ปัจจุบันอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในระดับต้นๆ เนื่องจากเป็นสาขาอุตสาหกรรมที่มีการผลิตครบวงจรตั้งแต่การปลูกยางพาราจนถึงขั้นการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ เพื่อการส่งออก สร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก โดยในไตรมาสแรกของปี 2549 ไทยมีมูลค่าการส่งออกของยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางรวมทั้งสิ้น 1,943.40 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งออกเป็นมูลค่าการส่งออกประเภทยางพารา แปรรูปขั้นต้น 1,252.00 ล้านเหรียญสหรัฐหรือร้อยละ 64.42 และมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง 691.40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 37.23 ของมูลค่าการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางทั้งหมด
1. การผลิต
ประเทศไทยผลิตยางแปรรูปขั้นต้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีปริมาณการผลิต ประมาณ 3 ล้านตันต่อปี ยางแปรรูปขั้นต้นส่วนใหญ่มีการส่งออกร้อยละ 90 และส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายและใช้ภายในประเทศ
ในส่วนของผลิตยางแปรรูปขั้นต้น ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 มีการผลิตยางแท่งจำนวน 182,836.99 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 0.13 และยางแผ่นมีการผลิตจำนวน 80,931.37 ตัน
เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 17.85
สำหรับผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาส 1 ของปี 2549 ส่วนใหญ่มีปริมาณการผลิตที่ลดลง เนื่องจากราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องขาดทุนจากการรับออร์เดอร์ล่วงหน้าที่มีราคาต่ำ จึงมีการปรับลดการผลิตลง โดยการผลิตยางนอกรถยนต์นั่ง มีจำนวน 3,173,256 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 3.40 ยางนอกรถจักรยานยนต์ จำนวน 5,078,271 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 11.71 ยางนอกรถจักรยาน จำนวน 4,568,700 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 8.12 และยางในรถจักรยานยนต์ จำนวน 8,491,060 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 6.80 ส่วนยางในรถจักรยาน จำนวน 4,982,566 เส้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 10.19 และถุงมือยางจำนวน 2,366.21 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 0.40
2. การตลาด
2.1 ตลาดส่งออก ประเภทสินค้าที่ผลิตและส่งออกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) ยางแปรรูปขั้นต้น ประกอบด้วย ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ น้ำยางข้น โดยมีมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 จำนวน 1,252.00 ล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่าเพิ่มจากไตรมาสที่แล้ว ร้อยละ 14.32 และหากเปรียบเทียบไตรมาสเดียวกันกับปีที่แล้วมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 42.88 ตลาดส่งออกสำคัญในหมวดนี้ ยังคงเป็นประเทศจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา
2) ผลิตภัณฑ์ยาง ประกอบด้วย ยางยานพาหนะ ถุงมือยาง ยางรัดของ หลอดและท่อ สายพานลำเลียงและส่งกำลัง โดยมีมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 จำนวน 691.40 ล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 8.52 และเติบโตจากไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 33.06 ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน และมาเลเซีย
2.2 ตลาดนำเข้า ประเภทผลิตภัณฑ์ยางที่ประเทศไทยยังคงมีการนำเข้า ได้แก่ ท่อหรือข้อต่อ และสายพานลำเลียง หรือ ผลิตภัณฑ์ยางวัลแคไนซ์ เช่น ประเก็น ฝารอง และซีล ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตให้ได้มาตรฐาน โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 มีมูลค่าการนำเข้า 137.70 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.68 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2548 และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2548 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 20.15 โดยผลิตภัณฑ์ประเภทท่อหรือข้อต่อ และสายพานลำเลียง มีการนำเข้า 25.90 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ร้อย 8.36 ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทยางวัลแคไนซ์ มีมูลค่าการนำเข้า 71.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2548
3. สรุปและแนวโน้ม
ภาวะภาพรวมของอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาสแรกของ ปี 2549 ควรแบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1 กลุ่มผู้ผลิตยางแปรรูปขั้นต้น และ 2 กลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยาง ในกลุ่มที่ 1 ผู้ผลิตยางแปรรูปขั้นต้น หากเป็นชาวสวนยางหรือกลุ่มโรงงานแปรรูปขั้นต้นที่ไม่มีการตกลงราคาซื้อขายล่วงหน้า น่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการที่ราคายางปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางหรือโรงงานแปรรูปที่มีการตกลงการซื้อขายล่วงหน้าน่าจะมีผลกระทบจากราคาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ต้องขายในราคาที่คิดต้นทุนต่ำ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการมีการลดกำลังการผลิตลงเพื่อชะลอดูผลกระทบจากการปรับตัวของราคายางที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกของยางและผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาสที่ 1 ของ ปี 2549 ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเกือบทุกหมวดผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่ยังมีการขยายตัวและราคายางพาราที่มีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2549 อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะน้ำยางข้นสำหรับการผลิตถุงยางอนามัยและถุงมือยางมีความต้องการซื้อเพิ่มมากขึ้นจากนโยบายรณรงค์การต่อต้านโรคเอดส์ และการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในประเทศจีน และสหภาพยุโรป ปัจจุบันราคายางยังคงมีทิศทางการปรับตัวที่เพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยเสี่ยงจากภาวะภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน จะทำให้ต้นยางพาราเกิดโรคใบร่วงส่งผลทำให้ผลผลิตของน้ำยางออกสู่ตลาดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์ยางส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในลักษณะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่ปรับค่าแข็งขึ้น อาจจะเป็นปัจจัยลบส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะมีผลทำให้ความต้องการใช้ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางในอุตสาหกรรมต่างๆ ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่ง ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบต่อผลกระทบทั้งทางด้านบวกและทางด้านลบต่อไป
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
1. การผลิต
ประเทศไทยผลิตยางแปรรูปขั้นต้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีปริมาณการผลิต ประมาณ 3 ล้านตันต่อปี ยางแปรรูปขั้นต้นส่วนใหญ่มีการส่งออกร้อยละ 90 และส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายและใช้ภายในประเทศ
ในส่วนของผลิตยางแปรรูปขั้นต้น ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 มีการผลิตยางแท่งจำนวน 182,836.99 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 0.13 และยางแผ่นมีการผลิตจำนวน 80,931.37 ตัน
เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 17.85
สำหรับผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาส 1 ของปี 2549 ส่วนใหญ่มีปริมาณการผลิตที่ลดลง เนื่องจากราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องขาดทุนจากการรับออร์เดอร์ล่วงหน้าที่มีราคาต่ำ จึงมีการปรับลดการผลิตลง โดยการผลิตยางนอกรถยนต์นั่ง มีจำนวน 3,173,256 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 3.40 ยางนอกรถจักรยานยนต์ จำนวน 5,078,271 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 11.71 ยางนอกรถจักรยาน จำนวน 4,568,700 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 8.12 และยางในรถจักรยานยนต์ จำนวน 8,491,060 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 6.80 ส่วนยางในรถจักรยาน จำนวน 4,982,566 เส้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 10.19 และถุงมือยางจำนวน 2,366.21 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเพียงเล็กน้อย ร้อยละ 0.40
2. การตลาด
2.1 ตลาดส่งออก ประเภทสินค้าที่ผลิตและส่งออกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) ยางแปรรูปขั้นต้น ประกอบด้วย ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ น้ำยางข้น โดยมีมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 จำนวน 1,252.00 ล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่าเพิ่มจากไตรมาสที่แล้ว ร้อยละ 14.32 และหากเปรียบเทียบไตรมาสเดียวกันกับปีที่แล้วมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 42.88 ตลาดส่งออกสำคัญในหมวดนี้ ยังคงเป็นประเทศจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา
2) ผลิตภัณฑ์ยาง ประกอบด้วย ยางยานพาหนะ ถุงมือยาง ยางรัดของ หลอดและท่อ สายพานลำเลียงและส่งกำลัง โดยมีมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 จำนวน 691.40 ล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 8.52 และเติบโตจากไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 33.06 ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน และมาเลเซีย
2.2 ตลาดนำเข้า ประเภทผลิตภัณฑ์ยางที่ประเทศไทยยังคงมีการนำเข้า ได้แก่ ท่อหรือข้อต่อ และสายพานลำเลียง หรือ ผลิตภัณฑ์ยางวัลแคไนซ์ เช่น ประเก็น ฝารอง และซีล ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตให้ได้มาตรฐาน โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 มีมูลค่าการนำเข้า 137.70 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.68 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2548 และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2548 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 20.15 โดยผลิตภัณฑ์ประเภทท่อหรือข้อต่อ และสายพานลำเลียง มีการนำเข้า 25.90 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ร้อย 8.36 ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทยางวัลแคไนซ์ มีมูลค่าการนำเข้า 71.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2548
3. สรุปและแนวโน้ม
ภาวะภาพรวมของอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาสแรกของ ปี 2549 ควรแบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1 กลุ่มผู้ผลิตยางแปรรูปขั้นต้น และ 2 กลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยาง ในกลุ่มที่ 1 ผู้ผลิตยางแปรรูปขั้นต้น หากเป็นชาวสวนยางหรือกลุ่มโรงงานแปรรูปขั้นต้นที่ไม่มีการตกลงราคาซื้อขายล่วงหน้า น่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการที่ราคายางปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางหรือโรงงานแปรรูปที่มีการตกลงการซื้อขายล่วงหน้าน่าจะมีผลกระทบจากราคาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ต้องขายในราคาที่คิดต้นทุนต่ำ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการมีการลดกำลังการผลิตลงเพื่อชะลอดูผลกระทบจากการปรับตัวของราคายางที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกของยางและผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาสที่ 1 ของ ปี 2549 ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเกือบทุกหมวดผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่ยังมีการขยายตัวและราคายางพาราที่มีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2549 อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะน้ำยางข้นสำหรับการผลิตถุงยางอนามัยและถุงมือยางมีความต้องการซื้อเพิ่มมากขึ้นจากนโยบายรณรงค์การต่อต้านโรคเอดส์ และการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในประเทศจีน และสหภาพยุโรป ปัจจุบันราคายางยังคงมีทิศทางการปรับตัวที่เพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยเสี่ยงจากภาวะภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน จะทำให้ต้นยางพาราเกิดโรคใบร่วงส่งผลทำให้ผลผลิตของน้ำยางออกสู่ตลาดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์ยางส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในลักษณะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่ปรับค่าแข็งขึ้น อาจจะเป็นปัจจัยลบส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะมีผลทำให้ความต้องการใช้ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางในอุตสาหกรรมต่างๆ ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่ง ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบต่อผลกระทบทั้งทางด้านบวกและทางด้านลบต่อไป
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-