วานนี้ (12 ธ.ค. 49) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า จากการที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ให้สัมภาษณ์ว่ามีอดีต ส.ส.จากพรรคไทยรักไทยพรรคเดียวที่ออกเยี่ยมชาวบ้านและพบประชาชนไม่ได้ซึ่งการกระทำของ คมช. แบบนี้ ย่อมเป็นประโยชน์กับพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งอย่างชัดเจน เท่ากับไม่เป็นกลางทางการเมืองนั้น ขอเรียนให้ทราบว่าในสถานการณ์ปัจจุบันภายใต้ประกาศของ คปค. ฉบับที่ 15 และ 27 พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็อยู่ภายใต้ประกาศของ คปค. เช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทย อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ได้ฝ่าฝืนประกาศฉบับนี้แต่อย่างใด อยากเรียกร้องให้พรรคไทยรักไทย ได้เคารพกติกาของบ้านเมือง เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ การที่พยายามเคลื่อนไหวให้เห็นว่า คมช. เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นการยัดเยียดให้ คมช. และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพวกเดียวกันเพื่อดีสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอชี้แจงให้ทราบอีกครั้งหนึ่งว่า คมช.และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ ทางการเมือง แต่ถ้าหากแนวทางการต่อสู้เพื่อล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดไปอาจจะเป็นเป้าหมายเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ และเป็นเรื่องธรรมดาของคนดีที่คิดทำแต่ในสิ่งที่ดีๆ เหมือนกัน
นายเทพไท กล่าวตอบโต้ การให้สัมภาษณ์ของ นายแพทย์สุทธิชัย จันทร์อารักษ์ อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทย เรื่องการจ่ายเงินที่จังหวัดสกลนครของแกนนำพรรคไทยรักไทย และบอกว่ามีการอมเงินของขุนพลอีสานพรรคประชาธิปัตย์จนทำให้พ่ายแพ้การเลือกตั้ง นั้น ขอชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบว่าตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์ระบุว่ามีการจ่ายเงินในจังหวัดสกลนครแต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่ามีการจ่ายเงินซื้อเสียงแทบทุกจังหวัดในภาคอีสาน แต่ ส.ส.บางคนไม่รู้ถึงวิธีการได้มาซึ่งคะแนนเสียงของตนเอง เพราะมีการใช้อำนาจรัฐจัดการให้ จึงเป็นที่มา ของกลุ่ม ส.ส.นกแล ในภาคอีสาน และสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะถึงนี้ ส.ส.เหล่านี้ ก็จะวิ่งเข้าสังกัดพรรค ที่เพียบพร้อมไปด้วยกระสุนดินดำเท่านั้น บางคนเปลี่ยนพรรคการเมืองสังกัดจนจำไม่ได้ว่าในชีวิตทางการเมืองสังกัดพรรคการเมืองมาแล้วกี่พรรค ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีเงินทุนที่จะไปใช้จ่ายในการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสาน จึงไม่มีประเด็นที่ขุนพลภาคอีสานของพรรคประชาธิปัตย์ จะอมเงิน ถ้าพรรคใช้เงินใช้ทองจริงอย่างที่ถูกกล่าวหาคงได้ ส.ส.ใน ภาคอีสานจำนวนมากกว่าที่เป็นอยู่
นายเทพไท กล่าวถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ขณะนี้ได้มีการสร้างกระแสลักษณะโยนหินถามทางในประเด็นนายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งและ ส.ส. ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง นั้น ตนคิดว่าขณะนี้บ้านเมืองก้าวหน้าไปไกลแล้ว ไม่สมควรที่จะคิดถอยหลังอีก ประเด็นนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งเป็นการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างยาวนานกว่าจะได้ประเด็นนี้ต้องเสียทั้งเลือดและน้ำตา มามากมาย ถ้าจะเปลี่ยนให้นายกฯไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งก็ขอให้คิดถึงวิญญานวีรชนของพฤษภาทมิฬที่เอาเลือดเนื้อและชีวิตเข้าแลก ส่วนประเด็น ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง นั้น ไม่ควรหยิบยกขึ้นมาพิจารณาให้เสียเวลาอีกต่อไป เพราะเรื่องนี้ได้ถกเถียงกันจนได้ข้อสรุปมาแล้วเมื่อยุค 20 ปี ที่ผ่านมา ว่า ส.ส.อิสระ ไม่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์การเมืองยุคใหม่ ที่จะต้องการพัฒนาพรรคการเมืองให้มีความเข้มแข็งเพื่อเป็นสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตยต่อไป
วันเดียวกัน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายทศพล เพ็งส้ม คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ได้มายื่นเอกสารต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตามที่ได้กำหนดให้ยื่นภายในวันนี้ ดังนี้
1. บัญชีพยานบุคคล จำนวน 40 ปาก
2. เอกสารจำนวน 215 ฉบับ
3.คำร้องขอให้ออกหนังสือเรียกพยานเอกสารและพยานวัตถุ
4. หนังสือเรียกพยานเอกสารและพยานวัตถุ จำนวน 73 รายการ
5. คำร้องขอใช้เอกสารเดิมที่ได้ยื่นไปแล้วก่อนที่ศาลจะนัดพร้อม วันที่ 30 พฤศจิกายน 2549
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ธ.ค. 2549--จบ--
นายเทพไท กล่าวตอบโต้ การให้สัมภาษณ์ของ นายแพทย์สุทธิชัย จันทร์อารักษ์ อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทย เรื่องการจ่ายเงินที่จังหวัดสกลนครของแกนนำพรรคไทยรักไทย และบอกว่ามีการอมเงินของขุนพลอีสานพรรคประชาธิปัตย์จนทำให้พ่ายแพ้การเลือกตั้ง นั้น ขอชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบว่าตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์ระบุว่ามีการจ่ายเงินในจังหวัดสกลนครแต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่ามีการจ่ายเงินซื้อเสียงแทบทุกจังหวัดในภาคอีสาน แต่ ส.ส.บางคนไม่รู้ถึงวิธีการได้มาซึ่งคะแนนเสียงของตนเอง เพราะมีการใช้อำนาจรัฐจัดการให้ จึงเป็นที่มา ของกลุ่ม ส.ส.นกแล ในภาคอีสาน และสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะถึงนี้ ส.ส.เหล่านี้ ก็จะวิ่งเข้าสังกัดพรรค ที่เพียบพร้อมไปด้วยกระสุนดินดำเท่านั้น บางคนเปลี่ยนพรรคการเมืองสังกัดจนจำไม่ได้ว่าในชีวิตทางการเมืองสังกัดพรรคการเมืองมาแล้วกี่พรรค ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีเงินทุนที่จะไปใช้จ่ายในการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสาน จึงไม่มีประเด็นที่ขุนพลภาคอีสานของพรรคประชาธิปัตย์ จะอมเงิน ถ้าพรรคใช้เงินใช้ทองจริงอย่างที่ถูกกล่าวหาคงได้ ส.ส.ใน ภาคอีสานจำนวนมากกว่าที่เป็นอยู่
นายเทพไท กล่าวถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ขณะนี้ได้มีการสร้างกระแสลักษณะโยนหินถามทางในประเด็นนายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งและ ส.ส. ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง นั้น ตนคิดว่าขณะนี้บ้านเมืองก้าวหน้าไปไกลแล้ว ไม่สมควรที่จะคิดถอยหลังอีก ประเด็นนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งเป็นการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างยาวนานกว่าจะได้ประเด็นนี้ต้องเสียทั้งเลือดและน้ำตา มามากมาย ถ้าจะเปลี่ยนให้นายกฯไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งก็ขอให้คิดถึงวิญญานวีรชนของพฤษภาทมิฬที่เอาเลือดเนื้อและชีวิตเข้าแลก ส่วนประเด็น ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง นั้น ไม่ควรหยิบยกขึ้นมาพิจารณาให้เสียเวลาอีกต่อไป เพราะเรื่องนี้ได้ถกเถียงกันจนได้ข้อสรุปมาแล้วเมื่อยุค 20 ปี ที่ผ่านมา ว่า ส.ส.อิสระ ไม่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์การเมืองยุคใหม่ ที่จะต้องการพัฒนาพรรคการเมืองให้มีความเข้มแข็งเพื่อเป็นสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตยต่อไป
วันเดียวกัน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายทศพล เพ็งส้ม คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ได้มายื่นเอกสารต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตามที่ได้กำหนดให้ยื่นภายในวันนี้ ดังนี้
1. บัญชีพยานบุคคล จำนวน 40 ปาก
2. เอกสารจำนวน 215 ฉบับ
3.คำร้องขอให้ออกหนังสือเรียกพยานเอกสารและพยานวัตถุ
4. หนังสือเรียกพยานเอกสารและพยานวัตถุ จำนวน 73 รายการ
5. คำร้องขอใช้เอกสารเดิมที่ได้ยื่นไปแล้วก่อนที่ศาลจะนัดพร้อม วันที่ 30 พฤศจิกายน 2549
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ธ.ค. 2549--จบ--