วันนี้(10 พ.ย.49)นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการแทรกแซงราคายางพารา เมื่อปี 2536-2538 ในช่วงรัฐบาลชวน 1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับตน ซึ่งขอเรียนให้ทราบว่าโครงการนี้เป็นโครงการแซกแทรงราคายางพาราในช่วงระยะเวลานั้นซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราคายางพาราตกต่ำมากเหลือกิโลละ 13 บาท รัฐบาลจึงต้องเข้าไปแทรกแซงราคายาง โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ไปรับซื้อยางจากเกษตรกรในกิโลละไม่ต่ำกว่า 17 บาท และก็มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งผมเป็นรัฐมนตรีช่วยอยู่ในขณะนั้นระบายยางไปยังต่างประเทศ โดยมีการตั้งคณะทำงานเพื่อขายยางพาราขึ้นมา 1 ชุด มีนายชัชวาลย์ สุกิจวนิช เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้นเป็นประธานคณะทำงาน ซึ่งโครงการก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะทำให้ราคายางสูงขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 42 บาท ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการสรุปโครงการในเวลาต่อมารวมกันเป็นเงินถึง 29,000 ล้านบาท ทำให้การส่งออกยางพารามีรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นรวมกัน 23,000 ล้านบาท และต่อมาเรื่องก็เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการปปป.ในขณะนั้น และปรากฎว่าคณะกรรมการปปป.ได้ตรวจสอบจนกระทั่งมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่มีการทุจริตใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับโครงการนี้
นายจุรินทร์ กล่าวว่าเมื่อคณะกรรมการปปป.เปลี่ยนไปเป็นคณะกรรมการปปช.ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่มีพฤติการร่ำรวยผิดปกติ แต่ในเวลาต่อมาเมื่อปี 2545 ก็ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดย พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งตนทำหน้าที่เป็นประธานวิปฝ่ายค้าน และกำลังยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาดำเนินการอีกในช่วงเวลาเดียวกันในที่สุดก็ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการปปช.อีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.ชัชจ์ ก็ได้ออกมากล่าวหาตนว่าทุจริตโครงการดังกล่าวโดยขายยางให้กับบริษัทไม่มีตัวตน ที่ฮ่องกง และนำมาสู่กรณีที่ตนได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับพล.ต.ท.ชัชจ์ในข้อหาหมิ่นประมาท และในที่สุดบัดนี้คดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2549 ซึ่งศาลพิพากษาว่าคำกล่าวของพล.ต.ท.ชัชจ์ เป็นคำกล่าวที่หมิ่นประมาทไม่เป็นความจริงเพราะตนไม่ได้กระทำผิกและทุจริตแต่อย่างใดทั้งสิ้น
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าเมื่อคดีมิ่นประมาทถึงที่สุดนี้จึงนำไปสู่กรณีที่ตนได้ไปฟ้องแพ่งต่อ พล.ต.ท.ชัชจ์เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 80 ล้านบาท โทษฐานทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และเกียรติคุณทางการเมือง โดยได้ไปยื่นฟ้องที่ศาลแพ่งรัชดา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลก็ประทับรับฟ้องแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องการส่งเรื่องเข้าคณะกรรมการปปช.ปรากฏว่าเรื่องก็ค้างคาอยู่จนในที่สุดคณะกรรมการปปช.ก็ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏเป็นข่าว ดังนั้นขอเรียนให้ทราบว่าความจริงเป็นเรื่องเดิม และเป็นเรื่องเดียวกับที่คณะกรรมการปปป. คณะกรรมการปปช. และศาลยุติธรรมได้เคยตัดสินมีคำพิพากษาออกมาแล้วว่าตนบริสุทธิ์ไม่ได้ทุจริตแต่อย่างใดทั้งสิ้น และตนก็กำลังดำเนินคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายกับผู้ที่กล่าวหาตนอยู่ในขณะนี้ “ที่พูดมานี้เพราะต้องการทำความเข้าใจ เพราะเกรงว่าประชาชนจะสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นอีก จึงต้องมีการหยิบยกขึ้นมา ซึ่งผมก็เข้าใจปปช.เพราะเรื่องค้างอยู่จึงจำเป็นต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบ ซึ่งผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรยินดี และอยากให้เรื่องยุติเสียที เพราะไม่อย่างนั้นก็ค้างคาอยู่อย่างนี้ ที่ผ่านมาก็ค้างอยู่หลายปี เพราะคณะกรรมการปปช.มีอันเป็นไป 2 ชุดติดกัน จึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่ปปช.จะดำเนินการให้ได้ข้อยุติ” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวว่าหากปปช.เรียนตนไปชี้แจงก็พร้อมที่จะไปไม่มีปัญหาอะไร เพราะมีเอกสารหลักฐานชัดเจนจากครั้งที่คณะกรรมการปปป.เคยยุติเรื่องไปแล้วว่าไม่มีการทุจริต และเอกสารที่ปปช.เคยตอบนายชัชวาลย์ว่า ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ เอกสารคดีถึงที่สุดกรณีพิพากษาว่าการที่ พล.ต.ท.ชัชจ์ กล่าวหาว่าตนทุจริตในโครงการนี้เป็นการหมิ่นประมาทไม่เป็นความจริง ซึ่งคงนำมาประกอบกันทั้งหมดเพื่อนำส่งให้ปปช.ต่อไป อย่างไรก็ตามไม่รู้สึกกังวลอะไร และคิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้ยุติ เพราะในทางการเมืองทำให้ตนเสียหายมาหลายปี และอาจทำให้ ประชาชนส่วนหนึ่งเข้าใจผิด ซึ่งในวันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ตนจะเดินทางไปยื่นเอกสารและข้อมูลกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 พ.ย. 2549--จบ--
นายจุรินทร์ กล่าวว่าเมื่อคณะกรรมการปปป.เปลี่ยนไปเป็นคณะกรรมการปปช.ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่มีพฤติการร่ำรวยผิดปกติ แต่ในเวลาต่อมาเมื่อปี 2545 ก็ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดย พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งตนทำหน้าที่เป็นประธานวิปฝ่ายค้าน และกำลังยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาดำเนินการอีกในช่วงเวลาเดียวกันในที่สุดก็ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการปปช.อีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.ชัชจ์ ก็ได้ออกมากล่าวหาตนว่าทุจริตโครงการดังกล่าวโดยขายยางให้กับบริษัทไม่มีตัวตน ที่ฮ่องกง และนำมาสู่กรณีที่ตนได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับพล.ต.ท.ชัชจ์ในข้อหาหมิ่นประมาท และในที่สุดบัดนี้คดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2549 ซึ่งศาลพิพากษาว่าคำกล่าวของพล.ต.ท.ชัชจ์ เป็นคำกล่าวที่หมิ่นประมาทไม่เป็นความจริงเพราะตนไม่ได้กระทำผิกและทุจริตแต่อย่างใดทั้งสิ้น
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าเมื่อคดีมิ่นประมาทถึงที่สุดนี้จึงนำไปสู่กรณีที่ตนได้ไปฟ้องแพ่งต่อ พล.ต.ท.ชัชจ์เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 80 ล้านบาท โทษฐานทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และเกียรติคุณทางการเมือง โดยได้ไปยื่นฟ้องที่ศาลแพ่งรัชดา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลก็ประทับรับฟ้องแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องการส่งเรื่องเข้าคณะกรรมการปปช.ปรากฏว่าเรื่องก็ค้างคาอยู่จนในที่สุดคณะกรรมการปปช.ก็ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏเป็นข่าว ดังนั้นขอเรียนให้ทราบว่าความจริงเป็นเรื่องเดิม และเป็นเรื่องเดียวกับที่คณะกรรมการปปป. คณะกรรมการปปช. และศาลยุติธรรมได้เคยตัดสินมีคำพิพากษาออกมาแล้วว่าตนบริสุทธิ์ไม่ได้ทุจริตแต่อย่างใดทั้งสิ้น และตนก็กำลังดำเนินคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายกับผู้ที่กล่าวหาตนอยู่ในขณะนี้ “ที่พูดมานี้เพราะต้องการทำความเข้าใจ เพราะเกรงว่าประชาชนจะสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นอีก จึงต้องมีการหยิบยกขึ้นมา ซึ่งผมก็เข้าใจปปช.เพราะเรื่องค้างอยู่จึงจำเป็นต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบ ซึ่งผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรยินดี และอยากให้เรื่องยุติเสียที เพราะไม่อย่างนั้นก็ค้างคาอยู่อย่างนี้ ที่ผ่านมาก็ค้างอยู่หลายปี เพราะคณะกรรมการปปช.มีอันเป็นไป 2 ชุดติดกัน จึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่ปปช.จะดำเนินการให้ได้ข้อยุติ” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวว่าหากปปช.เรียนตนไปชี้แจงก็พร้อมที่จะไปไม่มีปัญหาอะไร เพราะมีเอกสารหลักฐานชัดเจนจากครั้งที่คณะกรรมการปปป.เคยยุติเรื่องไปแล้วว่าไม่มีการทุจริต และเอกสารที่ปปช.เคยตอบนายชัชวาลย์ว่า ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ เอกสารคดีถึงที่สุดกรณีพิพากษาว่าการที่ พล.ต.ท.ชัชจ์ กล่าวหาว่าตนทุจริตในโครงการนี้เป็นการหมิ่นประมาทไม่เป็นความจริง ซึ่งคงนำมาประกอบกันทั้งหมดเพื่อนำส่งให้ปปช.ต่อไป อย่างไรก็ตามไม่รู้สึกกังวลอะไร และคิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้ยุติ เพราะในทางการเมืองทำให้ตนเสียหายมาหลายปี และอาจทำให้ ประชาชนส่วนหนึ่งเข้าใจผิด ซึ่งในวันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ตนจะเดินทางไปยื่นเอกสารและข้อมูลกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 พ.ย. 2549--จบ--