ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2548 ยังมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลงจากการขยายตัวที่สูงในปี2547 ในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2548 เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่สอง และขยายตัวเร่งขึ้นได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ สหภาพยุโรป มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา จากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีขึ้นตามอุปสงค์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกและการบริโภคภาคเอกชนที่เร่งขึ้นเป็นสำคัญ โดยภาพรวมการค้าในปี 2548 จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยภาคการส่งออกสินค้ามีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 6.5 และจะเพิ่มเป็นร้อยละ 7.0 ในปีหน้า แต่ปัญหา
แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง และความต้องการบริโภคทั้งในจีนและสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในระดับปานกลางอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเอเชียบ้าง แต่ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นและยุโรปที่ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ควรจะต้องตระหนัก คือ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และมาตรการควบคุมทางการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อดังกล่าว
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2548 จากการประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ประชาชาติรายไตรมาสของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 5.3 เทียบกับร้อยละ 4.6 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 และร้อยละ 6.0 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547
เศรษฐกิจในปี 2549 คาดว่า GDP จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.7 — 5.7 โดยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจในปี 2548 มีปัจจัยบวกด้านการลงทุน การฟื้นตัวอย่างเต็มที่มากขึ้นของการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายครัวเรือนซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการจ้างงานและเงินเดือนทั้งของภาคเอกชนและภาครัฐที่สูงขึ้น ในขณะที่แรงกดดันอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี สำหรับการส่งออกยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง และแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2548 จะเป็นข้อจำกัดของการใช้จ่ายในครัวเรือนและมีผลต่อการลงทุนของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ การระบาดของไข้หวัดนก และอุบัติภัยต่างๆ ยังนับเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่ต้องระมัดระวัง ทั้งนี้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2549 จะเท่ากับร้อยละ 3.5-4.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลประมาณร้อยละ 2.2-2.7 ของ GDP
สำหรับภาคอุตสาหกรรม จากรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 53 กลุ่ม
พบว่า ในช่วงเดือนมกราคม — ตุลาคม 2548 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปี 2547 ประมาณร้อยละ 7.8 ซึ่งดัชนีเฉลี่ยทั้ง 10 เดือน ในปี 2548 มีค่า 149.01 และในปี 2547 มีค่า 138.22 โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ
อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วงเดือนมกราคม — ตุลาคม 2548 มีค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547
เมื่อพิจารณาทั้งปีจะพบว่าในปี 2548 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ประมาณร้อยละ 6.7 สำหรับแนวโน้มปี 2549 คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังคงมีปัจจัยสนับสนุนบางประการ เช่น เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวอย่างน้อยในอัตราร้อยละ 3 ซึ่งจะสนับสนุนการส่งออกให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ปริมาณการค้าโลกที่ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นจะช่วยให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำแม้ว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สถานการณ์การค้าต่างประเทศในปี 2548 การค้าของไทยในเดือน ม.ค.-ต.ค. 2548 มีมูลค่า 190,783.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.04 แยกเป็นการส่งออกมูลค่า 91,595.09 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.26 การนำเข้ามีมูลค่า 99,188.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.93 ไทยเสียเปรียบดุลการค้า เป็นมูลค่า 7,593.32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกในปี 2548 ที่มูลค่า 115,837 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในส่วนของการลงทุนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2548 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 555,000 ล้านบาท จากมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 700,000 ล้านบาท
สรุปภาวะอุตสาหกรรมในแต่ละสาขา
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ภาวะทั่วไปของอุตสาหกรรมโดยรวมในปี 2548 โดยรวมน่าจะปรับเพิ่มได้เล็กน้อยจากปี 2547 เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกมีความต้องการลดลงค่อนข้างมากสาเหตุจากปัจจัยลบต่างๆ เช่นราคาน้ำมันที่ผันผวนและอัตราดอกเบี้ยในประเทศต่างๆทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์การก่อการร้ายและความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดของไทยและในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปีความกังวลจากปัจจัยต่างๆเริ่มผ่อนคลายลง ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการคอมพิวเตอร์และConsumer Electronic ของโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2549 คาดว่าอุตสาหกรรมนี้จะสามารถส่งออกได้ถึง 1.5 ล้านล้านบาท เติบโตร้อยละ 11.0 จากปี 2548
เคมีภัณฑ์
ปี 2548 การนำเข้าเคมีภัณฑ์เมื่อเทียบกับปี 2547 มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20.32 สำหรับการส่งออกเคมีภัณฑ์เมื่อเทียบกับปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.14 และในช่วงที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ในตลาดโลกมีการแข่งขันค่อนข้างสูง คาดว่าในอนาคตจะมีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะจีนซึ่งมีความได้เปรียบด้านการผลิตและมีต้นทุนที่ต่ำกว่าไทย นอกจากนี้คู่แข่งที่สำคัญของไทยได้แก่ สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกาหลี ซึ่งประเทศเหล่านี้มีความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยีการผลิตมีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านวัตถุดิบที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต ในขณะที่ประเทศไทยมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นประเทศไทยจึงควรหันมาใช้กลยุทธ์ทางด้านอื่นอาทิเช่น การลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต การส่งมอบสินค้า และ ขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ เป็นต้น
ปิโตรเคมี ในปี 2548 อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังอยู่ในช่วงภาวะขาขึ้น เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทที่ทำธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงที่ผ่านมา ล้วนปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแทบทุกประเภทปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ก่อสร้าง และปุ๋ยเพื่อการเกษตร ฯลฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศและในตลาดโลก นอกจากการเพิ่มสูงขึ้นของความต้องการใช้แล้ว การที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นก็เป็นผลพลอยได้ให้อุตสาหกรรม ปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาขึ้นได้ยาวนานต่อเนื่องอีก 2-3 ปี
เหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กโดยรวมในปี 2548 ทรงตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะการค้าภายในประเทศที่ทรงตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับทิศทางการปรับตัวของสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกยังไม่แน่นอน จึงมีผลทำให้ผู้ซื้อชะลอการสั่งซื้อเพื่อรอการนิ่งของราคา
แนวโน้มสถานการณ์เหล็กโดยรวมในประเทศในปี 2549 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นในส่วนของเหล็กทรงยาวเนื่องจากโครงการเมกะโปรเจ็คส์ของทางภาครัฐที่จะกระตุ้นให้ธุรกิจก่อสร้างขยายตัวมากขึ้น สำหรับเหล็กทรงแบนคาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่พึงระวังเกี่ยวกับสถานการณ์เหล็กของประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันประสบปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งรัฐบาลจีนได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ โดยการกำหนดนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศ เช่นนโยบายในการส่งเสริมให้เกิดการควบรวมกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งนี้ จะต้องใช้ระยะเวลาที่จะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งอาจมีผลทำให้ประเทศจีนส่งออกเหล็กด้อยคุณภาพเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย
ยานยนต์ ในปี 2548 ความต้องการยานยนต์จากตลาดต่างประเทศยังคงมีมาก ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2549 คาดว่า ในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ยังอยู่ในช่วงของการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน จากญี่ปุ่นมายังไทย ทำให้มีการผลิตและส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น สำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน ซึ่งมีทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ และการเปลี่ยน Model ใหม่ ที่เป็นไปตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น สำหรับ
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ตลาดในประเทศจะขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ด้านตลาดส่งออกก็ยังมีลู่ทางที่ดี โดยเฉพาะตลาดในอาเซียนยังคงมีการขยายตัวสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มี
แนวโน้มของการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วยโดยเฉพาะคู่แข่งจากประเทศจีน ซึ่งผู้ผลิตส่งออกจักรยานยนต์ของไทยก็มีความพร้อมที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ มาตรฐานที่สูงกว่า และแสวงหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ ที่จะนำเสนอสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดได้มากขึ้น
ผลิตภัณฑ์พลาสติก ในปี 2548 ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกต้องประสบกับปัญหาต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตมีต้นทุนสูงอันเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เม็ดพลาสติกคุณภาพดีซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศมีการเก็บภาษีนำเข้าสูง ค่าระวางสูงทำให้เสียเปรียบในการส่งออกไปยังประเทศที่มีระยะทางห่างไกล การผลิตแม่พิมพ์ยังมีประสิทธิภาพต่ำและต้นทุนการผลิตสูง ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนส่งกระทบทางด้านลบต่ออุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก โดยในปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.98 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.54 เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับแนวโน้มปี 2549 คาดว่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกจะยังคงเผชิญสภาวะการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง ซึ่งจากที่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกราคาถูกจากประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ทำให้ผู้ประกอบการภายในประเทศได้รับความเดือดร้อน ซึ่งประเทศไทยยังไม่ค่อยมีบทบาทในเชิงรุกในการกำหนดนโยบายตอบโต้การทุ่มตลาดเท่าใดนัก อีกทั้งการเปิดเขตเสรีทางการค้าจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้โครงสร้างอุตสาหกรรมพลาสติกของไทยยังอ่อนแออยู่ ดังนั้นอุตสาหกรรมพลาสติกจึงควรจะต้องมีนโยบายอย่างชัดเจนคือ จะต้องผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าและมีการส่งเสริมการส่งออกให้มากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาการผลิตให้สามารถผลิตสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ราคาดีขึ้น และ ลดต้นทุนในการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
รองเท้าและผลิตภัณฑ์หนัง ในปี 2548 ภาวการณ์การผลิตเมื่อเทียบกับปีก่อนลดลงใน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ ดัชนีผลหนังฟอกและตกแต่ง และ ดัชนีผลผลิตกระเป๋าฯ ลดลงร้อยละ 4.3 และ 0.3 หนังฟอกและตกแต่งลดลงเนื่องจากดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และดัชนีการส่งสินค้าลดลง จากภาวะตลาดภายในประเทศที่ซบเซาและมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในส่วนของหนังตกแต่งสำเร็จ ดัชนีการผลิตกระเป๋าลดลงเนื่องจากการส่งออกลดลงและมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับดัชนีการผลิตรองเท้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 เนื่องจากการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับในปี 2549 คาดว่าการผลิตสินค้ารองเท้าและเครื่องหนังจะมีแนวโน้มที่ลดลงเนื่องจากตลาดนำเข้าหลักของไทยมีภาวะเศรษฐกิจซบเซา และภาวะผันผวนจากราคาน้ำมัน ส่วนการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้ของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งสินค้าราคาถูกจากจีน และสินค้าแบรนด์เนมดังจากยุโรป ไทยจึงควรมีมาตรการรองรับสินค้าคุณภาพต่ำที่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคการผลิตของไทย
อาหาร ในปี 2548 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารคาดว่า จะมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณร้อยละ 10 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมข้าว) มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากปี 2547 (10 เดือน) ร้อยละ 8.3 หรือมีการส่งออกเป็นมูลค่า 264,394 ล้านบาท (6,610 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยคาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ทั้งสิ้น 320,881 ล้านบาท (8,022 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 สินค้าอาหารส่วนใหญ่สามารถส่งออกในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารปี 2549 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารจะยังคงเพิ่มขึ้นจากปี 2548 โดยมีปัจจัยต่างๆ สนับสนุน เช่น การได้คืนสิทธิ GSP ในสินค้ากุ้งจากสหภาพยุโรป และการประกาศการตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐ เป็นต้น
ไม้และเครื่องเรือน ในปี 2548 สภาวะของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยโดยรวมชะลอตัวลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปี 2547 ทั้งนี้เป็นไปตามภาวะตลาด ต้นทุนการผลิตได้ปรับตัวขึ้นจากราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก รวมถึงการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ อย่างไรก็ตามอุปสงค์ของตลาดต่างประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่สำคัญ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เครื่องเรือนไม้ของไทยโดยเฉพาะที่ทำจากไม้ยางพาราเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้การที่จีนปรับค่าเงินหยวนให้สูงขึ้นและถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดก็ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยสำหรับแนวโน้มในปี 2549 การแข่งขันในสาขาอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนจะทวีความรุนแรงขึ้นในตลาดที่สามของไทย ทั้งนี้จีนและเวียดนามจะแย่งส่วนแบ่งตลาดโลก เนื่องจากสามารถผลิตสินค้าที่มีปริมาณมากและมีต้นทุนต่ำออกมาแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีความได้เปรียบอยู่ทางด้านวัตถุดิบ ความชำนาญ และคุณภาพ อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยมีสัดส่วนการสร้างมูลค่าภายในประเทศสูง เป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีโอกาสในการขยายตัวสูง
ผลิตภัณฑ์ยาง สำหรับในปี 2548 อุตสาหกรรมยางพาราของไทยยังคงอยู่ในภาวะการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามตลาดโลกที่ยังคงมีปริมาณความต้องการใช้ยางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศจีน ที่ยังใช้ยางในปริมาณมากเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่สูง ทำให้ยางสังเคราะห์ที่ทำมาจากน้ำมันเป็นหลักยังคงมีราคาอยู่ในระดับสูง โดยปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 1.85 เหรียญสหรัฐ/กิโลกรัม ในขณะที่ราคาส่งออกยางพาราของไทย (เอฟโอบี) อยู่ที่ 1.60 เหรียญสหรัฐ/กิโลกรัม เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคายางธรรมชาติสูงตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม จากราคายางขั้นต้นที่ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผลิตภัณฑ์ยางในประเทศค่อนข้างสูง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ยางที่ผลิตจากน้ำยางขั้นต้น (ยางขาว) ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะมาเลเซียและอินโดนีเซียลดลง
สำหรับอุตสาหกรรมยางพาราโดยรวมในปี 2549 คาดว่าจะมีแนวโน้มการขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เปรียบเทียบกับปี 2548 ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่และยุทธศาสตร์ยางพาราปี 2549 — 2551 โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ
เยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ในปี 2548 ภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แต่สำหรับอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสารคนจึงสนใจศึกษาหาความรู้มากขึ้น อีกทั้งยุคนี้นิยมหันมาเลือกใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษแทนพลาสติกมากขึ้นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้มีความต้องการใช้เยื่อและกระดาษเพิ่มขึ้น สำหรับทิศทางอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ของประเทศไทย ในปี 2549 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เนื่องจากมีหลายปัจจัยสนับสนุน เช่น นโยบายรัฐบาล การบริหารประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์กลุ่มอุตสาหกรรมตามกรอบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะ 4 ปี (2548-2551) โดยอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ต้องดำเนินการเพื่อการเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ (Printing Hub) ในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2557 เป็นต้น
ยา ในปี 2548 ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมปี 2548 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ดีขึ้น และเพิ่มกำลังการผลิต สำหรับปริมาณการจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนไทยให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งการดำเนินโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐมีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศ อย่างไรก็ตามการแข่งขันด้านราคายังมีสูง สำหรับมูลค่าการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดส่งออกหลัก คือ ประเทศในแถบอาเซียนสำหรับในปี 2549 คาดว่าปริมาณการผลิตและการจำหน่ายยาในประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชาชนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้การดำเนินนโยบายสาธารณสุขของภาครัฐ ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยา สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตรวมถึงภาครัฐบาลพยายามขยายตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น ศรีลังกา ด้านมูลค่าการนำเข้า คาดว่าการนำเข้ายาที่มีสิทธิบัตรสำหรับโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการบริโภคยาในปริมาณมากนั้น คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ปี 2548 ภาวะอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยรวมมีการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2547 เป็นไปตามภาวะตลาดโลกโดยเฉพาะตลาดส่งออกที่สำคัญๆ เช่นสหรัฐอเมริกาทั้งนี้เสื้อผ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ ของไทยยังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องของตลาดต่างประเทศ เนื่องจากจีนยังถูกจำกัดโควตาสิ่งทอจากตลาดใหญ่ของโลก ทำให้ออเดอร์สินค้าส่วนใหญ่เข้ามาไทย สำหรับแนวโน้มปี 2549 การแข่งขันในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าจีน และเวียดนาม จะยังสามารถผลิตสินค้าด้วยต้นทุนต่ำกว่า แต่ไทยยังมีความได้เปรียบด้านคุณภาพการผลิตและฝีมือที่มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก คาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่าปี 2548 ซึ่งขณะนี้ไทยเป็นผู้นำตลาดเสื้อผ้าในเอเชียและในตลาดเอเซียน และยังมีการรวมกลุ่มทางการค้า การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ หรือมาตรการภาครัฐที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางแฟชั่นในภูมิภาค ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยสามารถขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปี 2548 ที่ผ่านมา
ปูนซีเมนต์ การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ใน ปี 2548 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการลงทุนในโครงการก่อสร้างภาครัฐและรัฐวิสาหกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับการก่อสร้างภาคเอกชนมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในโครงการก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารที่ใช้ประโยชน์เพื่อการพาณิชย์ สำหรับตลาดต่างประเทศ การส่งออกปูนซีเมนต์ในปี 2548 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญกระเตื้องขึ้น สำหรับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม บังคลาเทศ กัมพูชา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สำหรับในปี 2549 คาดว่าการเติบโตของธุรกิจการก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยยังชะลอตัวลง เนื่องจากภาวะกำลังซื้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เอื้ออำนวยต่อการซื้อที่อยู่อาศัยน้อยลงกว่าในระยะปีที่ผ่านมา
ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ การผลิตและจำหน่ายเซรามิกที่ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจะชะลอตัวลง และผู้ผลิตเซรามิกจะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม แต่การผลิตเซรามิกสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้จากการส่งออก ในขณะที่การจำหน่ายเซรามิกในประเทศยังสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้จากกลุ่มผู้ซื้อเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัย และซ่อมแซมบ้านเก่า สำหรับการผลิตเซรามิกมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากผู้ผลิตเซรามิกสามารถขยายเป้าหมายการส่งออก และหาตลาดต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การจำหน่ายเซรามิกในประเทศเริ่มมีแนวโน้มลดลงจากผลกระทบของภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ชะลอตัวลง ในส่วนของการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกยังคงมีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มที่ดีโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์
อัญมณีและเครื่องประดับ การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับใน ปี 2548 คาดว่ามีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 20 เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกไปยังตลาดหลักมีอัตราเพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่มีอัตราส่งออกเพิ่มขึ้นสูงสุดจากปีที่แล้วคือ ไข่มุก และเครื่องประดับแท้ที่ทำจากโลหะมีค่าที่ไม่ใช่ทองและเงิน ประเทศที่เป็นตลาดหลักของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ 5 อันดับแรกได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ฮ่องกง เบลเยี่ยม และ ญี่ปุ่น ในปี 2549 แนวโน้มตลาดของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับยังคงมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุน เช่น สภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันทำให้ความต้องการถือครองทองคำสูงขึ้นเพื่อรักษาค่าเงิน และการซื้อเพื่อการเก็งกำไร ทำให้อุปสงค์ของสินค้าประเภททองคำและหินมีค่ามีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องไปยังปีหน้า
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง และความต้องการบริโภคทั้งในจีนและสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในระดับปานกลางอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเอเชียบ้าง แต่ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นและยุโรปที่ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ควรจะต้องตระหนัก คือ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และมาตรการควบคุมทางการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อดังกล่าว
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2548 จากการประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ประชาชาติรายไตรมาสของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 5.3 เทียบกับร้อยละ 4.6 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 และร้อยละ 6.0 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547
เศรษฐกิจในปี 2549 คาดว่า GDP จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.7 — 5.7 โดยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจในปี 2548 มีปัจจัยบวกด้านการลงทุน การฟื้นตัวอย่างเต็มที่มากขึ้นของการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายครัวเรือนซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการจ้างงานและเงินเดือนทั้งของภาคเอกชนและภาครัฐที่สูงขึ้น ในขณะที่แรงกดดันอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี สำหรับการส่งออกยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง และแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2548 จะเป็นข้อจำกัดของการใช้จ่ายในครัวเรือนและมีผลต่อการลงทุนของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ การระบาดของไข้หวัดนก และอุบัติภัยต่างๆ ยังนับเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่ต้องระมัดระวัง ทั้งนี้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2549 จะเท่ากับร้อยละ 3.5-4.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลประมาณร้อยละ 2.2-2.7 ของ GDP
สำหรับภาคอุตสาหกรรม จากรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 53 กลุ่ม
พบว่า ในช่วงเดือนมกราคม — ตุลาคม 2548 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปี 2547 ประมาณร้อยละ 7.8 ซึ่งดัชนีเฉลี่ยทั้ง 10 เดือน ในปี 2548 มีค่า 149.01 และในปี 2547 มีค่า 138.22 โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ
อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วงเดือนมกราคม — ตุลาคม 2548 มีค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547
เมื่อพิจารณาทั้งปีจะพบว่าในปี 2548 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ประมาณร้อยละ 6.7 สำหรับแนวโน้มปี 2549 คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังคงมีปัจจัยสนับสนุนบางประการ เช่น เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวอย่างน้อยในอัตราร้อยละ 3 ซึ่งจะสนับสนุนการส่งออกให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ปริมาณการค้าโลกที่ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นจะช่วยให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำแม้ว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สถานการณ์การค้าต่างประเทศในปี 2548 การค้าของไทยในเดือน ม.ค.-ต.ค. 2548 มีมูลค่า 190,783.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.04 แยกเป็นการส่งออกมูลค่า 91,595.09 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.26 การนำเข้ามีมูลค่า 99,188.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.93 ไทยเสียเปรียบดุลการค้า เป็นมูลค่า 7,593.32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกในปี 2548 ที่มูลค่า 115,837 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในส่วนของการลงทุนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2548 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 555,000 ล้านบาท จากมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 700,000 ล้านบาท
สรุปภาวะอุตสาหกรรมในแต่ละสาขา
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ภาวะทั่วไปของอุตสาหกรรมโดยรวมในปี 2548 โดยรวมน่าจะปรับเพิ่มได้เล็กน้อยจากปี 2547 เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกมีความต้องการลดลงค่อนข้างมากสาเหตุจากปัจจัยลบต่างๆ เช่นราคาน้ำมันที่ผันผวนและอัตราดอกเบี้ยในประเทศต่างๆทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์การก่อการร้ายและความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดของไทยและในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปีความกังวลจากปัจจัยต่างๆเริ่มผ่อนคลายลง ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการคอมพิวเตอร์และConsumer Electronic ของโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2549 คาดว่าอุตสาหกรรมนี้จะสามารถส่งออกได้ถึง 1.5 ล้านล้านบาท เติบโตร้อยละ 11.0 จากปี 2548
เคมีภัณฑ์
ปี 2548 การนำเข้าเคมีภัณฑ์เมื่อเทียบกับปี 2547 มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20.32 สำหรับการส่งออกเคมีภัณฑ์เมื่อเทียบกับปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.14 และในช่วงที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ในตลาดโลกมีการแข่งขันค่อนข้างสูง คาดว่าในอนาคตจะมีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะจีนซึ่งมีความได้เปรียบด้านการผลิตและมีต้นทุนที่ต่ำกว่าไทย นอกจากนี้คู่แข่งที่สำคัญของไทยได้แก่ สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกาหลี ซึ่งประเทศเหล่านี้มีความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยีการผลิตมีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านวัตถุดิบที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต ในขณะที่ประเทศไทยมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นประเทศไทยจึงควรหันมาใช้กลยุทธ์ทางด้านอื่นอาทิเช่น การลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต การส่งมอบสินค้า และ ขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ เป็นต้น
ปิโตรเคมี ในปี 2548 อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังอยู่ในช่วงภาวะขาขึ้น เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทที่ทำธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงที่ผ่านมา ล้วนปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแทบทุกประเภทปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ก่อสร้าง และปุ๋ยเพื่อการเกษตร ฯลฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศและในตลาดโลก นอกจากการเพิ่มสูงขึ้นของความต้องการใช้แล้ว การที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นก็เป็นผลพลอยได้ให้อุตสาหกรรม ปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาขึ้นได้ยาวนานต่อเนื่องอีก 2-3 ปี
เหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กโดยรวมในปี 2548 ทรงตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะการค้าภายในประเทศที่ทรงตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับทิศทางการปรับตัวของสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกยังไม่แน่นอน จึงมีผลทำให้ผู้ซื้อชะลอการสั่งซื้อเพื่อรอการนิ่งของราคา
แนวโน้มสถานการณ์เหล็กโดยรวมในประเทศในปี 2549 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นในส่วนของเหล็กทรงยาวเนื่องจากโครงการเมกะโปรเจ็คส์ของทางภาครัฐที่จะกระตุ้นให้ธุรกิจก่อสร้างขยายตัวมากขึ้น สำหรับเหล็กทรงแบนคาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่พึงระวังเกี่ยวกับสถานการณ์เหล็กของประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันประสบปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งรัฐบาลจีนได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ โดยการกำหนดนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศ เช่นนโยบายในการส่งเสริมให้เกิดการควบรวมกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งนี้ จะต้องใช้ระยะเวลาที่จะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งอาจมีผลทำให้ประเทศจีนส่งออกเหล็กด้อยคุณภาพเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย
ยานยนต์ ในปี 2548 ความต้องการยานยนต์จากตลาดต่างประเทศยังคงมีมาก ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2549 คาดว่า ในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ยังอยู่ในช่วงของการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน จากญี่ปุ่นมายังไทย ทำให้มีการผลิตและส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น สำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน ซึ่งมีทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ และการเปลี่ยน Model ใหม่ ที่เป็นไปตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น สำหรับ
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ตลาดในประเทศจะขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ด้านตลาดส่งออกก็ยังมีลู่ทางที่ดี โดยเฉพาะตลาดในอาเซียนยังคงมีการขยายตัวสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มี
แนวโน้มของการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วยโดยเฉพาะคู่แข่งจากประเทศจีน ซึ่งผู้ผลิตส่งออกจักรยานยนต์ของไทยก็มีความพร้อมที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ มาตรฐานที่สูงกว่า และแสวงหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ ที่จะนำเสนอสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดได้มากขึ้น
ผลิตภัณฑ์พลาสติก ในปี 2548 ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกต้องประสบกับปัญหาต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตมีต้นทุนสูงอันเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เม็ดพลาสติกคุณภาพดีซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศมีการเก็บภาษีนำเข้าสูง ค่าระวางสูงทำให้เสียเปรียบในการส่งออกไปยังประเทศที่มีระยะทางห่างไกล การผลิตแม่พิมพ์ยังมีประสิทธิภาพต่ำและต้นทุนการผลิตสูง ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนส่งกระทบทางด้านลบต่ออุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก โดยในปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.98 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.54 เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับแนวโน้มปี 2549 คาดว่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกจะยังคงเผชิญสภาวะการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง ซึ่งจากที่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกราคาถูกจากประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ทำให้ผู้ประกอบการภายในประเทศได้รับความเดือดร้อน ซึ่งประเทศไทยยังไม่ค่อยมีบทบาทในเชิงรุกในการกำหนดนโยบายตอบโต้การทุ่มตลาดเท่าใดนัก อีกทั้งการเปิดเขตเสรีทางการค้าจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้โครงสร้างอุตสาหกรรมพลาสติกของไทยยังอ่อนแออยู่ ดังนั้นอุตสาหกรรมพลาสติกจึงควรจะต้องมีนโยบายอย่างชัดเจนคือ จะต้องผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าและมีการส่งเสริมการส่งออกให้มากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาการผลิตให้สามารถผลิตสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ราคาดีขึ้น และ ลดต้นทุนในการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
รองเท้าและผลิตภัณฑ์หนัง ในปี 2548 ภาวการณ์การผลิตเมื่อเทียบกับปีก่อนลดลงใน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ ดัชนีผลหนังฟอกและตกแต่ง และ ดัชนีผลผลิตกระเป๋าฯ ลดลงร้อยละ 4.3 และ 0.3 หนังฟอกและตกแต่งลดลงเนื่องจากดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และดัชนีการส่งสินค้าลดลง จากภาวะตลาดภายในประเทศที่ซบเซาและมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในส่วนของหนังตกแต่งสำเร็จ ดัชนีการผลิตกระเป๋าลดลงเนื่องจากการส่งออกลดลงและมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับดัชนีการผลิตรองเท้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 เนื่องจากการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับในปี 2549 คาดว่าการผลิตสินค้ารองเท้าและเครื่องหนังจะมีแนวโน้มที่ลดลงเนื่องจากตลาดนำเข้าหลักของไทยมีภาวะเศรษฐกิจซบเซา และภาวะผันผวนจากราคาน้ำมัน ส่วนการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้ของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งสินค้าราคาถูกจากจีน และสินค้าแบรนด์เนมดังจากยุโรป ไทยจึงควรมีมาตรการรองรับสินค้าคุณภาพต่ำที่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคการผลิตของไทย
อาหาร ในปี 2548 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารคาดว่า จะมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณร้อยละ 10 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมข้าว) มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากปี 2547 (10 เดือน) ร้อยละ 8.3 หรือมีการส่งออกเป็นมูลค่า 264,394 ล้านบาท (6,610 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยคาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ทั้งสิ้น 320,881 ล้านบาท (8,022 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 สินค้าอาหารส่วนใหญ่สามารถส่งออกในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารปี 2549 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารจะยังคงเพิ่มขึ้นจากปี 2548 โดยมีปัจจัยต่างๆ สนับสนุน เช่น การได้คืนสิทธิ GSP ในสินค้ากุ้งจากสหภาพยุโรป และการประกาศการตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐ เป็นต้น
ไม้และเครื่องเรือน ในปี 2548 สภาวะของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยโดยรวมชะลอตัวลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปี 2547 ทั้งนี้เป็นไปตามภาวะตลาด ต้นทุนการผลิตได้ปรับตัวขึ้นจากราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก รวมถึงการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ อย่างไรก็ตามอุปสงค์ของตลาดต่างประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่สำคัญ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เครื่องเรือนไม้ของไทยโดยเฉพาะที่ทำจากไม้ยางพาราเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้การที่จีนปรับค่าเงินหยวนให้สูงขึ้นและถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดก็ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยสำหรับแนวโน้มในปี 2549 การแข่งขันในสาขาอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนจะทวีความรุนแรงขึ้นในตลาดที่สามของไทย ทั้งนี้จีนและเวียดนามจะแย่งส่วนแบ่งตลาดโลก เนื่องจากสามารถผลิตสินค้าที่มีปริมาณมากและมีต้นทุนต่ำออกมาแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีความได้เปรียบอยู่ทางด้านวัตถุดิบ ความชำนาญ และคุณภาพ อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยมีสัดส่วนการสร้างมูลค่าภายในประเทศสูง เป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีโอกาสในการขยายตัวสูง
ผลิตภัณฑ์ยาง สำหรับในปี 2548 อุตสาหกรรมยางพาราของไทยยังคงอยู่ในภาวะการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามตลาดโลกที่ยังคงมีปริมาณความต้องการใช้ยางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศจีน ที่ยังใช้ยางในปริมาณมากเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่สูง ทำให้ยางสังเคราะห์ที่ทำมาจากน้ำมันเป็นหลักยังคงมีราคาอยู่ในระดับสูง โดยปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 1.85 เหรียญสหรัฐ/กิโลกรัม ในขณะที่ราคาส่งออกยางพาราของไทย (เอฟโอบี) อยู่ที่ 1.60 เหรียญสหรัฐ/กิโลกรัม เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคายางธรรมชาติสูงตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม จากราคายางขั้นต้นที่ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผลิตภัณฑ์ยางในประเทศค่อนข้างสูง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ยางที่ผลิตจากน้ำยางขั้นต้น (ยางขาว) ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะมาเลเซียและอินโดนีเซียลดลง
สำหรับอุตสาหกรรมยางพาราโดยรวมในปี 2549 คาดว่าจะมีแนวโน้มการขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เปรียบเทียบกับปี 2548 ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่และยุทธศาสตร์ยางพาราปี 2549 — 2551 โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ
เยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ในปี 2548 ภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แต่สำหรับอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสารคนจึงสนใจศึกษาหาความรู้มากขึ้น อีกทั้งยุคนี้นิยมหันมาเลือกใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษแทนพลาสติกมากขึ้นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้มีความต้องการใช้เยื่อและกระดาษเพิ่มขึ้น สำหรับทิศทางอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ของประเทศไทย ในปี 2549 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เนื่องจากมีหลายปัจจัยสนับสนุน เช่น นโยบายรัฐบาล การบริหารประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์กลุ่มอุตสาหกรรมตามกรอบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะ 4 ปี (2548-2551) โดยอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ต้องดำเนินการเพื่อการเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ (Printing Hub) ในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2557 เป็นต้น
ยา ในปี 2548 ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมปี 2548 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ดีขึ้น และเพิ่มกำลังการผลิต สำหรับปริมาณการจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนไทยให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งการดำเนินโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐมีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศ อย่างไรก็ตามการแข่งขันด้านราคายังมีสูง สำหรับมูลค่าการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดส่งออกหลัก คือ ประเทศในแถบอาเซียนสำหรับในปี 2549 คาดว่าปริมาณการผลิตและการจำหน่ายยาในประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชาชนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้การดำเนินนโยบายสาธารณสุขของภาครัฐ ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยา สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตรวมถึงภาครัฐบาลพยายามขยายตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น ศรีลังกา ด้านมูลค่าการนำเข้า คาดว่าการนำเข้ายาที่มีสิทธิบัตรสำหรับโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการบริโภคยาในปริมาณมากนั้น คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ปี 2548 ภาวะอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยรวมมีการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2547 เป็นไปตามภาวะตลาดโลกโดยเฉพาะตลาดส่งออกที่สำคัญๆ เช่นสหรัฐอเมริกาทั้งนี้เสื้อผ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ ของไทยยังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องของตลาดต่างประเทศ เนื่องจากจีนยังถูกจำกัดโควตาสิ่งทอจากตลาดใหญ่ของโลก ทำให้ออเดอร์สินค้าส่วนใหญ่เข้ามาไทย สำหรับแนวโน้มปี 2549 การแข่งขันในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าจีน และเวียดนาม จะยังสามารถผลิตสินค้าด้วยต้นทุนต่ำกว่า แต่ไทยยังมีความได้เปรียบด้านคุณภาพการผลิตและฝีมือที่มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก คาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่าปี 2548 ซึ่งขณะนี้ไทยเป็นผู้นำตลาดเสื้อผ้าในเอเชียและในตลาดเอเซียน และยังมีการรวมกลุ่มทางการค้า การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ หรือมาตรการภาครัฐที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางแฟชั่นในภูมิภาค ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยสามารถขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปี 2548 ที่ผ่านมา
ปูนซีเมนต์ การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ใน ปี 2548 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการลงทุนในโครงการก่อสร้างภาครัฐและรัฐวิสาหกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับการก่อสร้างภาคเอกชนมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในโครงการก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารที่ใช้ประโยชน์เพื่อการพาณิชย์ สำหรับตลาดต่างประเทศ การส่งออกปูนซีเมนต์ในปี 2548 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญกระเตื้องขึ้น สำหรับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม บังคลาเทศ กัมพูชา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สำหรับในปี 2549 คาดว่าการเติบโตของธุรกิจการก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยยังชะลอตัวลง เนื่องจากภาวะกำลังซื้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เอื้ออำนวยต่อการซื้อที่อยู่อาศัยน้อยลงกว่าในระยะปีที่ผ่านมา
ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ การผลิตและจำหน่ายเซรามิกที่ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจะชะลอตัวลง และผู้ผลิตเซรามิกจะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม แต่การผลิตเซรามิกสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้จากการส่งออก ในขณะที่การจำหน่ายเซรามิกในประเทศยังสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้จากกลุ่มผู้ซื้อเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัย และซ่อมแซมบ้านเก่า สำหรับการผลิตเซรามิกมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากผู้ผลิตเซรามิกสามารถขยายเป้าหมายการส่งออก และหาตลาดต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การจำหน่ายเซรามิกในประเทศเริ่มมีแนวโน้มลดลงจากผลกระทบของภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ชะลอตัวลง ในส่วนของการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกยังคงมีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มที่ดีโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์
อัญมณีและเครื่องประดับ การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับใน ปี 2548 คาดว่ามีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 20 เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกไปยังตลาดหลักมีอัตราเพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่มีอัตราส่งออกเพิ่มขึ้นสูงสุดจากปีที่แล้วคือ ไข่มุก และเครื่องประดับแท้ที่ทำจากโลหะมีค่าที่ไม่ใช่ทองและเงิน ประเทศที่เป็นตลาดหลักของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ 5 อันดับแรกได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ฮ่องกง เบลเยี่ยม และ ญี่ปุ่น ในปี 2549 แนวโน้มตลาดของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับยังคงมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุน เช่น สภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันทำให้ความต้องการถือครองทองคำสูงขึ้นเพื่อรักษาค่าเงิน และการซื้อเพื่อการเก็งกำไร ทำให้อุปสงค์ของสินค้าประเภททองคำและหินมีค่ามีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องไปยังปีหน้า
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-