ.ย. % เปลี่ยนแปลง
2547 2548 2548 2549
รถยนต์ 625,978 703,410 345,902 334,776 -3.22
รถยนต์นั่ง 209,103 188,211 90,818 94,240 3.77
รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน (1) 358,476 426,635 209,595 205,840 -1.79
36,036 40,136 21,144 18,868 -10.76
รถยนต์ PPV และ SUV 22,363 48,428 24,345 15,828 -34.98
รถจักรยานยนต์ 2,033,766 2,108,078 1,038,253 1,127,116 8.56
ครอบครัว (2) 2,017,319 2,088,360 1,028,523 1,116,388 8.54
สปอร์ต 16,447 19,718 9,730 10,728 10.26
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รวบรวมจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ : 1 เป็นปริมาณการจำหน่ายรวมรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และ Double cap
2 เป็นปริมาณการจำหน่ายรวมรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว แบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต และแบบสกู๊ตเตอร์
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
สำหรับในส่วนของประเทศไทย ได้มีประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 78) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2549 ยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคนที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี. ที่ได้นำไปติดตั้งชุดอุปกรณ์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติในกระบวนการผลิต ให้ได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิตเป็นจำนวนเงินเท่าที่เป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งชุดอุปกรณ์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ(NGV — Retrofit) แต่ไม่เกินห้าหมื่นบาทต่อคัน ทั้งนี้ รถยนต์ตามประเภทดังกล่าวต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงการคลังฉบับนี้ โดยการยกเว้นภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ให้มีผลเฉพาะรถยนต์ที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2551
อุตสาหกรรมรถยนต์
การผลิต ปริมาณการผลิตรถยนต์ของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 597,474 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.82 โดยมีการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.47 และ 15.99 ตามลำดับ แต่ผลิตรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 5.63 ซึ่งจากปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวม เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 267,443 คัน หรือร้อยละ 44.76 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อการส่งออกร้อยละ 22.29 และรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน(รวมรถยนต์ประเภท PPV) ร้อยละ 77.67 ของปริมาณการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกทั้งหมด เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.21 โดยมีการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.83 และ 8.95 ตามลำดับ แต่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 19.03 และหากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 ปริมาณการผลิตรถยนต์ลดลงร้อยละ 3.73 โดยมีการผลิตรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67 แต่รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 4.81 และ 17.14 ตามลำดับ
การจำหน่าย ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศในช่วงครึ่งปีแรก 2549 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 334,776 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2548 ลดลงร้อยละ 3.22 โดยมีการจำหน่ายรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.77 แต่รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ และรถยนต์ PPV รวม SUV ลดลงร้อยละ 1.79, 10.76 และ 34.98 ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตลาดรถยนต์ในครึ่งปีแรก 2549 ค่อนข้างชะลอตัวลง โดยตลาดรถยนต์ปิกอัพซึ่งมีขนาดตลาดที่ใหญ่ที่สุดของไทย ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึงร้อยละ 61.49 มีการชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20 แม้ว่าจะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงจากค่ายรถยนต์ปิกอัพยี่ห้อต่างๆ ทั้งการเปิดตัวรถปิกอัพรุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2549 และการจัดการส่งเสริมการขายที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ในส่วนของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ โดยเฉพาะรถยนต์บรรทุกก็ชะลอตัวลง ซึ่งสาเหตุที่สำคัญเนื่องจากการชะลอลงของการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในหมวดก่อสร้างหดตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ในส่วนของตลาดรถยนต์นั่งที่มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 28.15 กลับมาคึกคักขึ้นในปีนี้ หลังจากที่ค่อนข้างซบเซาในปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีผลกระตุ้นยอดขายมาจากการเปิดตัวของรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,800 ซีซี. แต่สำหรับตลาดรถยนต์นั่งประเภทหรูหราค่อนข้างซบเซา อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่ใจในภาวะเศรฐกิจและการเมืองเป็นสำคัญ และสำหรับรถยนต์ประเภทที่มีลักษณะการใช้ประโยชน์คล้ายรถยนต์นั่งซึ่งก็คือรถยนต์ PPV (สร้างมาจากฐานของรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน) และรถยนต์ SUV (มีลักษณะเป็นรถยนต์นั่งและมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ) ที่เคยเป็นที่นิยมและมีการขยายตัวสูงในปี 2548 ก็กลับได้รับความนิยมลดลงมีปริมาณการจำหน่ายหดตัวลง เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ลดลงร้อยละ 8.15 โดยมีการจำหน่ายรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.51 แต่รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ และรถยนต์ PPV รวม SUV ลดลงร้อยละ 6.93, 20.39 และ 45.16 ตามลำดับ และหากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ลดลงร้อยละ 3.05 โดยมีการจำหน่ายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.99 แต่รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ และรถยนต์ PPV รวม SUV ลดลงร้อยละ 8.05, 5.88 และ 10.78 ตามลำดับ
การส่งออก ปริมาณการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีปริมาณการส่งออกรถยนต์(CBU) จำนวน 263,591 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.88 โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออก 117,674.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.10 โดยรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน(รวมรถยนต์ PPV) มีปริมาณการส่งออกถึงประมาณร้อยละ 78 รถยนต์นั่งประมาณร้อยละ 21 เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการส่งออกรถยนต์ทุกประเภทของไทย และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการส่งออกเพิ่มร้อยละ 19.83 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 แล้ว ลดลงร้อยละ 9.96 ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถยนต์นั่งจากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ได้แก่ ออสเตรเลีย โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 65.59 นอกจากนี้ ยังมีตลาดที่สำคัญในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ และตลาดที่มีการขยายตัวสูงมากคือประเทศตะวันออกกลาง ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดส่งออกรถแวนและปิกอัพที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักรฯ และซาอุดีอาระเบีย มีการขยายตัวร้อยละ 10.51, 41.45 และ 87.11 ตามลำดับ และมีตลาดส่งออกที่มีการขยายตัวสูง คือ เยอรมนี ตลาดส่งออกรถบัสและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย แต่หดตัวร้อยละ 55.21 และมีตลาดส่งออกที่น่าสนใจ คือ ซาอุดีอาระเบีย และลิเบีย ซึ่งมีการขยายตัวถึงร้อยละ 398.00 และ 284.21 ตามลำดับ
การนำเข้า การนำเข้ารถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งคิดเป็นมูลค่า 5,560.7 ล้านบาท ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 17.01 และมีการนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกคิดเป็นมูลค่า 4,324.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 36.58 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุกลดลงร้อยละ 16.07 และ 37.86 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 27.80 แต่รถยนต์โดยสารและรถบรรทุกเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.84 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถยนต์นั่งของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2549 ได้แก่ ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น และเยอรมนี แหล่งนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สำหรับข้อมูลจากกรมศุลกากร ซึ่งได้รายงานผลการนำเข้ารถยนต์นั่งใหม่ ที่ผ่านพิธีการศุลกากร ณ สำนักงานศุลกากรแหลมฉบัง, สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ, สำนักงานศุลกากรนำเข้าท่าเรือกรุงเทพ, สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ ปรากฏว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งรวมจำนวน 6,122 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ซึ่งมีการนำเข้ารถยนต์นั่ง 14,741คัน ร้อยละ 58.47 โดยแบ่งเป็น รถยนต์ญี่ปุ่น 3,777 คัน รถยนต์เกาหลี 1,136 คัน รถยนต์ยุโรป 1,189 คัน และรถยนต์สหรัฐอเมริกา 20 คัน
อุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก 2549 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 การผลิตมีการขยายตัว อันเนื่องมาจากการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ ในขณะที่ตลาดในประเทศได้ชะลอตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ ได้แก่ สถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อ และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจนส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภคในความมั่นใจด้านเศรษฐกิจการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2549 ที่เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งตลาดรถยนต์ในประเทศโดยรวมก็ชะลอตัวด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงไตรมาสที่สามจะค่อนข้างทรงตัว แต่หากพิจารณาภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ครึ่งปีหลัง 2549 จะขยายตัวได้ โดยอาศัยการขยายตลาดส่งออกเป็นสำคัญ และการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดในประเทศโดยการวางตำแหน่งสินค้าของผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ ที่เน้นตลาดรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์และนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อรถ ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะส่งผลด้านบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและอุตสาหกรรมรถยนต์ อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาตัวเลขภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ช่วงครึ่งปีแรกด้วยแล้ว คาดได้ว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2549 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 น่าจะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ได้ประมาณการไว้ช่วงต้นปี
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
การผลิต ปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีจำนวน 1,123,705 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 4.73 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว 1,082,080 คัน และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต 41,625 คัน ลดลงร้อยละ 4.12 และ 18.26 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 มีปริมาณการผลิต 527,202 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 9.46 โดยเป็นการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต ลดลงร้อยละ 8.71 และ 26.06 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ11.62 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 11.29 และ 19.74 ตามลำดับ
การจำหน่าย ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีจำนวน 1,127,116 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 8.56 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.54 และ 10.26 ตามลำดับ ซึ่งรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึงร้อยละ 99.05 เนื่องจากรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวมีความประหยัดทั้งด้านราคาและพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้ ซึ่งเหมาะกับสภาวะราคาน้ำมันและเศรษฐกิจของประเทศในช่วงนี้ โดยในส่วนของการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว รถจักรยานยนต์แบบสกู๊ตเตอร์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบสกู๊ตเตอร์ขยายตัวถึงประมาณร้อยละ 267 ทั้งนี้ เนื่องจากรถจักรยานยนต์แบบสกู๊ตเตอร์ให้ความสะดวกในการขับขี่ ประกอบกับมีรูปลักษณ์หรูหราทันสมัยตรงกับกระแสความนิยมของผู้บริโภคในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 มีปริมาณการจำหน่าย 554,008 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 8.47 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.60 แต่แบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 5.86 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 3.33 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ต ลดลงร้อยละ 3.05 และ 28.60 ตามลำดับ
การส่งออก ปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มี จำนวน 760,528 คัน(เป็นการส่งออก CBU ร้อยละ 8.88 และ CKD ร้อยละ 91.12) ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2548 ซึ่งมีปริมาณการส่งออก 658,798 คัน ร้อยละ 15.44 โดยคิดเป็นมูลค่า 11,915.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.90 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 มีปริมาณการส่งออก 356,842 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 7.12 แต่คิดเป็นมูลค่าลดลงร้อยละ 10.69 หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 ปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 11.60 และคิดเป็นมูลค่าลดลงร้อยละ 17.97 สำหรับประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถจักรยานยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และอินโดนีเซีย โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 9.34 และ 12.36 ตามลำดับ และมีตลาดใหม่ที่มีการขยายตัวสูงคือ โคลัมเบีย เพิ่มขึ้นร้อยละ 114.62 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในอาเซียนที่เคยมีการขยายตัวสูง เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กลับมีการขยายตัวในอัตราที่ลดลงมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่จีนได้ส่งออกรถจักรยานยนต์ไปในตลาดอาเซียนมากขึ้น
การนำเข้า การนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 คิดเป็นมูลค่า 1,046.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 33.99 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.05 หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 3.03 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2549 ได้แก่ ญี่ปุ่น โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 31.09 และปรากฏว่ามีแนวโน้มการนำเข้ารถจักรยานยนต์จากจีนเพิ่มมากขึ้น โดยมีการนำเข้าขยายตัวถึงร้อยละ 125.29
ในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ได้รับผลกระทบจากวิกฤติด้านราคาน้ำมัน สถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจโดยรวมบ้างเล็กน้อย โดยเห็นได้จากปริมาณการผลิตที่ชะลอตัวลง และปริมาณการจำหน่ายที่มีการขยายตัวไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และอาจคาดได้ว่า ในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะชะลอการซื้อรถ ส่งผลให้ตลาดรถจักรยานยนต์ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี คาดว่าอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2549 จะขยายตัวมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากผู้ที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ยานพาหนะในการเดินทาง รถจักรยานยนต์เป็นทางเลือกหนึ่งที่ประหยัดมากกว่ารถยนต์ ประกอบกับในช่วงปลายปี สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะส่งผลด้านบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) มีแนวโน้มว่าประเทศไทยจะส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป(CBU) ได้ลดลง แต่จะมีการส่งออกรถจักรยานยนต์ในลักษณะชุดของชิ้นส่วนเพื่อนำไปประกอบในโรงงาน (CKD) ได้มากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากการผลิตรถจักรยานยนต์อาศัยเทคโนโลยีที่ไม่สูงมากนัก จึงมีช่วงวงจรชีวิตของสินค้า (Product Cycle) ไม่นาน ประเทศที่เคยนำเข้ารถจักรยานยนต์สำเร็จรูป(CBU) จากไทยได้เริ่มที่จะสามารถผลิตได้เองและมีการใช้กำลังการผลิตมากขึ้น
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
การส่งออก การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีมูลค่า 41,803.74 และ 2,441.40 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 23.85 และ 35.27 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) มีมูลค่า 5,897.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 15.62 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมีมูลค่าส่งออก 252.42 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29.32 ทั้งนี้ เนื่องจากการส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของไทยได้รับผลกระทบจากการที่จีนได้มีการปรับเป้าหมายที่จะส่งออกชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ให้เร็วขึ้น จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 10 ปี เป็นภายใน 5 ปี โดยเมื่อปี 2548 จีนได้เริ่มมีการผลิตและส่งออกรถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น และลดการนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ด้วย ซึ่งจากเหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและส่งออกรถจักยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ทั่วโลก และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.43 และ 37.05 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.92 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 49.24 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2549 มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) ลดลงร้อยละ 4.56 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.41 สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.32 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 23.24 ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย และแอฟริกาใต้ โดยมีการขยายตัวเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 21.92, 24.52 และ 24.66 ตามลำดับ ส่วนประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มีการขยายตัวร้อยละ 109.04 นอกจากนี้ ประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยมีการหดตัวร้อยละ 32.80 และ 47.65 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ของไทยได้ขยายการส่งออกไปในตลาดอื่นมากขึ้น ได้แก่ กัมพูชา สหราชอาณาจักร และบราซิล โดยมีการขยายตัวร้อยละ 225.08, 164.36 และ 116.20 ตามลำดับ
จากข้อมูลการขยายตัวของการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ข้างต้น จึงคาดการณ์ได้ว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2549 การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ จะยังคงมีการขยายตัว สำหรับการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) เพื่อนำไปประกอบเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปในประเทศผู้นำเข้า จะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับการส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของไทยมีลู่ทางที่ไม่แจ่มใสนัก เนื่องจากต้องเผชิญการแข่งขันอย่างรุนแรงจากประเทศจีน จึงต้องเร่งที่จะปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เทียบเท่าหรือสูงกว่ามาตรฐานสากล ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินการเร่งปรับปรุงมาตรฐานของไทย โดยใช้แนวทางของ UN-ECE เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และคุ้มครองผู้บริโภคจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน
การนำเข้า การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ในช่วงครึ่งปีแรก 2549 มีมูลค่า 59,120.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 2548 ร้อยละ 5.59 สำหรับการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มี มูลค่า 3,680.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.93 และเมื่อพิจารณาไตรมาสที่สองของปี 2549 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ลดลงร้อยละ 9.94 การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.31 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกปี 2549 มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ลดลงร้อยละ 4.56 ส่วนการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.41 ซึ่งแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรก 2549 ได้แก่ ญี่ปุ่น และแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน และอินโดนีเชีย
ตารางการจำหน่ายยานยนต์ในประเทศ
หน่วย : คัน
ประเภทยานยนต์ ปี ปี ม.ค.-มิ.ย. ม.ค.-มิ.ย. % เปลี่ยนแปลง
2547 2548 2548 2549
รถยนต์ 625,978 703,410 345,902 334,776 -3.22
รถยนต์นั่ง 209,103 188,211 90,818 94,240 3.77
รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน (1) 358,476 426,635 209,595 205,840 -1.79
36,036 40,136 21,144 18,868 -10.76
รถยนต์ PPV และ SUV 22,363 48,428 24,345 15,828 -34.98
รถจักรยานยนต์ 2,033,766 2,108,078 1,038,253 1,127,116 8.56
ครอบครัว (2) 2,017,319 2,088,360 1,028,523 1,116,388 8.54
สปอร์ต 16,447 19,718 9,730 10,728 10.26
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รวบรวมจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ : 1 เป็นปริมาณการจำหน่ายรวมรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และ Double cap
2 เป็นปริมาณการจำหน่ายรวมรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว แบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต และแบบสกู๊ตเตอร์
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-