วันนี้ (26 ส.ค.49) เวลา 11.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 100 คนไปประกาศแถลงการณ์ขอชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเพื่อรักษาผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล ที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศน์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีเมื่อวานนี้ (25 ส.ค.49) ว่า จากการติดตามกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไปหน้าบ้าน พล.อ.เปรม ครั้งนี้เชื่อว่าน่าจะกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีเบื้องหลังในการดำเนินการไปแสดงออกที่หน้าบ้าน พล.อ.เปรม เพื่อหวังผลทางการเมือง และน่าเชื่อได้ว่าจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เชื่อได้ว่า สร้างขึ้นเพื่อที่จะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คือเหตุการณ์ลอบสังหารนายกฯ
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า พิจารณาดูจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้น่าจะเป็นกลุ่มชุมนุมที่ทำเป็นขบวนการ เริ่มต้นจากการปล่อยข่าวในการลอบสังหารนายกฯ และมีการขานรับจาก พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรวมไปถึงแกนนำในพรรครัฐบาลหลายคน จนกระทั่งมีการลอบสังหารนายกฯ จนกระทั่งมีการจัดกลุ่มผู้ชุมนุมมาร้องของชีวิตนายกฯ จาก พล.อ.เปรม ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเรื่องของขบวนการที่เกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น ทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อม
“สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตอย่างมากคือ ทำไมจึงได้มีการจงใจจัดตั้งกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อที่จะมาร้องขอชีวิตนายกรัฐมนตรีจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีในครั้งนี้ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่แสดงให้เห็นว่า พล.อ.เปรมนั้นไปเกี่ยวข้องใด ๆ กับการเอาชีวิตของ พ.ต.ททักษิณ เช่นนั้นหรือไม่ เพราะไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นใด ๆ เลยที่กลุ่มผู้ชุมนุมชุดนี้จะมาขอชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ จากประธานองคมนตรี” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกต
นายองอาจ กล่าวต่อว่า พล.อ.เปรมไม่ได้มีอำนาจหน้าที่โดยทางตรงหรือทางอ้อมที่จะไปปกป้องรักษาชีวิตของบุคคลหนึ่งบุคคลใดในคณะรัฐบาลชุดนี้หรือแม้กระทั่งรักษานายกรัฐมนตรี ตนคิดว่า กลุ่มผู้ชุมนุมชุดนี้เป็นเรื่องผิดปกติ น่าจะมีเบื้องหลัง เพราะฉะนั้นจึงอยากจะเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดี เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็ดี ควรจะสอบสวนสืบสวนให้ชัดเจนว่า ใครที่อยู่เบื้องหลังการจัดกลุ่มผู้ชุดนี้มาที่บ้านประธานองคมนตรี
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแฉว่ามี 4 นายทหารทั้งในและนอกราชการรวมหัวกันอยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายองอาจให้ความเห็นว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับข้อมูลหรือทราบว่ามี 4 นายทหารทั้งในและนอกราชการรวมหัวกันในการอยู่เบื้องหลังลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณแล้วควรจะสั่งการให้มีการสืบสวนสอบสวนในทางลับเพื่อที่จะรวบรวมหลักฐานเอาความผิดจากบุคคลต่าง ๆเหล่านี้มาลงโทษอย่างจริงจัง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประกาศหรือให้ข่าวออกมาว่ามี 4 นายทหารทั้งในและนอกราชการรวมหัวอยู่เบื้องหลัง
“ถ้าเป็นความจริงตามนั้น ผมเชื่อว่าบัดนี้ 4 นายทหารเหล่านั้น ถ้าอยูเบื้องหลังจริงก็คงจะต้องพยายามทำลายหลักฐานต่างๆ เพื่อไม่ให้ตนเองนั้นไปพัวพันหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่เป็นความจริง นายกรัฐมนตรีก็จะถูกตั้งข้อสังเกตหรือตั้งข้อครหานินทาได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะให้ข้อมูลข่าวสารกับพี่น้องประชาชนเกินความเป็นจริง และอาจจะมีความเป็นไปได้ว่า นายกรัฐมนตรีพยายามที่จะปั่นกระแสการลอบสังหารให้สูงเกินจริงเพื่อผลจิตวิทยาทางการเมืองหรือไม่” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกต
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการลอบสังหารนายกฯ นั้นควรจะเป็นข้อมูลเพื่อนำไปสู่การขยายผลในการจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงอย่างจริงจังมากกว่าจะเป็นข้อมูลที่นำมาเปิดเผยรายวันต่อหน้าสาธารณชน รวมทั้งผู้ที่เปิดเผยนั้นมีตำแหน่งสูงถึงนายกรัฐมนตรีจึงควรระมัดระวังในเรื่องของการให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับคดีสำคัญเช่นนี้ด้วย ยกเว้นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีเจตนาเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากการให้ข้อมูลข่าวสารตามปกติ
ต่อข้อถามกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงคือ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ถูกต้องกับนางสังวรณ์ ทัดจำปาภรรยาและพี่สาวของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ผู้ต้องหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจนต้องออกมาเปิดเผยว่า มีตำรวจเข้ามาเกลี้ยกล่อมให้ไปบอก ร.ท.ธวัชชัย ให้รับสารภาพครอบครัวจะได้ไม่เดือดร้อน ถ้าไม่ยอมรับสารภาพก็จะตายในคุกแน่นอนนั้น นายองอาจให้ความเห็นว่า คำบอกเล่าของนางสังวรณ์ต่อพี่สาวของ ร.ท.ธวัชชัย ถือได้ว่าเป็นคำบอกเล่าที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
“เพราะคำบอกเล่านี้ได้ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องนี้ว่ามีความบริสุทธิ์ใจในการทำงานมากน้อยแค่ไหน และได้ทำงานไปตามกระบวนการของการสืบสวนสอบสวนภายใต้กฎหมายอย่างจริงจังหรือไม่หรือได้มีความพยายามกระทำการใดๆ นอกเหนือกระบวนการยุติธรรม ผมคิดว่า เจ้าที่ตำรวจจะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนร้อยโทธวัชชัย ภายใต้สิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายอย่างแท้จริง ไม่ควรใช้วิธีการนอกระบบใดๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตนเองวางเอาไว้” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายองอาจกล่าวต่อไปอีกว่า รวมกระทั่งถึงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรใช้วิธีการในการเหลี้ยกล่อมและข่มขู่ให้รับสารภาพ การที่บอกว่า ร.ท.ธวัชชัยไม่ยอมรับ สารภาพก็จะตายในคุกแน่นอนนั้น ตนคิดว่าเป็นการข่มขู่ ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหาอย่างไม่ควรที่จะเกิดขึ้นในคดีสำคัญเช่นนี้ ตำรวจควรจะทำงานอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและที่สำคัญที่สุดคือ ตนคิดว่าวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรที่จะทำงานตามใบสั่งใดๆ ของผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจในทางการเมือง ผู้มีอำนาจทางทหาร หรือทางตำรวจ การรับใช้ผู้มีอำนาจในทางที่ผิด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั้น วันหนึ่งความจริงจะต้องปรากฎ
ทั้งนั้ นายองอาจ ฝากความห่วงใยถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนบางกลุ่มที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับครอบครัวของ ร.ท.ธวัชชัย และตำรวจทุกคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยว่า ผู้มีหน้าที่ในการพยายยามบงการหรือสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามคนเหล่านี้ไม่สามารถอยู่ค้ำฟ้าได้จนวันตาย วันหนึ่งคนเหล่านี้ก็จะต้องหมดจากอำนาจไป และแน่นอนที่สุดเมื่อถึงวันนั้น ความจริงจะต้องถูกชำระสะสางและถูกพิพากษาไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง
“นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ จนกระทั่งถึงวันนี้ ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณก็ดี บุคคลในรัฐบาลก็ดี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ พยายามให้ข้อมูลหรือว่า พูดจาขยายเหตุการณ์จนเกิดความเป็นจริง ผมคิดว่าวันนี้ บุคคลใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ไม่ควรใช้การให้ข้อมูลข่าวสารหรือการพูดจาใดๆขยายเกินความเป็นจริงจากที่เป็นอยู่ นอกจากไม่เป็นผลดีในการสืบสวนสอบสวนยังก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในสังคมเกิดขึ้น โดยเฉพาะในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรเป็นผู้ไปสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นในสังคมเสียเอง พ.ต.ท.ทักษิณ ควรจะต้องพยายามเป็นผู้ทำให้สังคมนั้นเกิดความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด และหนทางที่จะทำให้นายกฯ มีส่วนในการทำให้เกิดความเรียบร้อยในสังคมมากที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรที่จะไปสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นเสียเองในเรื่องนี้
“สิ่งที่ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาหลายสัปดาห์หรือนานนับเดือนจะเห็นได้ว่า พ.ต.ททักษิณ พยายามปิดปากเงียบไม่ยอมพูดกับสื่อในเรื่องทางการเมืองอื่นๆ แต่หลังจากเกิดเหตุในการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้ทุกวาระทุกโอกาสทุกสถานที่ในการแสดงความคิดเห็นรวมทั้งการบอกเล่าข้อมูลในเชิงลึก ซึ่งหลาย ๆ ข้อมูลก็ไม่มีความจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องมาบอกเล่าต่อสื่อมวลชนหรือสาธารณชนว่า แต่นายกรัฐมนตรีกลับใช้โอกาสต่างๆ เหล่านี้ในช่วงหลังเกิดเหตุลอบสังหารชี้แจงเรื่องลอบสังหารนี้อย่างละเอียดทุกที่ที่มมีโอกาสจะพูดกับสื่อได้ และก็ใช้โอกาสต่างๆเหล่านี้พูดเรื่องนี้มากอย่างผิดสังเกต ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายองอาจ ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า สิ่งที่อยากจะต้องคำถามถึงรักษาการนายกรัฐมนตรีคือ รักษาการนายกฯ พยายามพูดจาสิ่งเหล่านี้มากผิดสังเกตเพื่อผลทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ หรือ รักษาการมีเจตนาบริสุทธิ์ในการพูดจาสิ่งเหล่านี้ แม้แต่ในบางสถานที่ เช่น จะไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวขณะที่มีการประชุมได้ เช่นการประชุมสภากลาโหม ปกติผู้สื่อข่าว ช่างภาพก็สามารถเข้าไปถ่ายทำ ถ่ายภาพได้ เมื่อมีการเริ่มประชุมก็จะให้นักข่าวหรือทางช่างภาพออกมาจากห้องและมีการประชุม
“แต่ปรากฎว่าครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นำเสียงของนายกฯ พูดกับทหารระดับสูงในการประชุมครั้งนั้นออกมาเปิดเผยถึงข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ก็เป็นพฤ ติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของรักษาการนายกฯ หลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารรักษาการนายกฯ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ส.ค. 2549--จบ--
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า พิจารณาดูจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้น่าจะเป็นกลุ่มชุมนุมที่ทำเป็นขบวนการ เริ่มต้นจากการปล่อยข่าวในการลอบสังหารนายกฯ และมีการขานรับจาก พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรวมไปถึงแกนนำในพรรครัฐบาลหลายคน จนกระทั่งมีการลอบสังหารนายกฯ จนกระทั่งมีการจัดกลุ่มผู้ชุมนุมมาร้องของชีวิตนายกฯ จาก พล.อ.เปรม ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเรื่องของขบวนการที่เกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น ทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อม
“สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตอย่างมากคือ ทำไมจึงได้มีการจงใจจัดตั้งกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อที่จะมาร้องขอชีวิตนายกรัฐมนตรีจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีในครั้งนี้ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่แสดงให้เห็นว่า พล.อ.เปรมนั้นไปเกี่ยวข้องใด ๆ กับการเอาชีวิตของ พ.ต.ททักษิณ เช่นนั้นหรือไม่ เพราะไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นใด ๆ เลยที่กลุ่มผู้ชุมนุมชุดนี้จะมาขอชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ จากประธานองคมนตรี” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกต
นายองอาจ กล่าวต่อว่า พล.อ.เปรมไม่ได้มีอำนาจหน้าที่โดยทางตรงหรือทางอ้อมที่จะไปปกป้องรักษาชีวิตของบุคคลหนึ่งบุคคลใดในคณะรัฐบาลชุดนี้หรือแม้กระทั่งรักษานายกรัฐมนตรี ตนคิดว่า กลุ่มผู้ชุมนุมชุดนี้เป็นเรื่องผิดปกติ น่าจะมีเบื้องหลัง เพราะฉะนั้นจึงอยากจะเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดี เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็ดี ควรจะสอบสวนสืบสวนให้ชัดเจนว่า ใครที่อยู่เบื้องหลังการจัดกลุ่มผู้ชุดนี้มาที่บ้านประธานองคมนตรี
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแฉว่ามี 4 นายทหารทั้งในและนอกราชการรวมหัวกันอยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายองอาจให้ความเห็นว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับข้อมูลหรือทราบว่ามี 4 นายทหารทั้งในและนอกราชการรวมหัวกันในการอยู่เบื้องหลังลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณแล้วควรจะสั่งการให้มีการสืบสวนสอบสวนในทางลับเพื่อที่จะรวบรวมหลักฐานเอาความผิดจากบุคคลต่าง ๆเหล่านี้มาลงโทษอย่างจริงจัง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประกาศหรือให้ข่าวออกมาว่ามี 4 นายทหารทั้งในและนอกราชการรวมหัวอยู่เบื้องหลัง
“ถ้าเป็นความจริงตามนั้น ผมเชื่อว่าบัดนี้ 4 นายทหารเหล่านั้น ถ้าอยูเบื้องหลังจริงก็คงจะต้องพยายามทำลายหลักฐานต่างๆ เพื่อไม่ให้ตนเองนั้นไปพัวพันหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่เป็นความจริง นายกรัฐมนตรีก็จะถูกตั้งข้อสังเกตหรือตั้งข้อครหานินทาได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะให้ข้อมูลข่าวสารกับพี่น้องประชาชนเกินความเป็นจริง และอาจจะมีความเป็นไปได้ว่า นายกรัฐมนตรีพยายามที่จะปั่นกระแสการลอบสังหารให้สูงเกินจริงเพื่อผลจิตวิทยาทางการเมืองหรือไม่” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกต
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการลอบสังหารนายกฯ นั้นควรจะเป็นข้อมูลเพื่อนำไปสู่การขยายผลในการจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงอย่างจริงจังมากกว่าจะเป็นข้อมูลที่นำมาเปิดเผยรายวันต่อหน้าสาธารณชน รวมทั้งผู้ที่เปิดเผยนั้นมีตำแหน่งสูงถึงนายกรัฐมนตรีจึงควรระมัดระวังในเรื่องของการให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับคดีสำคัญเช่นนี้ด้วย ยกเว้นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีเจตนาเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากการให้ข้อมูลข่าวสารตามปกติ
ต่อข้อถามกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงคือ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ถูกต้องกับนางสังวรณ์ ทัดจำปาภรรยาและพี่สาวของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ผู้ต้องหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจนต้องออกมาเปิดเผยว่า มีตำรวจเข้ามาเกลี้ยกล่อมให้ไปบอก ร.ท.ธวัชชัย ให้รับสารภาพครอบครัวจะได้ไม่เดือดร้อน ถ้าไม่ยอมรับสารภาพก็จะตายในคุกแน่นอนนั้น นายองอาจให้ความเห็นว่า คำบอกเล่าของนางสังวรณ์ต่อพี่สาวของ ร.ท.ธวัชชัย ถือได้ว่าเป็นคำบอกเล่าที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
“เพราะคำบอกเล่านี้ได้ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องนี้ว่ามีความบริสุทธิ์ใจในการทำงานมากน้อยแค่ไหน และได้ทำงานไปตามกระบวนการของการสืบสวนสอบสวนภายใต้กฎหมายอย่างจริงจังหรือไม่หรือได้มีความพยายามกระทำการใดๆ นอกเหนือกระบวนการยุติธรรม ผมคิดว่า เจ้าที่ตำรวจจะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนร้อยโทธวัชชัย ภายใต้สิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายอย่างแท้จริง ไม่ควรใช้วิธีการนอกระบบใดๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตนเองวางเอาไว้” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายองอาจกล่าวต่อไปอีกว่า รวมกระทั่งถึงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรใช้วิธีการในการเหลี้ยกล่อมและข่มขู่ให้รับสารภาพ การที่บอกว่า ร.ท.ธวัชชัยไม่ยอมรับ สารภาพก็จะตายในคุกแน่นอนนั้น ตนคิดว่าเป็นการข่มขู่ ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหาอย่างไม่ควรที่จะเกิดขึ้นในคดีสำคัญเช่นนี้ ตำรวจควรจะทำงานอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและที่สำคัญที่สุดคือ ตนคิดว่าวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรที่จะทำงานตามใบสั่งใดๆ ของผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจในทางการเมือง ผู้มีอำนาจทางทหาร หรือทางตำรวจ การรับใช้ผู้มีอำนาจในทางที่ผิด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั้น วันหนึ่งความจริงจะต้องปรากฎ
ทั้งนั้ นายองอาจ ฝากความห่วงใยถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนบางกลุ่มที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับครอบครัวของ ร.ท.ธวัชชัย และตำรวจทุกคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยว่า ผู้มีหน้าที่ในการพยายยามบงการหรือสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามคนเหล่านี้ไม่สามารถอยู่ค้ำฟ้าได้จนวันตาย วันหนึ่งคนเหล่านี้ก็จะต้องหมดจากอำนาจไป และแน่นอนที่สุดเมื่อถึงวันนั้น ความจริงจะต้องถูกชำระสะสางและถูกพิพากษาไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง
“นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ จนกระทั่งถึงวันนี้ ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณก็ดี บุคคลในรัฐบาลก็ดี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ พยายามให้ข้อมูลหรือว่า พูดจาขยายเหตุการณ์จนเกิดความเป็นจริง ผมคิดว่าวันนี้ บุคคลใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ไม่ควรใช้การให้ข้อมูลข่าวสารหรือการพูดจาใดๆขยายเกินความเป็นจริงจากที่เป็นอยู่ นอกจากไม่เป็นผลดีในการสืบสวนสอบสวนยังก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในสังคมเกิดขึ้น โดยเฉพาะในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรเป็นผู้ไปสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นในสังคมเสียเอง พ.ต.ท.ทักษิณ ควรจะต้องพยายามเป็นผู้ทำให้สังคมนั้นเกิดความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด และหนทางที่จะทำให้นายกฯ มีส่วนในการทำให้เกิดความเรียบร้อยในสังคมมากที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรที่จะไปสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นเสียเองในเรื่องนี้
“สิ่งที่ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาหลายสัปดาห์หรือนานนับเดือนจะเห็นได้ว่า พ.ต.ททักษิณ พยายามปิดปากเงียบไม่ยอมพูดกับสื่อในเรื่องทางการเมืองอื่นๆ แต่หลังจากเกิดเหตุในการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้ทุกวาระทุกโอกาสทุกสถานที่ในการแสดงความคิดเห็นรวมทั้งการบอกเล่าข้อมูลในเชิงลึก ซึ่งหลาย ๆ ข้อมูลก็ไม่มีความจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องมาบอกเล่าต่อสื่อมวลชนหรือสาธารณชนว่า แต่นายกรัฐมนตรีกลับใช้โอกาสต่างๆ เหล่านี้ในช่วงหลังเกิดเหตุลอบสังหารชี้แจงเรื่องลอบสังหารนี้อย่างละเอียดทุกที่ที่มมีโอกาสจะพูดกับสื่อได้ และก็ใช้โอกาสต่างๆเหล่านี้พูดเรื่องนี้มากอย่างผิดสังเกต ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายองอาจ ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า สิ่งที่อยากจะต้องคำถามถึงรักษาการนายกรัฐมนตรีคือ รักษาการนายกฯ พยายามพูดจาสิ่งเหล่านี้มากผิดสังเกตเพื่อผลทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ หรือ รักษาการมีเจตนาบริสุทธิ์ในการพูดจาสิ่งเหล่านี้ แม้แต่ในบางสถานที่ เช่น จะไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวขณะที่มีการประชุมได้ เช่นการประชุมสภากลาโหม ปกติผู้สื่อข่าว ช่างภาพก็สามารถเข้าไปถ่ายทำ ถ่ายภาพได้ เมื่อมีการเริ่มประชุมก็จะให้นักข่าวหรือทางช่างภาพออกมาจากห้องและมีการประชุม
“แต่ปรากฎว่าครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นำเสียงของนายกฯ พูดกับทหารระดับสูงในการประชุมครั้งนั้นออกมาเปิดเผยถึงข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ก็เป็นพฤ ติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของรักษาการนายกฯ หลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารรักษาการนายกฯ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ส.ค. 2549--จบ--