'ยุทธพงศ์' ชี้ พบพิรุธนำรถดับเพลิงตกรุ่น เคยขายให้ตำรวจดับเพลิงปีที่แล้วมาส่งให้ กทม. รถมิตซูราคาเกินจริงคันละ 4 ล้าน 2 แสน พบหลักฐาน มัด ‘เสี่ยประชา รมช.กระทรวงมหาดไทย’ มีเอี่ยวซื้อรถดับเพลิงฉาว ที่สมัครแจงสัญญาทาสที่เซ็นให้ฝรั่ง ประชาธิปัตย์ออกโรงให้ผู้ว่าอภิรักษ์ไม่รับรถดับเพลิงพร้อมชี้ช่องยกเลิกสัญญา สัปดาห์ยุทธพงษ์ เตรียมเข้าพบทูตออสเตรียหารือสัญญาเอาเปรียบประเทศไทย
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจัดซื้อรถดับเพลิง ของกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6,687 ล้านบาท จากประเทศออสเตรีย พบความไม่ชอบมาพากลเพิ่มอีกคือมีการนำรถดับเพลิงสไตเออร์ ตกรุ่นที่ขายไม่ออกแล้วมาส่งมอบขายให้กรุงเทพมหานคร ราคาคันละ 18.4 ล้านบาท เป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษี แต่พบว่ารถดับเพลิงที่ส่งให้เป็นรุ่นเก่าที่เคยขายให้ตำรวจดับเพลิงของไทย เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ในสัญญากลับบอกว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดส่งยุโรป รูปรถดับเพลิงรูปแรกเป็นรูปรถดับเพลิงที่ท่าเรือแหลมฉบัง ถ้าสังเกตให้ดีบอดี้ของรถยนต์ สไตเออร์ ดูลักษณะไฟ ลักษณะหัวเก๋ง ดูกระจกมองหลัง อันนี้เป็นรถใหม่ล่าสุดที่เพิ่งส่งมาถึงท่าเรือแหลมฉบังเมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา พบว่าเป็นรถรุ่นเก่าที่ตกรุ่นขายไม่ออก นำมาขายให้ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง พร้อมเปรียบเทียบรูปรถดับเพลิงที่ถ่ายมาจากสถานีดับเพลิงดุสิต ซึ่งได้รับมาเมื่อปี 2540 มีลักษณะเหมือนกัน ตั้งแต่ไฟหน้า ไฟเลี้ยว หัวเก๋ง บอดี้ ที่ปัดน้ำฝน ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการทุจริตอย่างมโหฬารในการสั่งซื้อรถดับเพลิงราคาเกือบ 20 ล้าน แต่ปรากฎว่าเป็นรถดับเพลิงเก่าที่เคยขายให้กับประเทศไทยเมื่อปี 40 มาส่งให้อีกครั้งหนึ่ง
ความไม่ชอบมาพากลลำดับต่อไปคือเมื่อนำสเปครถดับเพลิง ปิคอัพ ยี่ห้อมิตซูบิชิ สตราด้า ที่ไปตรวจที่ท่าเรือแหลมฉบัง มาถอดราคา พบว่ามีต้นทุนเพียงคันละ 2.6 ล้านบาท เป็นราคารวมภาษีแล้ว ขณะที่กรุงเทพมหานครจัดซื้อในราคาคันละ 8 ล้าน ผลต่างราคาถึง 4.2 ล้านบาท แสดงให้เห็นชัดว่ามีการทุจริตอย่างแน่นอน ในเอกสารประกอบได้แจกแจงรายละเอียดอุปกรณ์ต่าง ๆ 25 รายการ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้สามารถจัดซื้อได้ในราคารวมเสียภาษีในราคา 2.6 ล้านบาท ในขณะที่กรุงเทพมหานครต้องซื้อในราคารวมภาษีแล้วถึง 6.8 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่ามีผลต่าง และก็หมายถึงจะต้องมีการทุจริตขึ้นอย่างแน่นอนเพราะซื้อของแพง
เรื่องรถดับเพลิงของกทม. ที่ทางพรรคไทยรักไทยกล่าวโทษนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.นั้น ตนเห็นว่าหากผู้ว่ากทม. ผิด นายประชา มาลีนนท์ รมช.มหาดไทย ที่ชอบไปตรวจคลับ ตรวจบาร์ ในขณะนั้นต้องผิดมากกว่า เพราะว่านายประชา เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ว่าฯ และเป็นคนสั่งให้ผู้ว่าฯ อภิรักษ์ เปิด L/C โดยนายประชา ส่อพิรุธในการสั่งซื้อรถดับเพลิงครั้งนี้ ดังต่อไปนี้ พิรุธข้อที่ 1. เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2547 บริษัทสไตเออร์ เป็นสปอนเซอร์พาผู้บริหารระดับสูงของกทม. ไปทัวร์ที่ประเทศออสเตรีย ซึ่งสงสัยน่าจะเข้าข่ายรับสินบน พิรุธข้อที่ 2. 7 ก.ค.2547 นายประชา มาลีนนท์ รมช.กระทรวงมหาดไทย กำกับดูแลกทม. มาประชุมร่วมกับ นายสมัคร สุนทรเวช ที่ศาลาว่าการกทม. และเห็นพ้องร่วมกันว่าจะซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงเนื่องจากผลิตในประเทศไม่ได้ ตนขอตั้งข้อสังเกตเรื่องการผลิตที่ว่าไม่สามารถผลิตในประเทศไทยได้นั้นเป็นการหลอกลวง ครม. หรือไม่ เพราะสุดท้ายเป็นรถมิตซูบิชิที่ทำในประเทศไทย และเรือดับเพลิงก็ทำที่พัทยา พิรุธข้อที่ 3. 16 ก.ย. 2547 นายประชา มาลีนนท์ หลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบความจริง ที่ตนขณะนั้นเป็นส.ส. ได้ตั้งกระทู้ถามในสภาว่าใครเป็นคนจ่ายภาษีศุลกากร และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยนายประชา อ้างว่าไม่ทราบทั้ง ๆ ที่ เป็นเรื่องใหญ่ที่ตนเองต้องทราบ จึงส่งผลให้กรุงเทพมหานครต้องเสียค่าโง่อีก 1,200 ล้านบาท หมายความว่า รถดับเพลิงฉาวคันนี้ยังต้องมีราคาแพงเพิ่มขึ้นอีก 1,200 ล้านบาท พิรุธข้อที่ 4. 16 ธ.ค. 2547 นายประชา มาลีนนท์ มีหนังสือด่วนที่สุดที่ ม.ค. 0100/015392 ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2547 ถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งให้ผู้ว่ากทม. ต้องดำเนินการเปิด L/C ให้กับบริษัทสไตเออร์ เดมเลอร์ จำกัด โดยทันทีเพื่อบริษัทจะได้ดำเนินการตามสัญญาของการจัดซื้อ ทั้งที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มีหนังสือไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อขอให้ทบทวนเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2547 หมายถึงว่าผู้ว่ากทม.ไม่มีความประสงค์จะซื้อแต่คนที่อยากซื้อรถดับเพลิงคือนายประชา พร้อมกันนี้ตนขอเรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ทำคดีอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
นอกจากนี้ในสัปดาห์ตน จะเดินทางเพื่อเข้าพบเอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยเพื่อสอบถามถึงการค้าของประเทศออสเตรียซึ่งเอาเปรียบประเทศไทย และขอรายละเอียดเพิ่มเติมการซื้อขายครั้งนี้ซึ่งเป็น GtoG อีกด้วย พร้อมทั้งขอเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ออกมาชี้แจงถึงการเซ็นสัญญาที่ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ ได้เซ็นสัญญาที่เสียเปรียบฝรั่งมากจนมีข้าราชการระดับสูงของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. มาบอกว่าสัญญาซื้อขายฉบับนี้เปรียบเสมือนการเซ็นสัญญาทาสกับฝรั่ง ที่ประเทศไทยไม่สามารถต่อรองทางการค้าได้ ในเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนที่ชัดเจนที่จะให้ นายอภิรักษ์ ผู้ว่าฯไม่รับรถดับเพลิงจำนวน 176 คันเพราะเป็นรถดับเพลิงที่มีราคาแพงเกินจริง เป็นการปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน และขอให้นาย อภิรักษ์ ยกเลิกสัญญาทาสฉบับนี้เพราะผู้ขายทำผิดสัญญา ข้อ 1.2 บอกว่าผู้ขายรับรองว่าสิ่งของที่ซื้อขายกันดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งของที่ผลิต ณ โรงงานของผู้ขายและเป็นของใหม่ ซึ่งตรงนี้ชัดเจนว่าทางบริษัท สไตเออร์ไม่ได้นำของใหม่มาส่งให้ประเทศไทย นอกจากนี้ยังเอาของราคาแพงมาขายให้ประเทศไทยอีกด้วย ดังนั้นการที่ผู้ขายส่งของเก่ามาให้ กทม. จึงเป็นช่องให้กทม. มีสิทธิ์จะไม่รับของได้ และผู้ขายได้ทำผิดสัญญา
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ก.พ. 2549--จบ--
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจัดซื้อรถดับเพลิง ของกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6,687 ล้านบาท จากประเทศออสเตรีย พบความไม่ชอบมาพากลเพิ่มอีกคือมีการนำรถดับเพลิงสไตเออร์ ตกรุ่นที่ขายไม่ออกแล้วมาส่งมอบขายให้กรุงเทพมหานคร ราคาคันละ 18.4 ล้านบาท เป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษี แต่พบว่ารถดับเพลิงที่ส่งให้เป็นรุ่นเก่าที่เคยขายให้ตำรวจดับเพลิงของไทย เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ในสัญญากลับบอกว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดส่งยุโรป รูปรถดับเพลิงรูปแรกเป็นรูปรถดับเพลิงที่ท่าเรือแหลมฉบัง ถ้าสังเกตให้ดีบอดี้ของรถยนต์ สไตเออร์ ดูลักษณะไฟ ลักษณะหัวเก๋ง ดูกระจกมองหลัง อันนี้เป็นรถใหม่ล่าสุดที่เพิ่งส่งมาถึงท่าเรือแหลมฉบังเมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา พบว่าเป็นรถรุ่นเก่าที่ตกรุ่นขายไม่ออก นำมาขายให้ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง พร้อมเปรียบเทียบรูปรถดับเพลิงที่ถ่ายมาจากสถานีดับเพลิงดุสิต ซึ่งได้รับมาเมื่อปี 2540 มีลักษณะเหมือนกัน ตั้งแต่ไฟหน้า ไฟเลี้ยว หัวเก๋ง บอดี้ ที่ปัดน้ำฝน ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการทุจริตอย่างมโหฬารในการสั่งซื้อรถดับเพลิงราคาเกือบ 20 ล้าน แต่ปรากฎว่าเป็นรถดับเพลิงเก่าที่เคยขายให้กับประเทศไทยเมื่อปี 40 มาส่งให้อีกครั้งหนึ่ง
ความไม่ชอบมาพากลลำดับต่อไปคือเมื่อนำสเปครถดับเพลิง ปิคอัพ ยี่ห้อมิตซูบิชิ สตราด้า ที่ไปตรวจที่ท่าเรือแหลมฉบัง มาถอดราคา พบว่ามีต้นทุนเพียงคันละ 2.6 ล้านบาท เป็นราคารวมภาษีแล้ว ขณะที่กรุงเทพมหานครจัดซื้อในราคาคันละ 8 ล้าน ผลต่างราคาถึง 4.2 ล้านบาท แสดงให้เห็นชัดว่ามีการทุจริตอย่างแน่นอน ในเอกสารประกอบได้แจกแจงรายละเอียดอุปกรณ์ต่าง ๆ 25 รายการ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้สามารถจัดซื้อได้ในราคารวมเสียภาษีในราคา 2.6 ล้านบาท ในขณะที่กรุงเทพมหานครต้องซื้อในราคารวมภาษีแล้วถึง 6.8 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่ามีผลต่าง และก็หมายถึงจะต้องมีการทุจริตขึ้นอย่างแน่นอนเพราะซื้อของแพง
เรื่องรถดับเพลิงของกทม. ที่ทางพรรคไทยรักไทยกล่าวโทษนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.นั้น ตนเห็นว่าหากผู้ว่ากทม. ผิด นายประชา มาลีนนท์ รมช.มหาดไทย ที่ชอบไปตรวจคลับ ตรวจบาร์ ในขณะนั้นต้องผิดมากกว่า เพราะว่านายประชา เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ว่าฯ และเป็นคนสั่งให้ผู้ว่าฯ อภิรักษ์ เปิด L/C โดยนายประชา ส่อพิรุธในการสั่งซื้อรถดับเพลิงครั้งนี้ ดังต่อไปนี้ พิรุธข้อที่ 1. เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2547 บริษัทสไตเออร์ เป็นสปอนเซอร์พาผู้บริหารระดับสูงของกทม. ไปทัวร์ที่ประเทศออสเตรีย ซึ่งสงสัยน่าจะเข้าข่ายรับสินบน พิรุธข้อที่ 2. 7 ก.ค.2547 นายประชา มาลีนนท์ รมช.กระทรวงมหาดไทย กำกับดูแลกทม. มาประชุมร่วมกับ นายสมัคร สุนทรเวช ที่ศาลาว่าการกทม. และเห็นพ้องร่วมกันว่าจะซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงเนื่องจากผลิตในประเทศไม่ได้ ตนขอตั้งข้อสังเกตเรื่องการผลิตที่ว่าไม่สามารถผลิตในประเทศไทยได้นั้นเป็นการหลอกลวง ครม. หรือไม่ เพราะสุดท้ายเป็นรถมิตซูบิชิที่ทำในประเทศไทย และเรือดับเพลิงก็ทำที่พัทยา พิรุธข้อที่ 3. 16 ก.ย. 2547 นายประชา มาลีนนท์ หลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบความจริง ที่ตนขณะนั้นเป็นส.ส. ได้ตั้งกระทู้ถามในสภาว่าใครเป็นคนจ่ายภาษีศุลกากร และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยนายประชา อ้างว่าไม่ทราบทั้ง ๆ ที่ เป็นเรื่องใหญ่ที่ตนเองต้องทราบ จึงส่งผลให้กรุงเทพมหานครต้องเสียค่าโง่อีก 1,200 ล้านบาท หมายความว่า รถดับเพลิงฉาวคันนี้ยังต้องมีราคาแพงเพิ่มขึ้นอีก 1,200 ล้านบาท พิรุธข้อที่ 4. 16 ธ.ค. 2547 นายประชา มาลีนนท์ มีหนังสือด่วนที่สุดที่ ม.ค. 0100/015392 ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2547 ถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งให้ผู้ว่ากทม. ต้องดำเนินการเปิด L/C ให้กับบริษัทสไตเออร์ เดมเลอร์ จำกัด โดยทันทีเพื่อบริษัทจะได้ดำเนินการตามสัญญาของการจัดซื้อ ทั้งที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มีหนังสือไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อขอให้ทบทวนเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2547 หมายถึงว่าผู้ว่ากทม.ไม่มีความประสงค์จะซื้อแต่คนที่อยากซื้อรถดับเพลิงคือนายประชา พร้อมกันนี้ตนขอเรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ทำคดีอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
นอกจากนี้ในสัปดาห์ตน จะเดินทางเพื่อเข้าพบเอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยเพื่อสอบถามถึงการค้าของประเทศออสเตรียซึ่งเอาเปรียบประเทศไทย และขอรายละเอียดเพิ่มเติมการซื้อขายครั้งนี้ซึ่งเป็น GtoG อีกด้วย พร้อมทั้งขอเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ออกมาชี้แจงถึงการเซ็นสัญญาที่ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ ได้เซ็นสัญญาที่เสียเปรียบฝรั่งมากจนมีข้าราชการระดับสูงของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. มาบอกว่าสัญญาซื้อขายฉบับนี้เปรียบเสมือนการเซ็นสัญญาทาสกับฝรั่ง ที่ประเทศไทยไม่สามารถต่อรองทางการค้าได้ ในเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนที่ชัดเจนที่จะให้ นายอภิรักษ์ ผู้ว่าฯไม่รับรถดับเพลิงจำนวน 176 คันเพราะเป็นรถดับเพลิงที่มีราคาแพงเกินจริง เป็นการปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน และขอให้นาย อภิรักษ์ ยกเลิกสัญญาทาสฉบับนี้เพราะผู้ขายทำผิดสัญญา ข้อ 1.2 บอกว่าผู้ขายรับรองว่าสิ่งของที่ซื้อขายกันดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งของที่ผลิต ณ โรงงานของผู้ขายและเป็นของใหม่ ซึ่งตรงนี้ชัดเจนว่าทางบริษัท สไตเออร์ไม่ได้นำของใหม่มาส่งให้ประเทศไทย นอกจากนี้ยังเอาของราคาแพงมาขายให้ประเทศไทยอีกด้วย ดังนั้นการที่ผู้ขายส่งของเก่ามาให้ กทม. จึงเป็นช่องให้กทม. มีสิทธิ์จะไม่รับของได้ และผู้ขายได้ทำผิดสัญญา
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ก.พ. 2549--จบ--