วันนี้ (11 ธ.ค. 49) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวที่พรรคเกี่ยวกับการที่มีหลายฝ่ายเสนอแนวทางของการปฎิรูปการเมืองโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายองอาจเห็นว่าหัวใจสำคัญของการปฎิรูปการเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมานั้นมีเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง ประกอบด้วยการเข้ามาสู่อำนาจทางการเมือง ควรจะเป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม เพราะหากการเข้ามาสู่อำนาจทางการเมืองเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรมก็จะเป็นหลักประกันเบื้องต้นว่าการเมืองสามารถที่จะเดินทางไปยังสิ่งที่ทุกคนปรารถนาก็คือเรื่องประโยชน์สุขของสังคมและประเทศชาติโดยรวมมากกว่าที่จะเป็นไปเพื่อหาประโยชน์เพื่อส่วนตนของนักการเมืองหรือพวกพ้องเท่านั้น
ส่วนสำคัญส่วนที่ 2 คือกระบวนการใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งรวมไปถึงกระบวนการการใช้อำนาจรัฐด้วย อำนาจอธิปไตย ที่ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ ดังนั้นกระบวนการการใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ส่วนนี้ ต้องเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และก็เป็นไปด้วยความโปร่งใสทุกขั้นตอน
ส่วนสำคัญส่วนที่ 3 คือการตรวจสอบการใช้อำนาจ การตรวจสอบการใช้อำนาจไม่ใช่ส่วนเฉพาะของฝ่ายการเมืองเท่านั้น การตรวจสอบการใช้อำนาจ สามารถเกิดขึ้นได้จากทุก ๆ ส่วน แต่ผู้ที่จะส่วนในการตรวจสอบและใช้อำนาจรัฐไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น แต่ควรมีอีกหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชน ภาคประชาชน เอ็นจีโอต่าง ๆ รวมทั้งนักวิชาการ
ทั้งนี้ส่วนสำคัญทั้งหลายโดยเฉพาะการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปอย่างเสรี และมีความสามารถที่จะปฎิบัติได้จริงไม่ใช่เป็นไปเพียงตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะฉะนั้นการดำเนินการควบคู่ไปกับการมีรัฐธรรมนูญที่สำคัญก็คือจะต้องหามาตรการในการที่จะปฎิรูปความคิด จิตสำนึกรวมทั้งทัศนคติของนักการเมืองและของผู้คนของเราในสังคม ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของการเลือกตั้งหรือพฤติกรรมของนักการเมือง สิ่งเหล่านี้ควรจะมีกระบวนการในการปฎิรูปควบคู่ไปกับการปรับปรุงแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย นายองอาจกล่าว
สืบเนื่องมาจากนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ประกาศวาระแห่งชาติด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในภาคราชการ นายองอาจเห็นด้วยที่มีการประกาศวาระแห่งชาติในด้านดังกล่าว เพราะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้นปัญหาทางด้านจริยธรรม และ ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในภาคราชการ ซึ่งเกิดขึ้นจากการสมรู้ร่วมคิดกันของข้าราชการส่วนหนึ่งและนักการเมืองส่วนหนึ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างมาก และกระบวนการและรูปแบบวิธีการในการทุจริตเป็นไปอย่างลึกซึ้งยากแก่การติดตามตรวจสอบหรือเอาคนผิดมาลงโทษ เพราะฉะนั้นการประกาศวาระแห่งชาติโดยนายกรัฐมนตรีนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมถูกต้องแล้ว แต่ปัญหาไม่ได้อยู่เพียงแค่ว่าจะมีการประกาศวาระแห่งชาติ
ในเรื่องนี้นายองอาจได้ฝากถึงรัฐบาลว่านอกเหนือจากการประกาศวาระแห่งชาติแล้วรัฐบาลจะต้องดำเนินการจัดให้มีพิมพ์เขียวรวมทั้งกระบวนการในการช่วยก่อให้เกิดจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในภาคราชการให้เกิดขึ้นให้ได้ พร้อมทั้งอยากเห็นการประพฤติปฎิบัติที่เป็นรูปธรรมตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้จุดมุ่งหมายของการประกาศวาระแห่งชาตินั้นเป็นจุดมุ่งหมายที่ได้รับการปฎิบัติที่เป็นจริง และก็จะได้เกิดผลสมตามจุดมุ่งหมายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ได้ประกาศไปแล้ว
ส่วนการที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)เปิดเผยว่าได้คุยกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ระบุว่ายอมรับในกติกาของนักกีฬาหรือรู้แพ้รู้ชนะนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า คำพูดของท่านอดีตนายก เราควรจะฟังหูไว้หู โดยเฉพาะคมช. เพราะว่าตอนที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ได้พูดจากลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลาในหลาย ๆ เรื่อง ทำให้เราไม่สามารถที่จะเชื่อถือในคำพูดได้ เราไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นสิ่งที่จะปฎิบัติตามหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำพูดที่เพียงจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเอง หรือเป็นแค่คำพูดที่เพื่อจะเอาตัวรอดไปวัน ๆ เท่านั้น นายองอาจกล่าว
และจากกรณีที่มีข่าวว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ได้ทำหนังสือให้นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อนำไปให้กับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคใหม่อีกครั้งหนึ่งนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ตนได้คุยเรื่องนี้กับนายพิเชษฐแล้ว โดยนายพิเชษฐ ปฏิเสธว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด อีกทั้งก็ไม่ได้พบกับ พล.ต.สนั่น มานานแล้วด้วย ทั้งนี้ นายองอาจ ยังย้ำอีกว่า ขณะนี้ภายในพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค
อย่างไรก็ตาม นายองอาจ ยังระบุอีกว่า ขณะนี้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จากทั่วประเทศได้แสดงจุดยืนและยืนยันที่จะให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อไป
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ธ.ค. 2549--จบ--
ส่วนสำคัญส่วนที่ 2 คือกระบวนการใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งรวมไปถึงกระบวนการการใช้อำนาจรัฐด้วย อำนาจอธิปไตย ที่ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ ดังนั้นกระบวนการการใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ส่วนนี้ ต้องเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และก็เป็นไปด้วยความโปร่งใสทุกขั้นตอน
ส่วนสำคัญส่วนที่ 3 คือการตรวจสอบการใช้อำนาจ การตรวจสอบการใช้อำนาจไม่ใช่ส่วนเฉพาะของฝ่ายการเมืองเท่านั้น การตรวจสอบการใช้อำนาจ สามารถเกิดขึ้นได้จากทุก ๆ ส่วน แต่ผู้ที่จะส่วนในการตรวจสอบและใช้อำนาจรัฐไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น แต่ควรมีอีกหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชน ภาคประชาชน เอ็นจีโอต่าง ๆ รวมทั้งนักวิชาการ
ทั้งนี้ส่วนสำคัญทั้งหลายโดยเฉพาะการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปอย่างเสรี และมีความสามารถที่จะปฎิบัติได้จริงไม่ใช่เป็นไปเพียงตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะฉะนั้นการดำเนินการควบคู่ไปกับการมีรัฐธรรมนูญที่สำคัญก็คือจะต้องหามาตรการในการที่จะปฎิรูปความคิด จิตสำนึกรวมทั้งทัศนคติของนักการเมืองและของผู้คนของเราในสังคม ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของการเลือกตั้งหรือพฤติกรรมของนักการเมือง สิ่งเหล่านี้ควรจะมีกระบวนการในการปฎิรูปควบคู่ไปกับการปรับปรุงแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย นายองอาจกล่าว
สืบเนื่องมาจากนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ประกาศวาระแห่งชาติด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในภาคราชการ นายองอาจเห็นด้วยที่มีการประกาศวาระแห่งชาติในด้านดังกล่าว เพราะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้นปัญหาทางด้านจริยธรรม และ ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในภาคราชการ ซึ่งเกิดขึ้นจากการสมรู้ร่วมคิดกันของข้าราชการส่วนหนึ่งและนักการเมืองส่วนหนึ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างมาก และกระบวนการและรูปแบบวิธีการในการทุจริตเป็นไปอย่างลึกซึ้งยากแก่การติดตามตรวจสอบหรือเอาคนผิดมาลงโทษ เพราะฉะนั้นการประกาศวาระแห่งชาติโดยนายกรัฐมนตรีนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมถูกต้องแล้ว แต่ปัญหาไม่ได้อยู่เพียงแค่ว่าจะมีการประกาศวาระแห่งชาติ
ในเรื่องนี้นายองอาจได้ฝากถึงรัฐบาลว่านอกเหนือจากการประกาศวาระแห่งชาติแล้วรัฐบาลจะต้องดำเนินการจัดให้มีพิมพ์เขียวรวมทั้งกระบวนการในการช่วยก่อให้เกิดจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในภาคราชการให้เกิดขึ้นให้ได้ พร้อมทั้งอยากเห็นการประพฤติปฎิบัติที่เป็นรูปธรรมตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้จุดมุ่งหมายของการประกาศวาระแห่งชาตินั้นเป็นจุดมุ่งหมายที่ได้รับการปฎิบัติที่เป็นจริง และก็จะได้เกิดผลสมตามจุดมุ่งหมายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ได้ประกาศไปแล้ว
ส่วนการที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)เปิดเผยว่าได้คุยกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ระบุว่ายอมรับในกติกาของนักกีฬาหรือรู้แพ้รู้ชนะนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า คำพูดของท่านอดีตนายก เราควรจะฟังหูไว้หู โดยเฉพาะคมช. เพราะว่าตอนที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ได้พูดจากลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลาในหลาย ๆ เรื่อง ทำให้เราไม่สามารถที่จะเชื่อถือในคำพูดได้ เราไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นสิ่งที่จะปฎิบัติตามหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำพูดที่เพียงจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเอง หรือเป็นแค่คำพูดที่เพื่อจะเอาตัวรอดไปวัน ๆ เท่านั้น นายองอาจกล่าว
และจากกรณีที่มีข่าวว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ได้ทำหนังสือให้นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อนำไปให้กับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคใหม่อีกครั้งหนึ่งนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ตนได้คุยเรื่องนี้กับนายพิเชษฐแล้ว โดยนายพิเชษฐ ปฏิเสธว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด อีกทั้งก็ไม่ได้พบกับ พล.ต.สนั่น มานานแล้วด้วย ทั้งนี้ นายองอาจ ยังย้ำอีกว่า ขณะนี้ภายในพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค
อย่างไรก็ตาม นายองอาจ ยังระบุอีกว่า ขณะนี้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จากทั่วประเทศได้แสดงจุดยืนและยืนยันที่จะให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อไป
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ธ.ค. 2549--จบ--