1 ประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศ (27 กันยายน - 26 ตุลาคม 2548)
ภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศยังคงขยายตัว แต่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในหลายประเทศในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน Katrina และ Rita เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปค่อนข้างทรงตัวจากปัจจัย สนับสนุนด้านการส่งออก ขณะที่อุปสงค์ในประเทศ ยังซบเซา และเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนมีแนวโน้มว่าภาวะเงินฝืดจะ ชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนมีแนวโน้มว่าภาวะเงินฝืดจะคลี่คลายในปี 2549
สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีทิศทางขยายตัวจาก ภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นและราคาบ้านที่ยังทรงตัวภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นและราคาบ้านที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ การฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนได้กดดันให้ราคาวัตถุดิบในภาคก่อสร้างและการขนส่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ โดยรวมยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวลง ในบางพื้นที่ โดยยอดการสร้างบ้านใหม่ในเดือนกันยายนยังคงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.1 ล้านยูนิตจาก 2 ล้านยูนิตในเดือนก่อน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 (mom) และยอดการขายบ้านมือสองยังคงทรงตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ยอดการจำนองบ้าน(mortgage applications) ค่อยๆ ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในปัจจุบันได้ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน ตุลาคมปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือนกันยายน ด้วยผลของราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องโดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับที่ต่ำที่สุดในรอบมากกว่า 13 ปีที่ระดับ 75.4 จากระดับ 76.9 ในเดือนก่อน เช่นเดียวกับดัชนีของ Conference Board ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีที่ระดับ 85.0 จากระดับ 85.7 ในเดือนก่อน
อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีในเดือนกันยายน โดยอยู่ที่ร้อยละ 4.7 (yoy)หรือร้อยละ 1.2 (mom) เร่งขึ้นจากเดือนก่อนจากร้อยละ 3.6 (yoy) เนื่องจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) ยังอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 2.2 (yoy) ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 2.0 เนื่องจากเป็นการชะลอลงของ ค่าเช่าบ้านและค่าบริการโดยสารเครื่องบิน ทั้งนี้ ราคา สินค้าผู้ผลิต (producer price index) ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
ฐานะทางการคลังของสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2547/48 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2548) ปรับตัวดีขึ้น โดยการขาดดุลงบประมาณลดลงมาอยู่ที่ 318.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 2.6 ของ GDP เทียบกับการขาดดุลในปีงบประมาณก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 412.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในตลาดคาดว่า ฐานะ ทางการคลังของสหรัฐฯ อาจกลับมามีปัญหามากขึ้น ในปีงบประมาณที่จะถึงนี้ เนื่องจากมีภาระรายจ่ายสำหรับการฟื้นฟูพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนรายจ่ายทางการทหาร และรายจ่ายในด้าน Medicare
นอกจากนี้ นาย Ben Bernanke อดีตกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ ได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดี George W. Bush เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2548 ให้ดำรงตำแหน่งประธาน Fed คนต่อไปภายหลังจากนาย Alan Greenspan จะปลดเกษียณในวันที่ 31 มกราคม 2549
กลุ่มประเทศยูโร
ภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัว โดยอุปสงค์จากต่างประเทศ และการอ่อนค่าของเงินยูโรช่วยให้ภาคการส่งออกปรับตัวดีขึ้น สามารถชดเชยอุปสงค์ในประเทศที่ยังคงซบเซาจากภาวะที่อัตราการว่างงานยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 8.6 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ8.5 ในเดือนกรกฎาคม
การส่งออกของกลุ่มประเทศยูโรในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 13.8 (yoy) เร่งขึ้นมากจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3 และการนำเข้าเร่งตัวขึ้นเช่นกัน โดยขยายตัว ร้อยละ 20.3 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 9.1เนื่องจากการนำเข้าน้ำมันมีมูลค่าสูงขึ้น ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมขาดดุล 2.6 พันล้านยูโร เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่การค้าเกินดุล 7.9 พันล้านยูโร
การผลิตอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 2.6 (yoy) หรือร้อยละ 0.8 (mom) จากเดือนก่อนทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นโดยดัชนี Purchasing Manager Index (PMI) ภาคการผลิตในเดือนกันยายนปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.7 จากระดับ 50.4 ในเดือนก่อน และดัชนี PMI ภาคบริการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน มาอยู่ที่ระดับ 54.7 จากระดับ 53.4 ในเดือนก่อน
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโร (HICP) ในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 2.6 (yoy) ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 สูงขึ้นจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.2 และสูงกว่าเป้าหมายเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.0 อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) ปรับตัวสูงขึ้นไม่มากและยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (refinancing rate) ไว้ที่ร้อยละ 2.0 ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2548 ที่ผ่านมา แต่เห็นว่าเสถียรภาพของระดับราคาได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ต้องติดตามแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดต่อไป โดยประมาณการว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2548 และ 2549 จะอยู่ที่ร้อยละ 2.1-2.3 และ 1.4-2.4 ตามลำดับ
ญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น โดยปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวของภาคการส่งออกตลอดจนอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากภาวะการจ้างงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอดค้าปลีกในเดือนกันยายนหดตัวร้อยละ 0.8 (yoy) เทียบกับเดือนสิงหาคมที่ขยายตัวร้อยละ 1.5 เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายในการซื้อเครื่องปรับอากาศและเชื้อเพลิงลงจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนที่สุดในรอบ 5 ปี นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีผลสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือ Tankan Survey ล่าสุดในเดือนกันยายนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 19 เทียบกับระดับ 18 ในเดือนมิถุนายนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 1.6 (yoy) หรือขยายตัวร้อยละ 1.2 (mom)เนื่องจากการปรับตัวดีขึ้นของสินค้าคงคลังในภาคที่เกี่ยวเนื่องกับ IT (inventory adjustment) ทั้งนี้ ดัชนี PMIเดือนกันยายนปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 54.46 จากระดับ 53.77 ในเดือนก่อนและเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ทำให้มีแนวโน้มว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นจะสามารถปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป
การส่งออกในเดือนกันยายน ขยายตัวร้อยละ 8.8(yoy) ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 9.1 เนื่องจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ขณะที่การนำเข้าชะลอตัวลงเช่นกัน โดยขยายตัวร้อยละ 17.4 (yoy) เทียบกับขยายตัวร้อยละ 21.1ในเดือนก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 957 พันล้านเยน จาก 113.8 พันล้านเยน ในเดือนก่อน
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับต่ำแม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวดีขึ้น และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคมยังคงเนื่องจากติดลบเท่ากับเดือนกรกฎาคม ที่ร้อยละ 0.3 (yoy) เนื่องจากการปรับลดราคาค่าสาธารณูปโภคต่างๆ และการปรับลดราคาข้าว อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินฝืดมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายในช่วงต้นปี 2549 เนื่องจากราคาค่าสาธารณูปโภคต่างๆและราคาข้าวที่ตกต่ำมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังยืนยันจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะสามารถหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด
เอเชีย
ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียโดยรวมยังคงขยายตัว แต่มีแรงกดดันมากขึ้นในด้านเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารกลางหลายประเทศยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้าเพื่อดูแลเสถียรภาพของเงินเฟ้อในประเทศ
เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 9.4 (yoy) ต่อเนื่องจากไตรมาสแรกและไตรมาส ที่ 2 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 9.4 และ 9.5 ตามลำดับ โดยการลงทุน ในเมืองและยอดค้าปลีกยังขยายตัวเร่งขึ้น เศรษฐกิจเกาหลีใต้ไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 4.4 (yoy) หรือขยายตัวร้อยละ 1.8 (qoq, sa) ขยายตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 (yoy) โดยปัจจัยสำคัญของภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นมาจากอุปสงค์ของภาคครัวเรือนที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งการส่งออกสินค้าและบริการที่เร่งตัวส่วนเศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาสที่ 3 ยังคงขยายตัวที่ร้อยละ 6.0 (yoy) ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2 เนื่องจากการขยายตัวของการผลิตและการส่งออกสินค้าจำพวก Chemicals และ Pharmaceuticals ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 และเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 พิจารณาจากดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจต่างๆเช่น Purchasing Manager Index (PMI) และการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไต้หวันและเกาหลีใต้ซึ่งเริ่มฟื้นตัว
การส่งออกของภูมิภาคเอเชียค่อนข้างผันผวนแต่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น การส่งออกของจีนแม้ยังขยายตัวในระดับสูงแต่ชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 25.8(yoy) ในเดือนกันยายน จากที่ขยายตัวร้อยละ 33.1 ในเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้การเกินดุลการค้าลดลง อย่างไรก็ดีการส่งออกของไต้หวันและเกาหลีใต้ยังขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 8.5 (yoy) และ 18.7 (yoy) ตามลำดับโดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ เกาหลีใต้สามารถส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ได้มากขึ้นด้วย สำหรับการส่งออกของมาเลเซียเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 12.5 (yoy) จากร้อยละ 2.9 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ค่อนข้างมาก โดยการส่งออกที่ไม่นับรวมน้ำมันและแก๊สธรรมชาติขยายตัวร้อยละ 11.7 (yoy) จากร้อยละ 0.7 ในเดือนกรกฎาคม การส่งออกของฟิลิปปินส์ในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 0.8 (yoy) ลดลงจากร้อยละ 11.4 ในเดือนก่อนหน้า โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าหลักขยายตัวเพียงร้อยละ 1.2 (yoy) จากร้อยละ 14.2 ทั้งนี้ การส่งออกของฟิลิปส์อยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 8 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเพียงร้อยละ 3.9 (yoy) เทียบกับการขยายตัว ร้อยละ 8.8 (yoy) ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2547 สำหรับสิงคโปร์การส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมัน (NODX) หดตัวร้อยละ 0.4 (yoy) ในเดือนกันยายนหลังจากขยายตัวต่อเนื่องมา 3 เดือน โดย Pharmaceuticals Sector ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องและเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการส่งออกของสิงคโปร์ในช่วงที่ผ่านมาหดตัวร้อยละ 22.1 (yoy) และการส่งออก Disk Drives หดตัวร้อยละ 12.7 (yoy)
อัตราเงินเฟ้อของภูมิภาคเอเชียอยู่ในลักษณะผสม แต่ส่วนใหญ่ได้รับแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนของจีนลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 0.9 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.3 เนื่องจากราคาอาหารปรับตัวลดลง สำหรับไต้หวันแม้จะได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นในช่วงปลายเดือนกันยายน แต่ราคาอาหารไม่สูงมากสูงขึ้นมากเท่าที่คาดไว้ ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.1(yoy) ในเดือนกันยายน เทียบกับเดือนก่อนที่ร้อยละ 3.6ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของฮ่องกงสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 (yoy) ในเดือนกันยายนเทียบกับร้อยละ 1.4 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ฮ่องกงหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากค่าเช่าบ้านซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีสัดส่วนมากที่สุดในตะกร้า CPI ปรับตัวสูงขึ้น และค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น สำหรับอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนของเกาหลีใต้ก็เร่งขึ้นเช่นกัน มาอยู่ที่ร้อยละ 2.7 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ2.0 นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนของอินโดนีเซียเพิ่มสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้มาอยู่ที่ร้อยละ 9.1 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 8.3 โดยมีปัจจัยสำคัญคือการเพิ่มขึ้น ของค่าขนส่ง อันเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากการยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ผู้ใช้ในอุตสาหกรรมในช่วง2 เดือนก่อนหน้า กอปรกับอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก ทำให้สินค้าและวัตถุดิบนำเข้ามีราคาสูงขึ้นอัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์เดือนกันยายนยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงแต่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 7.0(yoy) จากร้อยละ 7.2 ในเดือนสิงหาคม ส่วนอัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียเดือนกันยายนปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 3.4 (yoy) จากร้อยละ 3.7 ในเดือนก่อนหน้าอย่างไรก็ตาม ผลกระทบ (Pass through effect) จากการขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาอาหารและค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 (yoy) และ 7.1 ตามลำดับทำให้คาดว่าเงินเฟ้อจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2548
การดำเนินนโยบายการเงิน ธนาคารกลางเกาหลีใต้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25จากร้อยละ 3.25 เป็นร้อยละ 3.5 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2548เนื่องจากมีแรงกดดันต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวดีขึ้น ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย SBI ระยะ 1 เดือน ร้อยละ 1.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 11.0เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2548 เพื่อชะลอเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยน โดยอินโดนีเซียกำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในภูมิภาค และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนธนาคารกลางสิงคโปร์ ออกมาแถลงเมื่อวันที่11 ตุลาคม 2548 ว่าจะยังคงดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Modest and Gradual Appreciation ต่อไป โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์จะขยายตัวได้ดีในปี 2549 และเงินเฟ้อ อาจจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาน้ำมันและการขยายตัวของเศรษฐกิจ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Repurchase Rate) ร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 9.25 โดยถึงแม้ว่าเงินเฟ้อเดือนล่าสุดจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์เชื่อว่าสภาพคล่องในตลาดที่สูงกว่าที่คาดไว้จากการไหลเข้าของเงินทุนจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในช่วงต่อไป
โยบายด้านอื่นๆ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2548สำนักบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (State Adminis- tration of Foreign Exchange: SAFE) ประกาศมาตรการเข้มงวดเพื่อดูแลหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของบริษัทจีน ซึ่งจะเริ่ม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 นี้ โดยกำหนดว่าบริษัทจีนจะสามารถยืดระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้า หรือ สินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Trade credit) ที่มีมูลค่ามากกว่า 200,000 ดอลลาร์ สรอ. เป็นเวลานานกว่า180 วัน ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดในปีก่อนหน้า ซึ่งมาตรการนี้ครอบคลุมถึงบริษัทร่วมทุน ที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 25 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาหนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว โดยล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 จีนมี หนี้ต่างประเทศรวม 266.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นหนี้ระยะสั้นมูลค่า 141.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และเป็นสินเชื่อเพื่อการค้าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53 ของหนี้ระยะสั้นทั้งหมด
ภาพรวมฐานะการคลังของฟิลิปปินส์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังจาก ศาลสูงสุดของฟิลิปปินส์ยกเลิกการระงับร่างพระราชบัญญัติภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับใหม่ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลฟิลิปปินส์สามารถดำเนินการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10.0 เป็นร้อยละ 12.0 ได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ ให้แก่ภาครัฐ นอกจากนี้ งบประมาณขาดดุลของรัฐบาล ใน 9 เดือนแรกของปี 2548 ลดลงร้อยละ 10.0 (yoy) มาอยู่ที่ 27.7 พันล้านเปโซ โดยปัญหาหนี้สาธารณะ นับเป็นปัญหาสำคัญที่กดดันให้เงินเปโซของฟิลิปปินส์อ่อนค่าและทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ ฟิลิปปินส์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศยังคงขยายตัว แต่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในหลายประเทศในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน Katrina และ Rita เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปค่อนข้างทรงตัวจากปัจจัย สนับสนุนด้านการส่งออก ขณะที่อุปสงค์ในประเทศ ยังซบเซา และเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนมีแนวโน้มว่าภาวะเงินฝืดจะ ชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนมีแนวโน้มว่าภาวะเงินฝืดจะคลี่คลายในปี 2549
สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีทิศทางขยายตัวจาก ภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นและราคาบ้านที่ยังทรงตัวภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นและราคาบ้านที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ การฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนได้กดดันให้ราคาวัตถุดิบในภาคก่อสร้างและการขนส่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ โดยรวมยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวลง ในบางพื้นที่ โดยยอดการสร้างบ้านใหม่ในเดือนกันยายนยังคงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.1 ล้านยูนิตจาก 2 ล้านยูนิตในเดือนก่อน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 (mom) และยอดการขายบ้านมือสองยังคงทรงตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ยอดการจำนองบ้าน(mortgage applications) ค่อยๆ ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในปัจจุบันได้ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน ตุลาคมปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือนกันยายน ด้วยผลของราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องโดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับที่ต่ำที่สุดในรอบมากกว่า 13 ปีที่ระดับ 75.4 จากระดับ 76.9 ในเดือนก่อน เช่นเดียวกับดัชนีของ Conference Board ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีที่ระดับ 85.0 จากระดับ 85.7 ในเดือนก่อน
อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีในเดือนกันยายน โดยอยู่ที่ร้อยละ 4.7 (yoy)หรือร้อยละ 1.2 (mom) เร่งขึ้นจากเดือนก่อนจากร้อยละ 3.6 (yoy) เนื่องจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) ยังอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 2.2 (yoy) ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 2.0 เนื่องจากเป็นการชะลอลงของ ค่าเช่าบ้านและค่าบริการโดยสารเครื่องบิน ทั้งนี้ ราคา สินค้าผู้ผลิต (producer price index) ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
ฐานะทางการคลังของสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2547/48 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2548) ปรับตัวดีขึ้น โดยการขาดดุลงบประมาณลดลงมาอยู่ที่ 318.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 2.6 ของ GDP เทียบกับการขาดดุลในปีงบประมาณก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 412.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในตลาดคาดว่า ฐานะ ทางการคลังของสหรัฐฯ อาจกลับมามีปัญหามากขึ้น ในปีงบประมาณที่จะถึงนี้ เนื่องจากมีภาระรายจ่ายสำหรับการฟื้นฟูพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนรายจ่ายทางการทหาร และรายจ่ายในด้าน Medicare
นอกจากนี้ นาย Ben Bernanke อดีตกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ ได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดี George W. Bush เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2548 ให้ดำรงตำแหน่งประธาน Fed คนต่อไปภายหลังจากนาย Alan Greenspan จะปลดเกษียณในวันที่ 31 มกราคม 2549
กลุ่มประเทศยูโร
ภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัว โดยอุปสงค์จากต่างประเทศ และการอ่อนค่าของเงินยูโรช่วยให้ภาคการส่งออกปรับตัวดีขึ้น สามารถชดเชยอุปสงค์ในประเทศที่ยังคงซบเซาจากภาวะที่อัตราการว่างงานยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 8.6 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ8.5 ในเดือนกรกฎาคม
การส่งออกของกลุ่มประเทศยูโรในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 13.8 (yoy) เร่งขึ้นมากจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3 และการนำเข้าเร่งตัวขึ้นเช่นกัน โดยขยายตัว ร้อยละ 20.3 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 9.1เนื่องจากการนำเข้าน้ำมันมีมูลค่าสูงขึ้น ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมขาดดุล 2.6 พันล้านยูโร เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่การค้าเกินดุล 7.9 พันล้านยูโร
การผลิตอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 2.6 (yoy) หรือร้อยละ 0.8 (mom) จากเดือนก่อนทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นโดยดัชนี Purchasing Manager Index (PMI) ภาคการผลิตในเดือนกันยายนปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.7 จากระดับ 50.4 ในเดือนก่อน และดัชนี PMI ภาคบริการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน มาอยู่ที่ระดับ 54.7 จากระดับ 53.4 ในเดือนก่อน
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโร (HICP) ในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 2.6 (yoy) ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 สูงขึ้นจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.2 และสูงกว่าเป้าหมายเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.0 อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) ปรับตัวสูงขึ้นไม่มากและยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (refinancing rate) ไว้ที่ร้อยละ 2.0 ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2548 ที่ผ่านมา แต่เห็นว่าเสถียรภาพของระดับราคาได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ต้องติดตามแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดต่อไป โดยประมาณการว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2548 และ 2549 จะอยู่ที่ร้อยละ 2.1-2.3 และ 1.4-2.4 ตามลำดับ
ญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น โดยปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวของภาคการส่งออกตลอดจนอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากภาวะการจ้างงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอดค้าปลีกในเดือนกันยายนหดตัวร้อยละ 0.8 (yoy) เทียบกับเดือนสิงหาคมที่ขยายตัวร้อยละ 1.5 เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายในการซื้อเครื่องปรับอากาศและเชื้อเพลิงลงจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนที่สุดในรอบ 5 ปี นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีผลสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือ Tankan Survey ล่าสุดในเดือนกันยายนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 19 เทียบกับระดับ 18 ในเดือนมิถุนายนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 1.6 (yoy) หรือขยายตัวร้อยละ 1.2 (mom)เนื่องจากการปรับตัวดีขึ้นของสินค้าคงคลังในภาคที่เกี่ยวเนื่องกับ IT (inventory adjustment) ทั้งนี้ ดัชนี PMIเดือนกันยายนปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 54.46 จากระดับ 53.77 ในเดือนก่อนและเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ทำให้มีแนวโน้มว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นจะสามารถปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป
การส่งออกในเดือนกันยายน ขยายตัวร้อยละ 8.8(yoy) ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 9.1 เนื่องจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ขณะที่การนำเข้าชะลอตัวลงเช่นกัน โดยขยายตัวร้อยละ 17.4 (yoy) เทียบกับขยายตัวร้อยละ 21.1ในเดือนก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 957 พันล้านเยน จาก 113.8 พันล้านเยน ในเดือนก่อน
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับต่ำแม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวดีขึ้น และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคมยังคงเนื่องจากติดลบเท่ากับเดือนกรกฎาคม ที่ร้อยละ 0.3 (yoy) เนื่องจากการปรับลดราคาค่าสาธารณูปโภคต่างๆ และการปรับลดราคาข้าว อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินฝืดมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายในช่วงต้นปี 2549 เนื่องจากราคาค่าสาธารณูปโภคต่างๆและราคาข้าวที่ตกต่ำมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังยืนยันจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะสามารถหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด
เอเชีย
ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียโดยรวมยังคงขยายตัว แต่มีแรงกดดันมากขึ้นในด้านเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารกลางหลายประเทศยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้าเพื่อดูแลเสถียรภาพของเงินเฟ้อในประเทศ
เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 9.4 (yoy) ต่อเนื่องจากไตรมาสแรกและไตรมาส ที่ 2 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 9.4 และ 9.5 ตามลำดับ โดยการลงทุน ในเมืองและยอดค้าปลีกยังขยายตัวเร่งขึ้น เศรษฐกิจเกาหลีใต้ไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 4.4 (yoy) หรือขยายตัวร้อยละ 1.8 (qoq, sa) ขยายตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 (yoy) โดยปัจจัยสำคัญของภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นมาจากอุปสงค์ของภาคครัวเรือนที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งการส่งออกสินค้าและบริการที่เร่งตัวส่วนเศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาสที่ 3 ยังคงขยายตัวที่ร้อยละ 6.0 (yoy) ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2 เนื่องจากการขยายตัวของการผลิตและการส่งออกสินค้าจำพวก Chemicals และ Pharmaceuticals ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 และเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 พิจารณาจากดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจต่างๆเช่น Purchasing Manager Index (PMI) และการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไต้หวันและเกาหลีใต้ซึ่งเริ่มฟื้นตัว
การส่งออกของภูมิภาคเอเชียค่อนข้างผันผวนแต่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น การส่งออกของจีนแม้ยังขยายตัวในระดับสูงแต่ชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 25.8(yoy) ในเดือนกันยายน จากที่ขยายตัวร้อยละ 33.1 ในเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้การเกินดุลการค้าลดลง อย่างไรก็ดีการส่งออกของไต้หวันและเกาหลีใต้ยังขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 8.5 (yoy) และ 18.7 (yoy) ตามลำดับโดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ เกาหลีใต้สามารถส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ได้มากขึ้นด้วย สำหรับการส่งออกของมาเลเซียเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 12.5 (yoy) จากร้อยละ 2.9 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ค่อนข้างมาก โดยการส่งออกที่ไม่นับรวมน้ำมันและแก๊สธรรมชาติขยายตัวร้อยละ 11.7 (yoy) จากร้อยละ 0.7 ในเดือนกรกฎาคม การส่งออกของฟิลิปปินส์ในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 0.8 (yoy) ลดลงจากร้อยละ 11.4 ในเดือนก่อนหน้า โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าหลักขยายตัวเพียงร้อยละ 1.2 (yoy) จากร้อยละ 14.2 ทั้งนี้ การส่งออกของฟิลิปส์อยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 8 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเพียงร้อยละ 3.9 (yoy) เทียบกับการขยายตัว ร้อยละ 8.8 (yoy) ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2547 สำหรับสิงคโปร์การส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมัน (NODX) หดตัวร้อยละ 0.4 (yoy) ในเดือนกันยายนหลังจากขยายตัวต่อเนื่องมา 3 เดือน โดย Pharmaceuticals Sector ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องและเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการส่งออกของสิงคโปร์ในช่วงที่ผ่านมาหดตัวร้อยละ 22.1 (yoy) และการส่งออก Disk Drives หดตัวร้อยละ 12.7 (yoy)
อัตราเงินเฟ้อของภูมิภาคเอเชียอยู่ในลักษณะผสม แต่ส่วนใหญ่ได้รับแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนของจีนลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 0.9 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.3 เนื่องจากราคาอาหารปรับตัวลดลง สำหรับไต้หวันแม้จะได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นในช่วงปลายเดือนกันยายน แต่ราคาอาหารไม่สูงมากสูงขึ้นมากเท่าที่คาดไว้ ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.1(yoy) ในเดือนกันยายน เทียบกับเดือนก่อนที่ร้อยละ 3.6ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของฮ่องกงสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 (yoy) ในเดือนกันยายนเทียบกับร้อยละ 1.4 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ฮ่องกงหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากค่าเช่าบ้านซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีสัดส่วนมากที่สุดในตะกร้า CPI ปรับตัวสูงขึ้น และค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น สำหรับอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนของเกาหลีใต้ก็เร่งขึ้นเช่นกัน มาอยู่ที่ร้อยละ 2.7 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ2.0 นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนของอินโดนีเซียเพิ่มสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้มาอยู่ที่ร้อยละ 9.1 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 8.3 โดยมีปัจจัยสำคัญคือการเพิ่มขึ้น ของค่าขนส่ง อันเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากการยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ผู้ใช้ในอุตสาหกรรมในช่วง2 เดือนก่อนหน้า กอปรกับอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก ทำให้สินค้าและวัตถุดิบนำเข้ามีราคาสูงขึ้นอัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์เดือนกันยายนยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงแต่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 7.0(yoy) จากร้อยละ 7.2 ในเดือนสิงหาคม ส่วนอัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียเดือนกันยายนปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 3.4 (yoy) จากร้อยละ 3.7 ในเดือนก่อนหน้าอย่างไรก็ตาม ผลกระทบ (Pass through effect) จากการขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาอาหารและค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 (yoy) และ 7.1 ตามลำดับทำให้คาดว่าเงินเฟ้อจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2548
การดำเนินนโยบายการเงิน ธนาคารกลางเกาหลีใต้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25จากร้อยละ 3.25 เป็นร้อยละ 3.5 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2548เนื่องจากมีแรงกดดันต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวดีขึ้น ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย SBI ระยะ 1 เดือน ร้อยละ 1.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 11.0เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2548 เพื่อชะลอเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยน โดยอินโดนีเซียกำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในภูมิภาค และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนธนาคารกลางสิงคโปร์ ออกมาแถลงเมื่อวันที่11 ตุลาคม 2548 ว่าจะยังคงดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Modest and Gradual Appreciation ต่อไป โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์จะขยายตัวได้ดีในปี 2549 และเงินเฟ้อ อาจจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาน้ำมันและการขยายตัวของเศรษฐกิจ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Repurchase Rate) ร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 9.25 โดยถึงแม้ว่าเงินเฟ้อเดือนล่าสุดจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์เชื่อว่าสภาพคล่องในตลาดที่สูงกว่าที่คาดไว้จากการไหลเข้าของเงินทุนจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในช่วงต่อไป
โยบายด้านอื่นๆ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2548สำนักบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (State Adminis- tration of Foreign Exchange: SAFE) ประกาศมาตรการเข้มงวดเพื่อดูแลหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของบริษัทจีน ซึ่งจะเริ่ม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 นี้ โดยกำหนดว่าบริษัทจีนจะสามารถยืดระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้า หรือ สินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Trade credit) ที่มีมูลค่ามากกว่า 200,000 ดอลลาร์ สรอ. เป็นเวลานานกว่า180 วัน ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดในปีก่อนหน้า ซึ่งมาตรการนี้ครอบคลุมถึงบริษัทร่วมทุน ที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 25 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาหนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว โดยล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 จีนมี หนี้ต่างประเทศรวม 266.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นหนี้ระยะสั้นมูลค่า 141.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และเป็นสินเชื่อเพื่อการค้าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53 ของหนี้ระยะสั้นทั้งหมด
ภาพรวมฐานะการคลังของฟิลิปปินส์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังจาก ศาลสูงสุดของฟิลิปปินส์ยกเลิกการระงับร่างพระราชบัญญัติภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับใหม่ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลฟิลิปปินส์สามารถดำเนินการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10.0 เป็นร้อยละ 12.0 ได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ ให้แก่ภาครัฐ นอกจากนี้ งบประมาณขาดดุลของรัฐบาล ใน 9 เดือนแรกของปี 2548 ลดลงร้อยละ 10.0 (yoy) มาอยู่ที่ 27.7 พันล้านเปโซ โดยปัญหาหนี้สาธารณะ นับเป็นปัญหาสำคัญที่กดดันให้เงินเปโซของฟิลิปปินส์อ่อนค่าและทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ ฟิลิปปินส์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--