วันนี้ (7 ก.ย.49) เวลา 14.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเกี่ยวกับความคืบหน้าก่อนการพิจารณาสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ของของสมาชิกวุฒิสภาจาก 10 คนให้เหลือ 5 คนในวันพรุ่งนี้ (8 ก.ย.49) เวลา 10.00 น.ว่า การเลือก กกต.ในวันพรุ่งนี้ของวุฒิสภาถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติบ้านเมือง ถือเป็นวาระสำคัญของชาติ และเป็นการทำหน้าที่ครั้งสำคัญ ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเนื่องจากเป็นการเลือก กกต.ชุมใหม่แทน กกต.ชุดเดิมที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฉะนั้นการเลือก กกต.ชุดใหม่จึงเป็นการเลือก กกต.ในโอกาสพิเศษที่ไม่ใช่วาระปกติธรรมดาทั่วๆไป
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อยากจะฝากถึงสมาชิกวุฒิสภาก่อนที่จะได้ปฏิบัติหน้าที่ครั้งสำคัญในวันพรุ่งนี้ ถือว่าเป็นการทำความดีครั้งสุดท้ายก่อนที่จะครบวาระ เนื่องจาก กกต.ถือว่าเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนจะได้นักการเมืองเข้ามาสู่อำนาจ ถ้าปล่อยให้นักการเมืองไม่ดีเข้ามาสู่อำนาจหรือนักการเมืองที่มาจากการทุจริตเลือกตั้งนักการเมืองเหล่านี้ก็จะฉวยโอกาสนี้หาผลประโยชน์ในทางมิชอบ
ทั้งนี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงคุณสมบัติของว่าที่ กกต.ชุดใหม่ 5 คนที่วุฒิสภาควรพิจารณาดังนี้ว่า 1.ความรู้ความสามารถ ตนคิดว่าประเด็นนี้ไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะศาลฎีกาได้คัดเลือกทั้งผู้พิพากษา อัยการ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยและอดีตสมาชิกวุฒิสภาคือ นายแก้วสรร อติโพธิ 2.ต้องกล้าสู้กับความไม่ถูกต้อง ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งครั้ง กกต.ต้องกล้าสู้กับความไม่ถูกต้อง ถ้าหาก กกต.ไม่กล้าสู้กับความไม่ถูกต้องแล้วจะเกิดปัญหาในการจัดการเลือกตั้ง 3.ไม่ปกป้องคนผิด ตนคิดว่าในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง กกต.มีอำนาจค่อนข้างมากทั้งการสืบสวนสอบสวนพิจารณาใครผิดใครถูก ถ้า กกต.ไปปกป้องคนผิดก็จะได้นักการเมืองที่ไม่ดีเข้ามาทำหน้าที่ 4.ต้องพิทักษ์สิทธิของคนที่ถูกต้อง คนที่เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอย่างสุจริตเที่ยงธรรม กกต.ต้องออกมาพิทักษ์สิทธิของคนเหล่านี้ไม่ควรมีการกลั่นแกล้งด้วยการใช้อำนาจรัฐ และ 5.จะต้องเป็นคนที่ไม่ถูกจมูกด้วยอามิสสินจ้างใดๆ เนื่องจาก กกต.มีอำนาจมาก และมีข่าวบ่อยครั้งมากว่า มีอามิสสินจ้างเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดง
“ฉะนั้นการสรรหา กกต.ในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่วุฒิสภาจะต้องช่วยกันพิจารณาหาบุคคลที่เหมาะสมที่สุด สมบูรณ์ที่สุด นอกจากจะเก่งแล้วต้องกล้า และไม่ควรให้มีโผล็อกหรือมีใบสั่งใดๆจากใครทั้งสิ้นเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจของวุฒิสภาเพื่อจะได้จารึกคุณงามความดีเอาไว้ และเป็นการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจเพียงบางคนเท่านั้น” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ส่วนกรณีที่ นาย ยงยุทธ ติยไพรัช ออกมาระบุว่ารักษาการนายกฯกำลังถูกภัยคุกคามจากประเทศมหาอำนาจ นั้นนายองอาจ กล่าวว่าตนเห็นว่าหากไม่มีข้อมูลเพียงพอ และนำมากล่าวเช่นนี้ เท่ากับว่ากำลังสร้างกรณีพิพาทกับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งคำพูดของนายยงยุทธ ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดนายกฯ ตรงนี้อาจจะส่งผลต่อการทำงานของประเทศโดยส่วนรวม “ผมเห็นว่าเรื่องเช่นนี้นาย ยงยุทธ ไม่ควรนำมาเปิดเผย เพราะไม่สร้างผลดีกับประเทศทั้งสิ้น และเรื่องเอเชียบอร์ล ได้มีมานานแล้ว จากบางประเทศในเอชีย เพราะฉะนั้นการออกมาพูดว่าประเทศมหาอำนาจเป็นภัยคุกคาม เพราะนายกฯหบยิบเรื่องเอเชียบอร์ลขึ้นมาพูด เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อการสร้างภาพให้น่ากลัวเกินความเป็นจริงมากว่า” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า การปฏิรูปการเมือง ควรจะมีการสัตยาบันหรือไม่นั้น วันนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว เพราะที่ผ่านมาที่มีการเรียกร้องให้ลงสัตยาบัน เพราะมีความไม่ชัดเจนของบางพรรค แต่วันนี้ตนคิดว่าทุกพรรคต้องมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการเมือง ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างๆ ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองก็สามารถที่จะนำเสนอได้ ดังนั้นเรื่องของการลงสัตยาบันจึงไม่มีความจำเป็นแล้ว
ส่วนกรณีที่นายโภคิน เสนอตัวขอเป็นตัวกลางในการลงสัตยาบัน นายองอาจกล่าว ส่วนตนมองว่า เป็นความพยายามที่จะสร้างราคาให้พรรคไทยรักไทย ให้คนเห็นว่าพรรคไทยรักไทยเจาจริงในเรื่องการปฏิรูปการเมือง แต่หากย้อน 4-5 ปีจะเห็นได้ว่า พรรคไทยรักไทยมีมีบทบาทอะไรเลยในเรื่องการปฏิรูปการเมืองไทย ทั้งที่มี ส.ส.มากพอที่จะปฏิรูปการเมืองได้ แต่กลับมีส่วนในการใช้อำนาจทำลายระบอบประชาธิปไตย โดยพยายามใช้ช่องโหว่ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ก.ย. 2549--จบ--
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อยากจะฝากถึงสมาชิกวุฒิสภาก่อนที่จะได้ปฏิบัติหน้าที่ครั้งสำคัญในวันพรุ่งนี้ ถือว่าเป็นการทำความดีครั้งสุดท้ายก่อนที่จะครบวาระ เนื่องจาก กกต.ถือว่าเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนจะได้นักการเมืองเข้ามาสู่อำนาจ ถ้าปล่อยให้นักการเมืองไม่ดีเข้ามาสู่อำนาจหรือนักการเมืองที่มาจากการทุจริตเลือกตั้งนักการเมืองเหล่านี้ก็จะฉวยโอกาสนี้หาผลประโยชน์ในทางมิชอบ
ทั้งนี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงคุณสมบัติของว่าที่ กกต.ชุดใหม่ 5 คนที่วุฒิสภาควรพิจารณาดังนี้ว่า 1.ความรู้ความสามารถ ตนคิดว่าประเด็นนี้ไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะศาลฎีกาได้คัดเลือกทั้งผู้พิพากษา อัยการ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยและอดีตสมาชิกวุฒิสภาคือ นายแก้วสรร อติโพธิ 2.ต้องกล้าสู้กับความไม่ถูกต้อง ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งครั้ง กกต.ต้องกล้าสู้กับความไม่ถูกต้อง ถ้าหาก กกต.ไม่กล้าสู้กับความไม่ถูกต้องแล้วจะเกิดปัญหาในการจัดการเลือกตั้ง 3.ไม่ปกป้องคนผิด ตนคิดว่าในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง กกต.มีอำนาจค่อนข้างมากทั้งการสืบสวนสอบสวนพิจารณาใครผิดใครถูก ถ้า กกต.ไปปกป้องคนผิดก็จะได้นักการเมืองที่ไม่ดีเข้ามาทำหน้าที่ 4.ต้องพิทักษ์สิทธิของคนที่ถูกต้อง คนที่เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอย่างสุจริตเที่ยงธรรม กกต.ต้องออกมาพิทักษ์สิทธิของคนเหล่านี้ไม่ควรมีการกลั่นแกล้งด้วยการใช้อำนาจรัฐ และ 5.จะต้องเป็นคนที่ไม่ถูกจมูกด้วยอามิสสินจ้างใดๆ เนื่องจาก กกต.มีอำนาจมาก และมีข่าวบ่อยครั้งมากว่า มีอามิสสินจ้างเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดง
“ฉะนั้นการสรรหา กกต.ในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่วุฒิสภาจะต้องช่วยกันพิจารณาหาบุคคลที่เหมาะสมที่สุด สมบูรณ์ที่สุด นอกจากจะเก่งแล้วต้องกล้า และไม่ควรให้มีโผล็อกหรือมีใบสั่งใดๆจากใครทั้งสิ้นเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจของวุฒิสภาเพื่อจะได้จารึกคุณงามความดีเอาไว้ และเป็นการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจเพียงบางคนเท่านั้น” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ส่วนกรณีที่ นาย ยงยุทธ ติยไพรัช ออกมาระบุว่ารักษาการนายกฯกำลังถูกภัยคุกคามจากประเทศมหาอำนาจ นั้นนายองอาจ กล่าวว่าตนเห็นว่าหากไม่มีข้อมูลเพียงพอ และนำมากล่าวเช่นนี้ เท่ากับว่ากำลังสร้างกรณีพิพาทกับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งคำพูดของนายยงยุทธ ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดนายกฯ ตรงนี้อาจจะส่งผลต่อการทำงานของประเทศโดยส่วนรวม “ผมเห็นว่าเรื่องเช่นนี้นาย ยงยุทธ ไม่ควรนำมาเปิดเผย เพราะไม่สร้างผลดีกับประเทศทั้งสิ้น และเรื่องเอเชียบอร์ล ได้มีมานานแล้ว จากบางประเทศในเอชีย เพราะฉะนั้นการออกมาพูดว่าประเทศมหาอำนาจเป็นภัยคุกคาม เพราะนายกฯหบยิบเรื่องเอเชียบอร์ลขึ้นมาพูด เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อการสร้างภาพให้น่ากลัวเกินความเป็นจริงมากว่า” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า การปฏิรูปการเมือง ควรจะมีการสัตยาบันหรือไม่นั้น วันนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว เพราะที่ผ่านมาที่มีการเรียกร้องให้ลงสัตยาบัน เพราะมีความไม่ชัดเจนของบางพรรค แต่วันนี้ตนคิดว่าทุกพรรคต้องมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการเมือง ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างๆ ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองก็สามารถที่จะนำเสนอได้ ดังนั้นเรื่องของการลงสัตยาบันจึงไม่มีความจำเป็นแล้ว
ส่วนกรณีที่นายโภคิน เสนอตัวขอเป็นตัวกลางในการลงสัตยาบัน นายองอาจกล่าว ส่วนตนมองว่า เป็นความพยายามที่จะสร้างราคาให้พรรคไทยรักไทย ให้คนเห็นว่าพรรคไทยรักไทยเจาจริงในเรื่องการปฏิรูปการเมือง แต่หากย้อน 4-5 ปีจะเห็นได้ว่า พรรคไทยรักไทยมีมีบทบาทอะไรเลยในเรื่องการปฏิรูปการเมืองไทย ทั้งที่มี ส.ส.มากพอที่จะปฏิรูปการเมืองได้ แต่กลับมีส่วนในการใช้อำนาจทำลายระบอบประชาธิปไตย โดยพยายามใช้ช่องโหว่ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ก.ย. 2549--จบ--