วันนี้ (23 กรกฎาคม 2549) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงความพร้อมของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคมที่จะถึงนี้ นายองอาจ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้เรียกประชุมอดีต ส.ส. แต่ได้ให้คณะทำงานชุดต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายไป เช่น คณะทำงานที่สรรหาบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้ง คณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการการเมืองก็ไปเตรียมการในเรื่องของการลงพื้นที่ เป็นต้น คณะทำงานในช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงการทำงานตามคำสั่งตามภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้ได้เตรียมการด้านของบุคลากร และถือได้ว่ามีความพร้อมเต็มที่ พร้อมที่จะไปสมัครรับเลือกตั้งได้ทันทีที่มีการกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งทันทีที่กฤษฎีกามีผลชัดเจนหลังจากวันที่ 24 สิงหาคม โดยมีความพร้อมทั้งผู้สมัครบัญชีรายชื่อ และผู้สมัครเขตเลือกตั้ง
ส่วนด้านนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่า วาระประชาชนนั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสรุปหลังจากที่ได้เนื้อหาสาระจากพี่น้องประชาชน โดยจะทำการสรุปให้เป็นวาระที่สามารถจับต้องได้ สามารถที่จะให้การสนับสนุนได้และจะนำเสนอในทันทีหลังจากที่มีกฤษฎีกาเลือกตั้งมีผลบังคับใช้หลังวันที่ 24 สิงหาคม
เกี่ยวกับกรณีที่รัฐบาลรักษาการใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการในช่วงนี้จนโดนกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงของรัฐบาลรักษาการและก็ได้มีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจนแล้วในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นรัฐบาลรักษาการก็ไม่ควรที่จะใช้วิธีการเอารัดเอาเปรียบฉวยโอกาสหรือแต่งตั้งโยกย้ายหรือแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
โฆษกพรรค ปชป.กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลควรใช้วิธีการแต่งตั้งรักษาการในตำแหน่งใดก็ตามหรืออาจจะเกษียณอายุหรือหมดวาระในการดำรงตำแหน่งนั้นๆ โดยไม่ต้องเป็นห่วงว่าถ้าไม่แต่งตั้งโยกย้ายขณะนี้แล้วงานของราชการจะหยุดชะงักเพราะการแต่งตั้งรักษาการจะไม่ทำให้งานของราชการนั้นมีปัญหาแต่อย่างใด เหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า พระราชบัญญัติระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ผู้ที่รักษาการนั้นสามารถบริหารงานได้ตามอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ ไม่มีอะไรที่จะไปเป็นปัญหาหรือเป็นอุปสรรคในการบริหารงานแต่อย่างใด
“ผมคิดว่ารัฐบาลรักษาการควรจะรอให้รัฐบาลชุดใหม่มาแต่งตั้งข้าราชการชุดใหม่แต่งตั้งข้าราชการระดับสูงน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่าที่จะเร่งรัดแต่งตั้งในขณะนี้ โดยเฉพาะการที่มีการสั่งการให้ส่งรายชื่อข้าราชการระดับสูงเข้ามาพิจารณาก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ให้เห็นว่ารัฐบาลรักษาการนี้พยายามยามที่จะเอารัดเอาเปรียบในทางการเมืองในการแต่งตั้งข้าราชการซึ่งแน่นอนที่สุดข้าราชการระดับสูงหลายท่านอยู่ในตำแหน่งที่สามารถให้คุณให้โทษในการเลือกตั้งได้ซึ่งจะก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้พูดพาดพิงฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลด้วยวาจาที่ไม่เหมาะสมผ่านรายการนายกฯ คุยกับประชาชนในหลายเรื่องหลายประเด็นเมื่อวานนี้ (22 กรกฎาคม 2549) นายองอาจกล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นของท่านนายกฯเมื่อวานนี้ได้ชี้ให้เห็นค่อนข้างชัดเจนถึงพฤติกรรมของท่านนายกฯ เราก็ทราบกันดีว่าท่านนายกฯนั้นพยายามทุกวิถีทางที่จะพยายามรักษาอำนาจของตัวเองให้อยู่ยาวนานต่อไป เพราะเมื่อใดก็ตามที่ท่านายกฯมีความรู้สึกว่าจะเกิดความได้เปรียบทางการเมืองท่านนายกฯก็จะมีพฤติกรรมในการพูดจาให้ร้ายบุคคลอื่นหรือคณะบุคคลอื่นหรือในกรณีก็จะใช้วิธีการพูดจาดูหมิ่นดูแคลนบุคคลในทางการเมือง
“ผมคิดว่าวิธีการของท่านนายกฯจะเป็นในลักษณะนี้ตลอด แต่เมื่อใดก็ตามที่ท่านนายกฯรู้สึกว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ำในทางการเมืองท่านนายกฯก็พยายามที่จะสร้างประเด็นใหม่สร้างเรื่องใหม่ขึ้นมากลบเกลื่อนช่วงเวลาที่ตนเองเพลี่ยงพล้ำอยู่ตลอดเวลาเพราะฉะนั้นพฤติกรรมของท่านานนายกฯในลักษณะนี้เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหาในความพยายามที่จะหาทางออกให้กับประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ถ้าหากท่านนายกฯต้องการหาทางออกให้กับประเทศชาติบ้านเมืองท่านนายกฯก็จะต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของท่านอย่าใช้วิธีการดูหมิ่นเหยียดหยามบุคคลหรืออย่าใช้วิธีการใหร้ายบุคคลหรือคณะบุคคลอื่นๆซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนเนื้อหาสาระที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวพาดพิงฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจเปิดเผยว่า ท่านบอกว่าส่วนของพรรค ปชป.ผู้ประสบความสำเร็จกับผู้ที่จะประสบความสำเร็จโดยท่านใช้ภาษาอังกฤษว่า Predecessor ส่วนผู้ประสบความสำเร็จท่านใช้คำว่า Successor ถึงพรรค ปชป.ท่านที่เคยประสบความสำเร็จคือนายชวน หลีกภัย (ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) แต่ผู้จะประสบความสำเร็จของพรรค ปชป.นั้นยังไม่รู้จะเป็นใคร แน่นอนที่สุด ผู้ประสบความสำเร็จในนามของพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญและจะประสบความสำเร็จนั้นหรือไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ผมคิดว่าเรื่องที่สำคัญกว่าตัวบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ก็ตามนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าตัวบุคคลในพรรคก็คือ ให้ประเทศชาติประสบความสำเร็จและก็ขอให้ประชาชนได้ประโยชน์สิ่งเหล่านั้นอาจจะกล่าวได้ว่าถือว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดมากกว่าบุคคลใดหรือบุคคลหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียวเพราะฉะนั้นไม่อยากให้ท่านนายกฯ ดูหมิ่นดูแคลนบุคคลอื่นหรือพยายามยัดเยียดให้บุคคลอื่นจะมีลักษณะความคิดเหมือนกับท่านที่มุ่งหาความสำเร็จในเรื่องของตัวบุคคลในเรื่องของส่วนตัวมากกว่าเรื่องของส่วนรวมเพราะพรรคประชาธิปัตย์นั้นคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมมากกว่าที่จะคำนึงถึงความสำเร็จส่วนตัวของผู้นำพรรคหรือคนใดคนหนึ่งในพรรคเท่านั้น”โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ต่อกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดราวาศอกกัน มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและมีความขัดแย้งในสังคมมากไปแล้วนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจน ท่านนายกฯนั้น เราอยากให้ท่านนายกฯกลับไปทบทวนพฤติกรรมของท่านเองในช่วงที่ผ่านมา ถ้าท่านลองนึกไปทบทวนดูท่านจะเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านในฐานะผู้นำประเทศ ในฐานะผู้บริหารประเทศซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการที่จะทำให้ประเทศชาติอยู่ในความสงบประชาชนมีความสุขอยู่ดีกินดี มความสะดวกปลอดภัยในการใช้ชีวิต แต่ปรากฎว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้น เราพบความจริงว่าท่านนายกฯในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศมีหน้าที่ในการบริหารประเทศนั้นท่านกลับพยายามสร้างเงื่อนไขในการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย สร้างความขัดแย้งให้กับสังคมอยู่ตลอดเวลา
“ยกตัวอย่างเช่นการพูดต่อหน้าข้าราชการระดับสูงโดยพาดพิงถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ มีการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญในการก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ก่อให้เกิดวิกฤติขึ้นในประเทศไทยคำพูดของท่านนั้นส่งผลกระเทือนต่อเนื่องมาถึงความครุกรุ่นในกองทัพและส่งผลสะเทือนมาถึงพี่น้องประชาชนกลุ่มอื่นๆโดยรวมด้วยว่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่ท่านหมายถึงนั้นคือใครอย่างไรเป็นการพูดที่จาบจ้วงละเมิดละลาบละล้วงไปถึงบุคคลสำคัญภายในประเทศหรือไม่อย่างไร สิ่งเหล่านี้ส่วนแสดงออกให้เห็นถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมทั้งสิ้น” นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรค ปชป.กล่าวต่อไปอีกว่า แทนที่ท่านนายกฯจะไปเรียกร้องหรือจะไปพูดบอกให้คนอื่นเขาลดราวาศอกหรือว่าแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่หมีความขัดแย้งในสังคมมากไปกว่านั้นท่านนายกฯควรที่จะบอกตัวท่านเองก่อนให้ยุติพฤติกรรมในการก่อให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายหรือก่อความขัดแย้งขึ้นในสังคม ท่านนายกฯเองเป็นแบบอย่างของการไม่ลดราวาศอกให้กับคนอื่นๆในสังคม
“พวกเราบางทีอาจยังไม่ทราบว่า ขณะที่ท่านนายกฯพูดถึงคำว่าสมานฉันท์พูดถึงความสามัคคีพูดถึงคำว่าให้อภัยในช่วงที่เรามีงานสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครองราชย์ 60 ปีนั้น ท่านนายกฯก็ให้ทนายความไปแจ้งความดำเนินคดีกับคนของพรรคฝ่ายค้านกับนักวิชาการเช่น นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ อ.ธีรยุทธ บุญมี ไปแจ้งความดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งไปฟ้องร้องต่อศาลกับคนของพรรคฝ่ายค้านเรียกค่าเสียหายถึง 800 ล้านบาทบ้าง 1,000 ล้านบาทบ้างในหลายคดีความเพราะฉะนั้นผมคิดว่าการกระทำของท่านายกฯถึงแม้ว่าจะเป็นสิทธิตามกฎหมายที่จะดำเนินการได้นั้น แต่ในฐานะผู้นำประเทศถ้าท่านคิดว่าควรที่จะลดราวาศอกกันนั้น ผมคิดว่านายกฯควรที่จะทำตัวให้เป็นแบบอย่างในการไม่ไปค้าความเพิ่มเติมมากขึ้น และผมเชื่อว่าถ้าท่านนายกฯทำตัวเป็นแบบอย่างคนอื่นๆในสังคมก็จะเห็นถึงความจริงใจและก็จะดำเนินการตามวิธีการที่ท่านนายกฯมีความประสงค์คือการลดราวาศอกซึ่งกันและกัน” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เคยประกาศเว้นวรรคที่จะไม่รับตำแหน่งนายกฯ เมื่อวานนี้ (22กค.49) ได้มีคำถามถึงจุดยืนของท่านนายกฯว่าจะเว้นวรรคหลังเลือกตั้งหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า พรรค ปชป.ไม่เคยไปเรียกร้องให้ท่านนายกฯเว้นวรรคหรือไม่เว้นวรรคคำประกาศเว้นวรรคเป็นความต้องการของท่านนายกฯซึ่งประกาศเองหลังจากมีการเลือกตั้งแต่มาถึงวันนี้เมื่อท่านนายกฯถูกสังคมสอบถามถึงเรื่องการประกาศเว้นวรรคท่านนายกฯก็ใช้วิชาการเล่นลิ้นพูดบอกว่ายังไม่ได้ฝึกพิมพ์ดีด
“ผมขอเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าท่านยังไม่ฝึกพิมพ์ดีด ถ้ายังไม่รับที่จะฝึกพิมพ์ดีด เราหวังว่า ท่านอาจจะไม่มีกระดาษที่จะพิมพ์ ผมคิดว่าวันนี้ท่านนายกฯควรจะรีบฝึกพิมพ์ดีดท่านจะได้รู้ว่าควรจะเคาะแป้นตรงไหนอย่างไรถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับประเทศนี้และไม่ก่อให้เกิดปัญหาบานปลายมากยิ่งขึ้นในประเทศชาติบ้านเมืองของเรา” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนกรณีที่ท่าทีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ยังไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆต่อการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว นายองอาจ กล่าวว่า สิ่งที่ผมอยากจะย้ำในวันนี้ก็คือว่า ผมอยากจะให้ กกต.ได้พิจารณากระแสพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่มีประกอบในพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคมที่จะถึงนี้ พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประกอบพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งมี 2 ข้อชัดเจน คือ 1.ต้องการเห็นประเทศชาติกลับสู่คงามสงบเรียบร้อยโดยเร็ว และ 2.การเลือกตั้งเป็นไปโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง”
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ผมเรียกร้องให้ กกต.พิจารณาราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอย่างจริงใจก็เพราะขณะนี้ กกต.พยายามที่จะอยู่ในจุดยืนเดิมซึ่งเป็นจุดยืนที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในประเทศชาติบ้านเมืองของเราต่อไปในอนาคตซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนในประเทศนี้ไม่พึงประสงค์ อยากจะเรียกร้องให้ กกต.น้อมรับกระแสพระราชประสงค์นี้และพร้อมทั้งฝ่ายอื่นๆด้วยไม่ใช่เฉพาะ กกต.อย่างเดียวที่จะต้องมีส่วนช่วยกันทำให้การเลือกตั้งเป็นแด้วยความเรียบร้อยบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริงจึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในสังคมที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งครั้งนี้นั้นให้เป็นจริงให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง
“โดยเฉพาะ กกต.นั้นเคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างชัดเจนเป็นคำวินิจฉัยที่ 9/2549 วันที่ 8 พฤษภาคม ว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนไม่เป็นธรรมเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและก็ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหลายมาตราด้วยกันเพราะฉะนั้น กกต.จึงถือได้ว่าไม่มีความชอบธรรมที่จะมาจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่อีกต่อไปเพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยค่อนข้างชัดเจนแล้วในเรื่องนี้” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 23 ก.ค. 2549--จบ--
ส่วนด้านนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่า วาระประชาชนนั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสรุปหลังจากที่ได้เนื้อหาสาระจากพี่น้องประชาชน โดยจะทำการสรุปให้เป็นวาระที่สามารถจับต้องได้ สามารถที่จะให้การสนับสนุนได้และจะนำเสนอในทันทีหลังจากที่มีกฤษฎีกาเลือกตั้งมีผลบังคับใช้หลังวันที่ 24 สิงหาคม
เกี่ยวกับกรณีที่รัฐบาลรักษาการใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการในช่วงนี้จนโดนกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงของรัฐบาลรักษาการและก็ได้มีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจนแล้วในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นรัฐบาลรักษาการก็ไม่ควรที่จะใช้วิธีการเอารัดเอาเปรียบฉวยโอกาสหรือแต่งตั้งโยกย้ายหรือแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
โฆษกพรรค ปชป.กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลควรใช้วิธีการแต่งตั้งรักษาการในตำแหน่งใดก็ตามหรืออาจจะเกษียณอายุหรือหมดวาระในการดำรงตำแหน่งนั้นๆ โดยไม่ต้องเป็นห่วงว่าถ้าไม่แต่งตั้งโยกย้ายขณะนี้แล้วงานของราชการจะหยุดชะงักเพราะการแต่งตั้งรักษาการจะไม่ทำให้งานของราชการนั้นมีปัญหาแต่อย่างใด เหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า พระราชบัญญัติระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ผู้ที่รักษาการนั้นสามารถบริหารงานได้ตามอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ ไม่มีอะไรที่จะไปเป็นปัญหาหรือเป็นอุปสรรคในการบริหารงานแต่อย่างใด
“ผมคิดว่ารัฐบาลรักษาการควรจะรอให้รัฐบาลชุดใหม่มาแต่งตั้งข้าราชการชุดใหม่แต่งตั้งข้าราชการระดับสูงน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่าที่จะเร่งรัดแต่งตั้งในขณะนี้ โดยเฉพาะการที่มีการสั่งการให้ส่งรายชื่อข้าราชการระดับสูงเข้ามาพิจารณาก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ให้เห็นว่ารัฐบาลรักษาการนี้พยายามยามที่จะเอารัดเอาเปรียบในทางการเมืองในการแต่งตั้งข้าราชการซึ่งแน่นอนที่สุดข้าราชการระดับสูงหลายท่านอยู่ในตำแหน่งที่สามารถให้คุณให้โทษในการเลือกตั้งได้ซึ่งจะก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้พูดพาดพิงฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลด้วยวาจาที่ไม่เหมาะสมผ่านรายการนายกฯ คุยกับประชาชนในหลายเรื่องหลายประเด็นเมื่อวานนี้ (22 กรกฎาคม 2549) นายองอาจกล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นของท่านนายกฯเมื่อวานนี้ได้ชี้ให้เห็นค่อนข้างชัดเจนถึงพฤติกรรมของท่านนายกฯ เราก็ทราบกันดีว่าท่านนายกฯนั้นพยายามทุกวิถีทางที่จะพยายามรักษาอำนาจของตัวเองให้อยู่ยาวนานต่อไป เพราะเมื่อใดก็ตามที่ท่านายกฯมีความรู้สึกว่าจะเกิดความได้เปรียบทางการเมืองท่านนายกฯก็จะมีพฤติกรรมในการพูดจาให้ร้ายบุคคลอื่นหรือคณะบุคคลอื่นหรือในกรณีก็จะใช้วิธีการพูดจาดูหมิ่นดูแคลนบุคคลในทางการเมือง
“ผมคิดว่าวิธีการของท่านนายกฯจะเป็นในลักษณะนี้ตลอด แต่เมื่อใดก็ตามที่ท่านนายกฯรู้สึกว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ำในทางการเมืองท่านนายกฯก็พยายามที่จะสร้างประเด็นใหม่สร้างเรื่องใหม่ขึ้นมากลบเกลื่อนช่วงเวลาที่ตนเองเพลี่ยงพล้ำอยู่ตลอดเวลาเพราะฉะนั้นพฤติกรรมของท่านานนายกฯในลักษณะนี้เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหาในความพยายามที่จะหาทางออกให้กับประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ถ้าหากท่านนายกฯต้องการหาทางออกให้กับประเทศชาติบ้านเมืองท่านนายกฯก็จะต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของท่านอย่าใช้วิธีการดูหมิ่นเหยียดหยามบุคคลหรืออย่าใช้วิธีการใหร้ายบุคคลหรือคณะบุคคลอื่นๆซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนเนื้อหาสาระที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวพาดพิงฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจเปิดเผยว่า ท่านบอกว่าส่วนของพรรค ปชป.ผู้ประสบความสำเร็จกับผู้ที่จะประสบความสำเร็จโดยท่านใช้ภาษาอังกฤษว่า Predecessor ส่วนผู้ประสบความสำเร็จท่านใช้คำว่า Successor ถึงพรรค ปชป.ท่านที่เคยประสบความสำเร็จคือนายชวน หลีกภัย (ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) แต่ผู้จะประสบความสำเร็จของพรรค ปชป.นั้นยังไม่รู้จะเป็นใคร แน่นอนที่สุด ผู้ประสบความสำเร็จในนามของพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญและจะประสบความสำเร็จนั้นหรือไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ผมคิดว่าเรื่องที่สำคัญกว่าตัวบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ก็ตามนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าตัวบุคคลในพรรคก็คือ ให้ประเทศชาติประสบความสำเร็จและก็ขอให้ประชาชนได้ประโยชน์สิ่งเหล่านั้นอาจจะกล่าวได้ว่าถือว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดมากกว่าบุคคลใดหรือบุคคลหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียวเพราะฉะนั้นไม่อยากให้ท่านนายกฯ ดูหมิ่นดูแคลนบุคคลอื่นหรือพยายามยัดเยียดให้บุคคลอื่นจะมีลักษณะความคิดเหมือนกับท่านที่มุ่งหาความสำเร็จในเรื่องของตัวบุคคลในเรื่องของส่วนตัวมากกว่าเรื่องของส่วนรวมเพราะพรรคประชาธิปัตย์นั้นคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมมากกว่าที่จะคำนึงถึงความสำเร็จส่วนตัวของผู้นำพรรคหรือคนใดคนหนึ่งในพรรคเท่านั้น”โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ต่อกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดราวาศอกกัน มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและมีความขัดแย้งในสังคมมากไปแล้วนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจน ท่านนายกฯนั้น เราอยากให้ท่านนายกฯกลับไปทบทวนพฤติกรรมของท่านเองในช่วงที่ผ่านมา ถ้าท่านลองนึกไปทบทวนดูท่านจะเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านในฐานะผู้นำประเทศ ในฐานะผู้บริหารประเทศซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการที่จะทำให้ประเทศชาติอยู่ในความสงบประชาชนมีความสุขอยู่ดีกินดี มความสะดวกปลอดภัยในการใช้ชีวิต แต่ปรากฎว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้น เราพบความจริงว่าท่านนายกฯในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศมีหน้าที่ในการบริหารประเทศนั้นท่านกลับพยายามสร้างเงื่อนไขในการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย สร้างความขัดแย้งให้กับสังคมอยู่ตลอดเวลา
“ยกตัวอย่างเช่นการพูดต่อหน้าข้าราชการระดับสูงโดยพาดพิงถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ มีการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญในการก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ก่อให้เกิดวิกฤติขึ้นในประเทศไทยคำพูดของท่านนั้นส่งผลกระเทือนต่อเนื่องมาถึงความครุกรุ่นในกองทัพและส่งผลสะเทือนมาถึงพี่น้องประชาชนกลุ่มอื่นๆโดยรวมด้วยว่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่ท่านหมายถึงนั้นคือใครอย่างไรเป็นการพูดที่จาบจ้วงละเมิดละลาบละล้วงไปถึงบุคคลสำคัญภายในประเทศหรือไม่อย่างไร สิ่งเหล่านี้ส่วนแสดงออกให้เห็นถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมทั้งสิ้น” นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรค ปชป.กล่าวต่อไปอีกว่า แทนที่ท่านนายกฯจะไปเรียกร้องหรือจะไปพูดบอกให้คนอื่นเขาลดราวาศอกหรือว่าแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่หมีความขัดแย้งในสังคมมากไปกว่านั้นท่านนายกฯควรที่จะบอกตัวท่านเองก่อนให้ยุติพฤติกรรมในการก่อให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายหรือก่อความขัดแย้งขึ้นในสังคม ท่านนายกฯเองเป็นแบบอย่างของการไม่ลดราวาศอกให้กับคนอื่นๆในสังคม
“พวกเราบางทีอาจยังไม่ทราบว่า ขณะที่ท่านนายกฯพูดถึงคำว่าสมานฉันท์พูดถึงความสามัคคีพูดถึงคำว่าให้อภัยในช่วงที่เรามีงานสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครองราชย์ 60 ปีนั้น ท่านนายกฯก็ให้ทนายความไปแจ้งความดำเนินคดีกับคนของพรรคฝ่ายค้านกับนักวิชาการเช่น นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ อ.ธีรยุทธ บุญมี ไปแจ้งความดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งไปฟ้องร้องต่อศาลกับคนของพรรคฝ่ายค้านเรียกค่าเสียหายถึง 800 ล้านบาทบ้าง 1,000 ล้านบาทบ้างในหลายคดีความเพราะฉะนั้นผมคิดว่าการกระทำของท่านายกฯถึงแม้ว่าจะเป็นสิทธิตามกฎหมายที่จะดำเนินการได้นั้น แต่ในฐานะผู้นำประเทศถ้าท่านคิดว่าควรที่จะลดราวาศอกกันนั้น ผมคิดว่านายกฯควรที่จะทำตัวให้เป็นแบบอย่างในการไม่ไปค้าความเพิ่มเติมมากขึ้น และผมเชื่อว่าถ้าท่านนายกฯทำตัวเป็นแบบอย่างคนอื่นๆในสังคมก็จะเห็นถึงความจริงใจและก็จะดำเนินการตามวิธีการที่ท่านนายกฯมีความประสงค์คือการลดราวาศอกซึ่งกันและกัน” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เคยประกาศเว้นวรรคที่จะไม่รับตำแหน่งนายกฯ เมื่อวานนี้ (22กค.49) ได้มีคำถามถึงจุดยืนของท่านนายกฯว่าจะเว้นวรรคหลังเลือกตั้งหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า พรรค ปชป.ไม่เคยไปเรียกร้องให้ท่านนายกฯเว้นวรรคหรือไม่เว้นวรรคคำประกาศเว้นวรรคเป็นความต้องการของท่านนายกฯซึ่งประกาศเองหลังจากมีการเลือกตั้งแต่มาถึงวันนี้เมื่อท่านนายกฯถูกสังคมสอบถามถึงเรื่องการประกาศเว้นวรรคท่านนายกฯก็ใช้วิชาการเล่นลิ้นพูดบอกว่ายังไม่ได้ฝึกพิมพ์ดีด
“ผมขอเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าท่านยังไม่ฝึกพิมพ์ดีด ถ้ายังไม่รับที่จะฝึกพิมพ์ดีด เราหวังว่า ท่านอาจจะไม่มีกระดาษที่จะพิมพ์ ผมคิดว่าวันนี้ท่านนายกฯควรจะรีบฝึกพิมพ์ดีดท่านจะได้รู้ว่าควรจะเคาะแป้นตรงไหนอย่างไรถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับประเทศนี้และไม่ก่อให้เกิดปัญหาบานปลายมากยิ่งขึ้นในประเทศชาติบ้านเมืองของเรา” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนกรณีที่ท่าทีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ยังไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆต่อการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว นายองอาจ กล่าวว่า สิ่งที่ผมอยากจะย้ำในวันนี้ก็คือว่า ผมอยากจะให้ กกต.ได้พิจารณากระแสพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่มีประกอบในพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคมที่จะถึงนี้ พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประกอบพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งมี 2 ข้อชัดเจน คือ 1.ต้องการเห็นประเทศชาติกลับสู่คงามสงบเรียบร้อยโดยเร็ว และ 2.การเลือกตั้งเป็นไปโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง”
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ผมเรียกร้องให้ กกต.พิจารณาราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอย่างจริงใจก็เพราะขณะนี้ กกต.พยายามที่จะอยู่ในจุดยืนเดิมซึ่งเป็นจุดยืนที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในประเทศชาติบ้านเมืองของเราต่อไปในอนาคตซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนในประเทศนี้ไม่พึงประสงค์ อยากจะเรียกร้องให้ กกต.น้อมรับกระแสพระราชประสงค์นี้และพร้อมทั้งฝ่ายอื่นๆด้วยไม่ใช่เฉพาะ กกต.อย่างเดียวที่จะต้องมีส่วนช่วยกันทำให้การเลือกตั้งเป็นแด้วยความเรียบร้อยบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริงจึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในสังคมที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งครั้งนี้นั้นให้เป็นจริงให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง
“โดยเฉพาะ กกต.นั้นเคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างชัดเจนเป็นคำวินิจฉัยที่ 9/2549 วันที่ 8 พฤษภาคม ว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนไม่เป็นธรรมเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและก็ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหลายมาตราด้วยกันเพราะฉะนั้น กกต.จึงถือได้ว่าไม่มีความชอบธรรมที่จะมาจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่อีกต่อไปเพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยค่อนข้างชัดเจนแล้วในเรื่องนี้” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 23 ก.ค. 2549--จบ--