วันนี้ (16 ก.ย.49) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พรรคไม่ได้ให้ความสนใจต่อกรณีข่าวการเว้นวรรคทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องภายในพรรคไทยรักไทย และไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับประชาธิปัตย์ ซึ่งการที่รักษาการนายกรัฐมนตรีหยิบยกปัญหาทางการเมืองของตนเองไปเปลี่ยนเทียบกับปัญหาทางการเมืองสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นั้น นายชวน เห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นคนละกรณี และเป็นคนละเหตุการณ์กัน
ส่วนกรณีที่รักษาการนายกรัฐมนตรีมีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้จะมี กกต.ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ นายชวน เห็นว่า ต้องดูตามสถานการณ์ ซึ่งต้องยอมรับว่า แม้จะมี กกต.ใหม่อาจจะควบคุมการเลือกตั้งได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องการใช้อำนาจรัฐ และหน่วยงานราชการเป็นเครื่องมือ จึงอยากให้ กกต.ชุดใหม่ ประสานไปยังผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต่างๆ ไม่ให้ลูกน้องทำผิดกฎหมาย ตลอดจนเร่งรณรงค์ให้ประชาชนต่อต้านระบอบการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตด้วย
ขณะเดียวกัน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กระแสสังคมเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเว้นวรรคทางการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับให้สัมภาษณ์พาดพิง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า รู้สึกสงสารพรรคประชาธิปัตย์และอยากให้ไปทำเรื่องนโยบายมากกว่า ว่า การที่นายอภิสิทธิ์ พูดถึงเรื่องการเว้นวรรค เพราะมีคนในสังคมจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เว้นวรรค ฉะนั้น การพูดของนายอภสิทธิ์นั้นเป็นการพูดตามคำเรียกร้องของประชาชน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า เมื่อประชาชนเรียกร้องให้ผู้นำแสดงความชัดเจน นายอภิสิทธิ์จึงเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะที่เป็นผู้นำควรที่จะแสดงความชัดเจนให้ประชาชนทราบ แต่ปรากฎว่า พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาบิดเบือนว่า นายอภิสิทธิ์ไปเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณเว้นวรรค ทั้ง ๆที่ นายอภิสิทธิ์ ไม่เคยไปเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เว้นวรรค พ.ต.ท.ทักษิณจะเว้นวรรคหรือไม่เว้นวรรคเป็นสิทธิที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะตัดสินใจเอง
“สาเหตุหนึ่งที่ประชาชนเรียกร้องเพราะหลังการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณได้ประกาศว่าจะเว้นวรรคทางการเมือง ฉะนั้น การที่ประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เว้นวรรคถือเป็นเรื่องปกติ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเคยพูดไว้ พรรคประชาธิปัตย์เองก็ไม่เคยเรียกร้องถึงอนาคตทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว และว่า ตนไม่เข้าใจว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ พูดจาบิดเบือนในเรื่องนี้และพูดจาพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์
ต่อข้อถามที่ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความมั่นอกมั่นใจว่าการเลือกตั้งกี่ครั้ง ก็ชนะ รวมทั้งแกนนำพรรคไทยรักไทยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกหลังการเลือกตั้ง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนคิดว่า การเลือกตั้งจะแพ้ หรือ ชนะ เป็นเรื่องปกติทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรที่จะออกมาดูถูกประชาชน เพราะผลการเลือกตั้งยังไม่ออกมา ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า ประชาชนจะคิดหรือตัดสินใจในการเลือกตั้งอย่างไร
“อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าประชาชนเริ่มเข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆ มากขึ้นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างไร รวมทั้งบริวารแวดล้อมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำประโยชน์ให้กับประชาชนหรือทำประโยชน์ให้กับตัวเอง พวกพ้องและบริวารมากกว่ากัน” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า ตนคิดว่า การแพ้ชนะการเลือกตั้งส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคะแนนนิยมของประชาชนต่อพรรคการเมืองนั้นแต่หลายกรณีในอดีตพบว่าการแพ้ชนะเลือกตั้งนั้น ไม่ได้ขั้นอยู่กับคะแนนนิยมของพรรคการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว แต่การแพ้ชนะเลือกตั้งในอดีตหลายครั้งขึ้นอยู่กับการใช้อำนาจเงินเข้ามามีส่วนในการกำหนดผลการเลือกตั้ง รวมถึงการใช้อำนาจรัฐเข้ามากำหนดผลการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน
“โดยเฉพาะในยุคของรัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่าได้ใช้เงินงบประมาณของหลวง รวมทั้งสำนักงานกินแบ่งรัฐบาลมาเอื้อประโยชน์กับการเลือกตั้งไม่น้อยจะเห็นได้ว่าการโฆษณาแฝง การประชาสัมพันธ์แฝงของหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นของกระทรวง ทบวงกรม หรืองานของัฐวิสาหกิจหลายแห่งล้วนแล้วแต่ใช้เงินภาษีอากรของพประชาชนมาเพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่น้อย ดังนั้น การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเลือกตั้งอีกก็ชนะอีก พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ แน่นอน ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรที่จะพูดจาดูถูกประชาชน” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า ผลการเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องที่จะพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่างได้ขึ้นอยู่กับว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นสุจริตเที่ยงธรรมมากน้อยแค่ไหนมากกว่า
ต่อข้อถามว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดใจว่า คนที่แพ้การเลือกตั้งออกมากล่าวหาว่า คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดที่แล้วช่วยเหลือพรรคไทยรักไทยทำให้แพ้การเลือกตั้งนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนคิดว่า คำวิพากษ์วิจารณ์ว่า กกต.ชุดที่ผ่านมารัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ร่วมด้วยช่วยกันในการเลือกตั้งหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า ขณะที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการซื้อเสียงในการเลือกตั้งหรือหลายคนเรียกว่า ฝนห่าใหญ่
“ปรากฎว่า กกต.ชุดที่ผ่านมาไม่เคยที่จะดำเนินการกับคนที่ซื้อเสียงได้เลย ไม่เคยมีการให้ใบแดงกับคนที่ทุจริตการเลือกตั้ง ขณะที่รัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาลว่า ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใช้เงินในการซื้อเสียงค่อนข้างมาก แต่สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนคือ คำพิพากษาของศาลที่พิพิพากษาว่า กกต.ทั้ง 3 คน จัดการเลือกตั้งช่วยเหลือพรรคไทยรักไทย คำพิพากษาของศาลได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า กกต.ชุดที่แล้วจัดการเลือกตั้งได้อย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรมหรือไม่” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ฉะนั้น วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า กกต.ชุดที่แล้วไม่ได้เข้าข้างรัฐบาล มิฉะนั้น ศาลจะตัดสินให้ กกต.ชุดที่แล้วติดคุกเพราะช่วยเหลือพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งหรือไม่ ตนคิดว่า การที่พรรคจะแพ้การเลือกตั้งหรือไม่นั้น สิ่งที่พรรคต้องการก็คือ ขอให้การแก้หรือชนะการเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม ไม่มีการร่วมด้วยช่วยกันของกรรมการเหมือนอย่างที่ผ่านมา
ต่อข้อถามว่า การที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทยออกมาท้าทายให้ นายอภสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ลาออกหากแพ้การเลือกตั้งที่กำลังจะถึงนี้ว่า พรรคไทยรักไทยไม่ต้องห่วงพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้งไม่ต้องมาวิตกกังวลถึงการตัดสินใจทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ มาตลอด 5 — 6 ปี มีหลายกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรทำแต่กลับทำ แต่หลายเรื่องที่ควรจะท็ไม่ทำ
“ฉะนั้น ผมคิดว่า ก่อนที่จะมาเรียกร้องหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทยควรจะเรียกร้องให้หัวหน้าพรรคของตัวเองว่า ควรจะรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เช่น การเอาทรราชย์ไปเปรียบเทียบกับรัฐบุรุษ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล้าที่จะเปรียบเทียบสถานการณ์ทางการเมืองช่วงนี้เชื่อมโยงกับการปกครองประเทศของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี สมัยที่ พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี ตนคิดว่า คำเปรียบเปรยคำเปรียบเทียบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ ไม่ทราบว่ายกมาเปรียบเปรยได้อย่างไร ตนคิดว่าการทำหน้าที่ของ พล.อ.เปรม กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อย่ายกตัวไปเทียบชั้นกับ พล.อ.เปรมจะดีกว่า ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สมัย พล.อ.เปรมเป็นนายกฯ สังคมมีความแตกต่างทางความคิดเห็นทางการเมืองอย่างมาก นิสิต นักศึกษา และนักวิชาการจำนวนมากหลบหนีเข้ามาจับอาวุธต่อสู้กับอำนาจรัฐ แต่ พล.อ.เปรม มีผลงานสำคัญคือ การออกนโยบาย 66/23 ให้คนที่เข้ามาจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยทำให้ช่วยแก้ไขปัญหาความแตกยากทางความคิดในสังคมได้มาก”โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า แต่ในยุคสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณในขณะนี้สังคมมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทำให้สังคมเกิดความแตกแยก แบ่งข้าง ถึงขึ้นรุมทำร้ายกัน ความคิดเห็นของคนในสังคมแตกแยกไปทุกหย่อมหญ้า โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณทำหน้าที่นายกฯ อยู่ กลับปล่อยปะละเลยไม่ทำให้สังคมไทยสงบสุขแต่อย่างใดซึ่งแตกต่างจาก พล.อ.เปรมโดยสิ้นเชิง
“อีกประการหนึ่งก็คือ ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในยุค พล.อ.เปรม ก็ไม่เหมือนกับยุคปัจจุบัน แต่ปัจจุบันความรุนแรงกลับเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีท่าทีสงบสุข ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรที่จะนำการเป็นนายกฯของ พ.ต.ท.ทักษิณไปเปรียเทียบกับ พล.อ.เปรม และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า สื่อในยุค พล.อ.เปรมนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์ไม่ต่างจากยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ผมอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับไปดูคำวิพากษ์วิจารณ์ในขณะนั้น สื่อยุคนั้นวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.เปรม ว่าอยู่นานได้ 8 ปี แต่ไมได้วิจารณ์ว่าทุจริตคอรัปชั่นแต่อย่างใด” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า แต่ถ้าดูการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อปัจจุบันเกี่ยวกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จะเห็นได้ชัดเจนว่า เรื่องสำคัญใหญ่ ๆ คงหนีไม่พ้นการทุจริต ผลประโยชน์ทับซ้อน การโกงกิน บางสื่อใช้คำว่า โคตรโกง บางสื่อใช้ควำว่า รวยทั้งโคตรอย่างนี้ เป็นต้น
ทั้งนี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ฝากคำถามถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำหลายคนในรัฐบาลว่า ตนไม่เชื่อว่าการที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเปรียบเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณในขณะนี้ เพื่อลดความน่าเชื่อถือของ พล.อ.เปรมซึ่งลังเป็นที่พึ่งของคนในชาติใช่หรือไม่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 16 ก.ย. 2549--จบ--
ส่วนกรณีที่รักษาการนายกรัฐมนตรีมีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้จะมี กกต.ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ นายชวน เห็นว่า ต้องดูตามสถานการณ์ ซึ่งต้องยอมรับว่า แม้จะมี กกต.ใหม่อาจจะควบคุมการเลือกตั้งได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องการใช้อำนาจรัฐ และหน่วยงานราชการเป็นเครื่องมือ จึงอยากให้ กกต.ชุดใหม่ ประสานไปยังผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต่างๆ ไม่ให้ลูกน้องทำผิดกฎหมาย ตลอดจนเร่งรณรงค์ให้ประชาชนต่อต้านระบอบการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตด้วย
ขณะเดียวกัน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กระแสสังคมเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเว้นวรรคทางการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับให้สัมภาษณ์พาดพิง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า รู้สึกสงสารพรรคประชาธิปัตย์และอยากให้ไปทำเรื่องนโยบายมากกว่า ว่า การที่นายอภิสิทธิ์ พูดถึงเรื่องการเว้นวรรค เพราะมีคนในสังคมจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เว้นวรรค ฉะนั้น การพูดของนายอภสิทธิ์นั้นเป็นการพูดตามคำเรียกร้องของประชาชน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า เมื่อประชาชนเรียกร้องให้ผู้นำแสดงความชัดเจน นายอภิสิทธิ์จึงเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะที่เป็นผู้นำควรที่จะแสดงความชัดเจนให้ประชาชนทราบ แต่ปรากฎว่า พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาบิดเบือนว่า นายอภิสิทธิ์ไปเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณเว้นวรรค ทั้ง ๆที่ นายอภิสิทธิ์ ไม่เคยไปเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เว้นวรรค พ.ต.ท.ทักษิณจะเว้นวรรคหรือไม่เว้นวรรคเป็นสิทธิที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะตัดสินใจเอง
“สาเหตุหนึ่งที่ประชาชนเรียกร้องเพราะหลังการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณได้ประกาศว่าจะเว้นวรรคทางการเมือง ฉะนั้น การที่ประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เว้นวรรคถือเป็นเรื่องปกติ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเคยพูดไว้ พรรคประชาธิปัตย์เองก็ไม่เคยเรียกร้องถึงอนาคตทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว และว่า ตนไม่เข้าใจว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ พูดจาบิดเบือนในเรื่องนี้และพูดจาพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์
ต่อข้อถามที่ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความมั่นอกมั่นใจว่าการเลือกตั้งกี่ครั้ง ก็ชนะ รวมทั้งแกนนำพรรคไทยรักไทยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกหลังการเลือกตั้ง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนคิดว่า การเลือกตั้งจะแพ้ หรือ ชนะ เป็นเรื่องปกติทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรที่จะออกมาดูถูกประชาชน เพราะผลการเลือกตั้งยังไม่ออกมา ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า ประชาชนจะคิดหรือตัดสินใจในการเลือกตั้งอย่างไร
“อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าประชาชนเริ่มเข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆ มากขึ้นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างไร รวมทั้งบริวารแวดล้อมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำประโยชน์ให้กับประชาชนหรือทำประโยชน์ให้กับตัวเอง พวกพ้องและบริวารมากกว่ากัน” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า ตนคิดว่า การแพ้ชนะการเลือกตั้งส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคะแนนนิยมของประชาชนต่อพรรคการเมืองนั้นแต่หลายกรณีในอดีตพบว่าการแพ้ชนะเลือกตั้งนั้น ไม่ได้ขั้นอยู่กับคะแนนนิยมของพรรคการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว แต่การแพ้ชนะเลือกตั้งในอดีตหลายครั้งขึ้นอยู่กับการใช้อำนาจเงินเข้ามามีส่วนในการกำหนดผลการเลือกตั้ง รวมถึงการใช้อำนาจรัฐเข้ามากำหนดผลการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน
“โดยเฉพาะในยุคของรัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่าได้ใช้เงินงบประมาณของหลวง รวมทั้งสำนักงานกินแบ่งรัฐบาลมาเอื้อประโยชน์กับการเลือกตั้งไม่น้อยจะเห็นได้ว่าการโฆษณาแฝง การประชาสัมพันธ์แฝงของหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นของกระทรวง ทบวงกรม หรืองานของัฐวิสาหกิจหลายแห่งล้วนแล้วแต่ใช้เงินภาษีอากรของพประชาชนมาเพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่น้อย ดังนั้น การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเลือกตั้งอีกก็ชนะอีก พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ แน่นอน ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรที่จะพูดจาดูถูกประชาชน” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า ผลการเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องที่จะพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่างได้ขึ้นอยู่กับว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นสุจริตเที่ยงธรรมมากน้อยแค่ไหนมากกว่า
ต่อข้อถามว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดใจว่า คนที่แพ้การเลือกตั้งออกมากล่าวหาว่า คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดที่แล้วช่วยเหลือพรรคไทยรักไทยทำให้แพ้การเลือกตั้งนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนคิดว่า คำวิพากษ์วิจารณ์ว่า กกต.ชุดที่ผ่านมารัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ร่วมด้วยช่วยกันในการเลือกตั้งหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า ขณะที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการซื้อเสียงในการเลือกตั้งหรือหลายคนเรียกว่า ฝนห่าใหญ่
“ปรากฎว่า กกต.ชุดที่ผ่านมาไม่เคยที่จะดำเนินการกับคนที่ซื้อเสียงได้เลย ไม่เคยมีการให้ใบแดงกับคนที่ทุจริตการเลือกตั้ง ขณะที่รัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาลว่า ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใช้เงินในการซื้อเสียงค่อนข้างมาก แต่สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนคือ คำพิพากษาของศาลที่พิพิพากษาว่า กกต.ทั้ง 3 คน จัดการเลือกตั้งช่วยเหลือพรรคไทยรักไทย คำพิพากษาของศาลได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า กกต.ชุดที่แล้วจัดการเลือกตั้งได้อย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรมหรือไม่” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ฉะนั้น วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า กกต.ชุดที่แล้วไม่ได้เข้าข้างรัฐบาล มิฉะนั้น ศาลจะตัดสินให้ กกต.ชุดที่แล้วติดคุกเพราะช่วยเหลือพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งหรือไม่ ตนคิดว่า การที่พรรคจะแพ้การเลือกตั้งหรือไม่นั้น สิ่งที่พรรคต้องการก็คือ ขอให้การแก้หรือชนะการเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม ไม่มีการร่วมด้วยช่วยกันของกรรมการเหมือนอย่างที่ผ่านมา
ต่อข้อถามว่า การที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทยออกมาท้าทายให้ นายอภสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ลาออกหากแพ้การเลือกตั้งที่กำลังจะถึงนี้ว่า พรรคไทยรักไทยไม่ต้องห่วงพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้งไม่ต้องมาวิตกกังวลถึงการตัดสินใจทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ มาตลอด 5 — 6 ปี มีหลายกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรทำแต่กลับทำ แต่หลายเรื่องที่ควรจะท็ไม่ทำ
“ฉะนั้น ผมคิดว่า ก่อนที่จะมาเรียกร้องหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทยควรจะเรียกร้องให้หัวหน้าพรรคของตัวเองว่า ควรจะรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เช่น การเอาทรราชย์ไปเปรียบเทียบกับรัฐบุรุษ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล้าที่จะเปรียบเทียบสถานการณ์ทางการเมืองช่วงนี้เชื่อมโยงกับการปกครองประเทศของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี สมัยที่ พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี ตนคิดว่า คำเปรียบเปรยคำเปรียบเทียบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ ไม่ทราบว่ายกมาเปรียบเปรยได้อย่างไร ตนคิดว่าการทำหน้าที่ของ พล.อ.เปรม กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อย่ายกตัวไปเทียบชั้นกับ พล.อ.เปรมจะดีกว่า ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สมัย พล.อ.เปรมเป็นนายกฯ สังคมมีความแตกต่างทางความคิดเห็นทางการเมืองอย่างมาก นิสิต นักศึกษา และนักวิชาการจำนวนมากหลบหนีเข้ามาจับอาวุธต่อสู้กับอำนาจรัฐ แต่ พล.อ.เปรม มีผลงานสำคัญคือ การออกนโยบาย 66/23 ให้คนที่เข้ามาจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยทำให้ช่วยแก้ไขปัญหาความแตกยากทางความคิดในสังคมได้มาก”โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า แต่ในยุคสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณในขณะนี้สังคมมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทำให้สังคมเกิดความแตกแยก แบ่งข้าง ถึงขึ้นรุมทำร้ายกัน ความคิดเห็นของคนในสังคมแตกแยกไปทุกหย่อมหญ้า โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณทำหน้าที่นายกฯ อยู่ กลับปล่อยปะละเลยไม่ทำให้สังคมไทยสงบสุขแต่อย่างใดซึ่งแตกต่างจาก พล.อ.เปรมโดยสิ้นเชิง
“อีกประการหนึ่งก็คือ ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในยุค พล.อ.เปรม ก็ไม่เหมือนกับยุคปัจจุบัน แต่ปัจจุบันความรุนแรงกลับเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีท่าทีสงบสุข ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรที่จะนำการเป็นนายกฯของ พ.ต.ท.ทักษิณไปเปรียเทียบกับ พล.อ.เปรม และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า สื่อในยุค พล.อ.เปรมนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์ไม่ต่างจากยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ผมอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับไปดูคำวิพากษ์วิจารณ์ในขณะนั้น สื่อยุคนั้นวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.เปรม ว่าอยู่นานได้ 8 ปี แต่ไมได้วิจารณ์ว่าทุจริตคอรัปชั่นแต่อย่างใด” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า แต่ถ้าดูการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อปัจจุบันเกี่ยวกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จะเห็นได้ชัดเจนว่า เรื่องสำคัญใหญ่ ๆ คงหนีไม่พ้นการทุจริต ผลประโยชน์ทับซ้อน การโกงกิน บางสื่อใช้คำว่า โคตรโกง บางสื่อใช้ควำว่า รวยทั้งโคตรอย่างนี้ เป็นต้น
ทั้งนี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ฝากคำถามถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำหลายคนในรัฐบาลว่า ตนไม่เชื่อว่าการที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเปรียบเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณในขณะนี้ เพื่อลดความน่าเชื่อถือของ พล.อ.เปรมซึ่งลังเป็นที่พึ่งของคนในชาติใช่หรือไม่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 16 ก.ย. 2549--จบ--