ยุโรป นับเป็นตลาดหนึ่งที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเป็นตลาดหลักที่มีมูลค่าการนำเข้าจากประเทศไทยหลายหมื่นล้านบาทในแต่ละปี โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ ฝรั่งเศสเยอรมัน สหราชอาณาจักร อิตาลี สาธารณรัฐฮังการี และสาธารณรัฐเชก การที่สินค้าไทยจะมีโอกาสเข้าสู่ตลาดยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ผู้ผลิตของไทยจะต้องมีการนำกลยุทธ์ด้านการตลาดใหม่ ๆ มาใช้เพื่อให้เข้าถึงผู้ซื้อหรือผู้บริโภคในตลาดยุโรปมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการพัฒนาคุณภาพรูปแบบสินค้าใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอยู่เสมอ ดังนั้นการออกแบบสินค้าจึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้สินค้าสามารถจำหน่ายได้ในตลาดยุโรป และยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อต้นทุนและการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าถึงร้อยละ 85 ในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือออกแบบสินค้านี้ ได้มีผู้เชี่ยวชาญ จากสถาบันการออกแบบชั้นนำของยุโรปหลายประเทศ ทั้งประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศสและอิตาลี ได้ให้ข้อคิดเห็น หลักการ และแนวโน้มการออกแบบสินค้าตามความต้องการของตลาดยุโรป ซึ่งผู้ผลิตของไทยสามารถเรียนรู้และนำมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบสินค้า โดยสรุปหลักสำคัญ ดังนี้
1. การออกแบบต้องมีความยืดหยุ่นอยู่ในตัว (Flexibility) ต้องปรับตัวให้มีความยืดหยุ่นเพื่อตอบรับเทคโนโลยี และความต้องการที่เปลี่ยนไปมาของลูกค้า เพื่อเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และทำให้เกิดแบรนด์ (Brand) ด้วยการเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่างจากคนอื่น
2. การออกแบบควรมีการสื่อสารที่ดีกับผู้ใช้ เพื่อช่วยให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นมีพลัง และดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อท่ามกลางสินค้าคู่แข่งที่มีอยู่มากมาย ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เช่น รูปทรงที่สื่อสารถึงหน้าที่และประโยชน์ใช้สอยของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ทั้งนี้ การออกแบบต้องตอบสนองปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น การผลิต ตลอดจนวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้ซื้อ เป็นต้น
3. การออกแบบควรคำนึงความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีเอกลักษณ์ และสามารถใช้งานได้จริงในยุคปัจจุบัน การรวมกันของวัฒนธรรมที่ต่างกันไม่จำเป็นต้องก่อให้เกิดความขัดแย้งเสมอไป แต่ยังคงก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย
4. การออกแบบเพื่อให้เกิดความหมายทางจิตใจ (Spiritualism) สามารถทำได้โดยนำสัญลักษณ์บางอย่างของชีวิตประจำวันหรือผลิตภัณฑ์ในอดีตมาผสมผสานกันในปัจจุบัน เป็นการออกแบบโดยการนำของที่มีอยู่แล้วในอดีตมาเปลี่ยนแปลงรูปทรงให้เหมาะกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น พรมปูพื้นแบบพื้นเมืองที่มีอยู่ดั้งเดิม สามารถนำไปประดับตกแต่งเป็นที่ประดับผนัง เปลี่ยนแปลงรูปทรง สีสัน เพื่อให้กับยุคและสมัยนิยม
5. การออกแบบผลิตภัณฑ์โดยมีแนวความคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานธรรมชาติน้อยที่สุด หรือออกแบบให้ผลิตสิ่งที่เป็นขยะน้อยที่สุด
6. การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดูแล้วจะช่วยลดความวุ่นวายและเคร่งเครียด ความตลกขบขันจะเป็นจุดขายที่ดีในตัวผลิตภัณฑ์ ความตลกขบขันในผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการออกแบบที่มีหน้าที่ประโยชน์ใช้สอยมากมาย แต่ผลิตภัณฑ์จะต้องมีการสื่อสารที่ดี และมีความเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้ใช้ โดยอาจนำเทคนิคการผลิตหรือแนวทางออกแบบต่าง ๆ มาผสมผสานกัน ตัวอย่างเช่น ไม้กวาด จะทำอย่างไรให้ดูน่าใช้ ซึ่งการออกแบบในแนวทางนี้ เป็นการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า อย่างไรก็ดี การนำความตลกขบขันมาใช้ในการออกแบบก็อาจเป็นผลเสียได้ คือ เมื่อตลกมากเกินไปจะทำให้ผู้ซื้อรู้สึกเบื่อได้เช่นกัน
7. การออกแบบที่ใช้ความมีชื่อเสียงของบุคคลเป็นสิ่งล่อใจ ผลงานการออกแบบของนักออกแบบที่มีชื่อเสียง จะสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้ดี แม้ราคาของผลิตภัณฑ์จะมีราคาสูงก็ตาม
8. การออกแบบที่ต้องสังเกตความเคลื่อนไหวของแฟชั่น เพื่อค้นหาแนวโน้มของผลิตภัณฑ์ และควรคำนึงถึงการนำแนวโน้มที่ได้จากแฟชั่นไปใช้กับสภาวะแวดล้อมของผู้ใช้ด้วย เพราะบางครั้ง รูปแบบผลิตภัณฑ์อาจใหม่เกินไปจนไม่สามารถเชื่อมโยงกับการรับรู้หรือความเข้าใจของผู้ซื้อได้ หรืออาจไม่เข้ากับการนำไปใช้ประโยชน์ของผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม
9. การออกแบบผลิตภัณฑ์หรือสินค้า ที่ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายวัตถุประสงค์ และควรต้องมีความเรียบง่ายอยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี ยุคที่มีการออกแบบตามแนวความคิดการใช้หลายวัตถุประสงค์มากนั้น ทำให้ผู้ซื้อเริ่มเบื่อ และอยากได้ผลิตภัณฑ์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของตน จึงเกิดแนวความคิดของการนำงานลักษณะของงานหัตถกรรมมาผสมผสาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว และยังทำให้ผลิตภัณฑ์มีความยืดหยุ่นต่อรสนิยมส่วนตัวของกลุ่มเป้าหมายด้วย การผลิตซึ่งเป็นงานกึ่งหัตถกรรม ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากในยุโรปในการออกแบบในลักษณะนี้ เพื่อให้เป็นของที่มีชิ้นเดียว มีคุณค่า การออกแบบสิ่งใดให้แตกต่างไปจากเดิม การตกแต่งแต่เพียงเล็กน้อยหรือเพียงแค่ลายเส้นสี ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีความแปลกใหม่ ดังนั้น สีจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่สำคัญอันหนึ่งของการออกแบบ นอกจากนี้ การนำรูปกราฟฟิกหน้าคนมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เริ่มได้รับความนิยม อีกครั้ง เนื่องจากสามารถตอบรับความต้องการและรสนิยมของกลุ่มเป้าหมายย่อย ๆ ในตลาดได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : 0 2367 8365
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
1. การออกแบบต้องมีความยืดหยุ่นอยู่ในตัว (Flexibility) ต้องปรับตัวให้มีความยืดหยุ่นเพื่อตอบรับเทคโนโลยี และความต้องการที่เปลี่ยนไปมาของลูกค้า เพื่อเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และทำให้เกิดแบรนด์ (Brand) ด้วยการเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่างจากคนอื่น
2. การออกแบบควรมีการสื่อสารที่ดีกับผู้ใช้ เพื่อช่วยให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นมีพลัง และดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อท่ามกลางสินค้าคู่แข่งที่มีอยู่มากมาย ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เช่น รูปทรงที่สื่อสารถึงหน้าที่และประโยชน์ใช้สอยของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ทั้งนี้ การออกแบบต้องตอบสนองปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น การผลิต ตลอดจนวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้ซื้อ เป็นต้น
3. การออกแบบควรคำนึงความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีเอกลักษณ์ และสามารถใช้งานได้จริงในยุคปัจจุบัน การรวมกันของวัฒนธรรมที่ต่างกันไม่จำเป็นต้องก่อให้เกิดความขัดแย้งเสมอไป แต่ยังคงก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย
4. การออกแบบเพื่อให้เกิดความหมายทางจิตใจ (Spiritualism) สามารถทำได้โดยนำสัญลักษณ์บางอย่างของชีวิตประจำวันหรือผลิตภัณฑ์ในอดีตมาผสมผสานกันในปัจจุบัน เป็นการออกแบบโดยการนำของที่มีอยู่แล้วในอดีตมาเปลี่ยนแปลงรูปทรงให้เหมาะกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น พรมปูพื้นแบบพื้นเมืองที่มีอยู่ดั้งเดิม สามารถนำไปประดับตกแต่งเป็นที่ประดับผนัง เปลี่ยนแปลงรูปทรง สีสัน เพื่อให้กับยุคและสมัยนิยม
5. การออกแบบผลิตภัณฑ์โดยมีแนวความคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานธรรมชาติน้อยที่สุด หรือออกแบบให้ผลิตสิ่งที่เป็นขยะน้อยที่สุด
6. การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดูแล้วจะช่วยลดความวุ่นวายและเคร่งเครียด ความตลกขบขันจะเป็นจุดขายที่ดีในตัวผลิตภัณฑ์ ความตลกขบขันในผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการออกแบบที่มีหน้าที่ประโยชน์ใช้สอยมากมาย แต่ผลิตภัณฑ์จะต้องมีการสื่อสารที่ดี และมีความเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้ใช้ โดยอาจนำเทคนิคการผลิตหรือแนวทางออกแบบต่าง ๆ มาผสมผสานกัน ตัวอย่างเช่น ไม้กวาด จะทำอย่างไรให้ดูน่าใช้ ซึ่งการออกแบบในแนวทางนี้ เป็นการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า อย่างไรก็ดี การนำความตลกขบขันมาใช้ในการออกแบบก็อาจเป็นผลเสียได้ คือ เมื่อตลกมากเกินไปจะทำให้ผู้ซื้อรู้สึกเบื่อได้เช่นกัน
7. การออกแบบที่ใช้ความมีชื่อเสียงของบุคคลเป็นสิ่งล่อใจ ผลงานการออกแบบของนักออกแบบที่มีชื่อเสียง จะสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้ดี แม้ราคาของผลิตภัณฑ์จะมีราคาสูงก็ตาม
8. การออกแบบที่ต้องสังเกตความเคลื่อนไหวของแฟชั่น เพื่อค้นหาแนวโน้มของผลิตภัณฑ์ และควรคำนึงถึงการนำแนวโน้มที่ได้จากแฟชั่นไปใช้กับสภาวะแวดล้อมของผู้ใช้ด้วย เพราะบางครั้ง รูปแบบผลิตภัณฑ์อาจใหม่เกินไปจนไม่สามารถเชื่อมโยงกับการรับรู้หรือความเข้าใจของผู้ซื้อได้ หรืออาจไม่เข้ากับการนำไปใช้ประโยชน์ของผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม
9. การออกแบบผลิตภัณฑ์หรือสินค้า ที่ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายวัตถุประสงค์ และควรต้องมีความเรียบง่ายอยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี ยุคที่มีการออกแบบตามแนวความคิดการใช้หลายวัตถุประสงค์มากนั้น ทำให้ผู้ซื้อเริ่มเบื่อ และอยากได้ผลิตภัณฑ์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของตน จึงเกิดแนวความคิดของการนำงานลักษณะของงานหัตถกรรมมาผสมผสาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว และยังทำให้ผลิตภัณฑ์มีความยืดหยุ่นต่อรสนิยมส่วนตัวของกลุ่มเป้าหมายด้วย การผลิตซึ่งเป็นงานกึ่งหัตถกรรม ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากในยุโรปในการออกแบบในลักษณะนี้ เพื่อให้เป็นของที่มีชิ้นเดียว มีคุณค่า การออกแบบสิ่งใดให้แตกต่างไปจากเดิม การตกแต่งแต่เพียงเล็กน้อยหรือเพียงแค่ลายเส้นสี ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีความแปลกใหม่ ดังนั้น สีจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่สำคัญอันหนึ่งของการออกแบบ นอกจากนี้ การนำรูปกราฟฟิกหน้าคนมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เริ่มได้รับความนิยม อีกครั้ง เนื่องจากสามารถตอบรับความต้องการและรสนิยมของกลุ่มเป้าหมายย่อย ๆ ในตลาดได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : 0 2367 8365
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-