กรุงเทพ--5 เม.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไท ดูโต ได้ร่วมเดินทางกับคณะผู้เชี่ยวชาญและศิลปินไทยสู่เส้นทางสายปราชญ์ในอินเดียและศรีลังกา 2 ประเทศสมาชิก BIMSTEC กล่าวได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและประทับใจจนยากที่จะลืมเลือน เพราะสิ่งที่ได้พบเห็นและสัมผัสนั้น ช่างยิ่งใหญ่อลังการ น่าพิศวง จนแทบไม่เชื่อสายตาตนเองว่า อะไรหนอทำให้มนุษย์สมัยโบราณสรรค์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลาให้อนุชนชาวโลกรุ่นหลังได้ชื่นชมและเห็นเป็นบุญตา หากมิใช่แรงศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า และความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าในศาสนาสำคัญของโลกถึง 3 ศาสนา ได้แก่ ฮินดู พุทธ และเชน ซึ่งมีจุดกำเนิดในดินแดนชมพูทวีปแห่งนี้
ขอเริ่มต้นเส้นทางสายปราชญ์ ณ เมืองออรังกาบัดซึ่งเป็นที่สถิตย์ของถ้ำอชันต้า-ถ้ำเอลโลร่า หมู่ถ้ำที่ยิ่งใหญ่อลังการสุดยอดแห่งถ้ำที่ยากจะหาถ้ำใดมาเทียบได้ในโลกนี้ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้อารยธรรมตะวันตก นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งหนึ่งที่บรรพบุรุษชาวอินเดียได้รังสรรค์ไว้บนพื้นพิภพแห่งนี้ สมแล้วที่องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกอย่างปราศจากข้อกังขาใดๆ
ผู้ที่ปรารถนาจะเดินทางสู่หมู่ถ้ำอชันต้า-เอลโลร่านั้น นอกจากต้องมีความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นเป็นอย่างสูงแล้ว ยังต้องมีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะเดินทางตามเส้นทางที่ค่อนข้างทุรกันดารจากเมือง
ออรังกาบัดไปทางทิศเหนือของที่ราบสูงเดคคานประมาณ 107 กิโลเมตรเพื่อมุ่งไปสู่หมู่ถ้ำอชันต้า ศาสนสถานอันสำคัญยิ่งของพุทธศาสนา ที่นั่นคณะของเราหายเหนื่อยจากการเดินทางเป็นปลิดทิ้ง เพราะความประทับใจเมื่อแรกเห็นหน้าผาที่สูงตระหง่านเป็นรูปเกือกม้าผุดขึ้นมาท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรและเปลวแดดที่ร้อนระอุ แต่ก็ไม่สามารถเป็นอุปสรรคขัดขวางให้คณะของเราปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผาเพื่อชมความงดงามและวิจิตรพิสดารของ
ถ้ำอชันต้าได้
ในถ้ำอชันต้า คณะของเราต้องตื่นตลึงอีกครั้งเมื่อพบภาพวาดสีขนาดใหญ่ทั้งบนกำแพงและเพดานถ้ำ นอกจากนี้ บางถ้ำยังเต็มไปด้วยสถูป เจดีย์ พระพุทธรูปปางต่างๆ และรูปปั้นแกะสลักจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งหมดล้วนแสดงถึงตำนานพุทธประวัติและพระโพธิสัตว์ในชาติภพต่างๆ ที่วิจิตรพิสดารในวิหารพุทธศาสนา ซึ่งเป็นฝีมือแกะสลักหินแกรนิตของมนุษย์ยุคโบราณเข้าไปในเทือกเขาวินธัยรวมทั้งหมด 29 ถ้ำ โดยเฉพาะในถ้ำที่ 17 มีภาพเขียนสีอันวิจิตรงดงามและยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์เกี่ยวกับพระราชประวัติของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะทรงออกผนวช
ถ้ำอชันต้านี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ใช้เวลากว่า 800 ปีจึงสร้างได้สำเร็จ เห็นด้วยตาแล้วต้องบอกว่าเหลือเชื่อว่ามนุษย์สร้างได้อย่างไรหากมิใช่แรงศรัทธาอย่างแก่กล้าในพุทธศาสนา เพราะการขุดเจาะเทือกเขาตลอดแนวเพื่อสร้างวิหาร แกะสลักเสลารูปปั้นนับพันรูปก็นับว่ายากยิ่งแล้ว แต่การวาดและรังสรรค์ภาพเขียนสีที่วิจิตรพิสดารขนาดใหญ่เต็มทั้งผนังและเพดานถ้ำเป็นตำนานพุทธประวัติอย่างสมบูรณ์ที่สุดนั้น เป็นเรื่องเหนือจินตนาการของมนุษย์ แต่บรรพบุรุษชาวอินเดียก็สามารถทำได้ราวกับปาฏิหารย์ และยังสามารถรักษาไว้ในสภาพที่แทบไม่บุบสลายแม้ว่าเวลาผ่านไปกว่าสองพันปีแล้วก็ตาม
ห่างจากเมืองออรังกาบัดไปประมาณ 30 กิโลเมตร คือหมู่ถ้ำเอลโลร่าที่มีความวิจิตรพิสดาร และความงดงามล้ำเลิศในด้านภูมิสถาปัตย์ สามารถทำให้ผู้พบเห็นยืนตรึงอยู่กับที่ด้วยความพิศวงงงงวยว่ามนุษย์สมัยนั้นมีเครื่องมือและเครื่องทุ่นแรงอันใดจึงสามารถขุดเจาะหน้าผาที่สูงตระหง่านและสลับซับซ้อนเข้าไปในโพรงถ้ำทั้ง 34 ถ้ำ เพื่อเนรมิตรมหาวิหารและศาสนสถานซึ่งนับว่ายากเย็นแสนเข็ญเหลือคณานับ อีกทั้งในแต่ละถ้ำยังมีรูปปั้นและรูปแกะสลักพระเจ้าและพระศาสดาของศาสนาพุทธ ฮินดู และเชนไว้ได้อย่างลงตัวและผสมกลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างไม่มีที่ติแล้ว ถ้ำเอลโลร่ายังแสดงให้ชาวโลกเห็นว่ามนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านความเชื่อ ศาสนาและหลักปรัชญาในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอินเดียหนึ่งในประเทศสมาชิก BIMSTEC ได้แสดงให้โลกเห็นว่าบรรพบุรุษของเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้และได้ทำมาก่อนเป็นเวลานับพันปีแล้ว
หมู่ถ้ำเอลโลร่าประกอบด้วยศาสนสถานที่เกิดจากการสกัดหินบะซอลท์บนยอดผาจนเป็นมหาวิหารขนาดใหญ่ในถ้ำ สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 7-12 โดย 12 ถ้ำแรกเป็นพุทธสถาน ถ้ำอีก 17 แห่งเป็นวิหารของศาสนาฮินดู ที่เหลืออีก 5 ถ้ำเป็นศาสนสถานของนิกายเชน ในจำนวนนี้ มหาวิหารไกรลาสซึ่งเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะแห่งศาสนาฮินดู ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหาวิหารแกะสลักบนภูเขาหินเพียงยอดเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความโอฬารตระการตาและยิ่งใหญ่เกินคำบรรยายใดๆ นั้น ไม่ได้เกินความสามารถของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรท์หนึ่งในคณะของเรา ซึ่งสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นกวีนิพนธ์ได้อย่างไพเราะและสมบูรณ์แบบที่สุด
ด้วยเวลาอันจำกัดคณะผู้เชี่ยวชาญและศิลปินของเราจำต้องเดินทางจากอินเดียจุดกำเนิดของศาสนาพุทธ ไปสู่ศรีลังกาดินแดนที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองซึ่งมีสมญานามว่า “ไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย” และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าประเทศไทย ขณะที่บรรพบุรุษของสยามประเทศเพิ่งจะเริ่มก่อตั้งอาณาจักร
ศรีลังกาได้เจริญรุ่งเรืองมาแล้วกว่า 1,700 ปี และเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา ชาวศรีลังกาจึงมีความเชื่อและภูมิใจว่าประวัติศาสตร์ชาติตนเริ่มขึ้นพร้อมกับพุทธศักราชซึ่งยืนยาวกว่า 2,500 ปีมาแล้ว
จึงไม่ต้องสงสัยที่เส้นทางสายปราชญ์ในศรีลังกาจะเป็นเส้นทางสายธรรม เริ่มต้นที่วัดกัลยาณีในกรุงโคลัมโบที่ประดิษฐานต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นวัดที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดสัตว์ จึงมีชาวศรีลังกาตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรามานั่งสวดมนต์และวิปัสสนารอบต้นพระศรีมหาโพธิ์อย่างเนืองแน่นในทุกๆ วัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ว่าคณะจะเดินทางไปวัดไหน มักจะพบเห็นชาวศรีลังกา โดยเฉพาะคณะเด็กนักเรียนมาเยี่ยมชมวัดและสักการะบูชาพระพุทธรูปทุกแห่งหน นับเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนได้สัมผัสและซึมซับพระพุทธศาสนาตั้งแต่เยาว์วัย
ลำดับถัดมาในเส้นทางสายธรรม คือ “ดัมบุลลา” วิหารศิลาอันเลื่องชื่อและทรงคุณค่าที่สุดในศรีลังกา ตั้งอยู่บนภูเขาหินสูงตระหง่าน 500 ฟุต บนฐานกว้าง 1 ไมล์ ภายในถ้ำแห่งแรกมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ยาว 47 ฟุต สลักจากแท่งหิน รายล้อมด้วยภาพและรูปปั้นพระพุทธรูป บนเพดานมีภาพสีน้ำมันมีอายุอยู่ในศตวรรษที่ 15-18 ในถ้ำที่ 2 มีพระพุทธรูปขนาดเท่าองค์จริงประดิษฐานอยู่ 150 องค์ รวมทั้งพระพุทธรูปขนาดต่างๆ อีกหลายองค์ นับเป็นศาสนสถานที่ใหญ่โตและวิจิตรบรรจงที่สุด บนผนังเพดานมีภาพสีน้ำพรรณาถึงพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าอีกด้วย
เส้นทางสายปราชญ์ในศรีลังกาคงไม่สมบูรณ์ครบถ้วนหากไม่เอ่ยถึง “สิกิริยา” เมืองโบราณที่มีป้อมปราการระฟ้า สร้างโดยกษัตริย์กัสสปะในสมัยศตวรรษที่ 5 ซึ่งนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของศรีลังกา ซึ่งรู้จักกันในนาม “แท่นศิลาราชสีห์” (Lion Rock) บนยอดเขามีรากฐานของพระราชวังอันยิ่งใหญ่และสวนดอกไม้พร้อมสระว่ายน้ำ ที่ทางขึ้นบนหน้าผามีรูปวาดสีน้ำเป็นภาพนางอัปสรขนาดเท่าตัวคนซึ่งยังคงมีสีสันสดใสละเอียดอ่อนอยู่เช่นเดิม ร่องรอยพระราชวังที่เหลือแต่ฐานรากทำให้เกิดจินตนาการถึงอดีตที่ยิ่งใหญ่ และความอุตสาหะของคนในยุคนั้น ที่แบกหินไต่หน้าผาด้วยความยากลำบากขึ้นมาสร้างพระราชวังซึ่งมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่บนยอดเขา แสดงให้อนุชนรุ่นหลังเห็นว่า การสร้างสระว่ายน้ำบนยอดตึกเป็นเรื่องที่ทำมานานกว่าพันปีแล้ว
ความเป็นเลิศของ “สิกิริยา”อยู่ที่การออกแบบผังเมือง การจัดสวน ระบบชลประทาน จิตรกรรม และงานศิลปะซึ่งรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด จนองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 2525
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว คณะของเราจำต้องอำลาศรีลังกาเหิรฟ้ากลับสู่ประเทศไทย หลังจากที่ได้กราบสักการะบูชาพระธาตุเขี้ยวแก้ว ณ เมืองแคนดี้ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นที่ตั้งของ “ดาลาดา มาลิกาวา” หรือวัดพระธาตุเขี้ยวแก้วซึ่งประดิษฐานพระทนต์ของพระพุทธเจ้า หากพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยจะเดินทางไปเพื่อสักการะพระธาตุเขี้ยวแก้ว ขอแนะนำให้ไปในช่วงวันอาสาฬหบูชาของทุกๆ ปี ซึ่งจะมีประเพณีการแห่พระธาตุเขี้ยวแก้วอย่างมโหฬาร
เส้นทางสายปราชญ์ในอินเดียและศรีลังกาจะสำเร็จลงด้วยดีเช่นนี้ไม่ได้ หากคณะผู้เชี่ยวชาญและศิลปินไทยทุกท่านไม่ตรากตรำทำงานหนักภายในช่วงเวลาที่จำกัดและสภาวะที่กดดัน ต้องขอชื่นชมทุกท่านที่สามารถผลิตผลงานไม่ว่าจะเป็นกวีนิพนธ์ ภาพวาดสีน้ำ ภาพถ่ายโบราณสถานและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น รวมทั้งการถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ในสาขาวิชาของตนให้แก่ผู้เชี่ยวชาญและศิลปินอินเดียและศรีลังกา ได้อย่างยอดเยี่ยมและสมบูรณ์ที่สุดเพราะสามารถทำให้ชาวอินเดียและศรีลังการู้จักและมีทัศนคติที่ดีต่อคนไทยและประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาอันน้อยนิด และในขณะเดียวกันก็จะนำผลงานเหล่านั้นมาเผยแพร่ให้สาธารณชนในประเทศไทยได้รับทราบกันต่อไป ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือ ความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชนระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC สมดั่งเจตนารมย์ของผู้นำฯ ที่ประกาศไว้ ณ กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 อย่างแท้จริง
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไท ดูโต ได้ร่วมเดินทางกับคณะผู้เชี่ยวชาญและศิลปินไทยสู่เส้นทางสายปราชญ์ในอินเดียและศรีลังกา 2 ประเทศสมาชิก BIMSTEC กล่าวได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและประทับใจจนยากที่จะลืมเลือน เพราะสิ่งที่ได้พบเห็นและสัมผัสนั้น ช่างยิ่งใหญ่อลังการ น่าพิศวง จนแทบไม่เชื่อสายตาตนเองว่า อะไรหนอทำให้มนุษย์สมัยโบราณสรรค์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลาให้อนุชนชาวโลกรุ่นหลังได้ชื่นชมและเห็นเป็นบุญตา หากมิใช่แรงศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า และความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าในศาสนาสำคัญของโลกถึง 3 ศาสนา ได้แก่ ฮินดู พุทธ และเชน ซึ่งมีจุดกำเนิดในดินแดนชมพูทวีปแห่งนี้
ขอเริ่มต้นเส้นทางสายปราชญ์ ณ เมืองออรังกาบัดซึ่งเป็นที่สถิตย์ของถ้ำอชันต้า-ถ้ำเอลโลร่า หมู่ถ้ำที่ยิ่งใหญ่อลังการสุดยอดแห่งถ้ำที่ยากจะหาถ้ำใดมาเทียบได้ในโลกนี้ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้อารยธรรมตะวันตก นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งหนึ่งที่บรรพบุรุษชาวอินเดียได้รังสรรค์ไว้บนพื้นพิภพแห่งนี้ สมแล้วที่องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกอย่างปราศจากข้อกังขาใดๆ
ผู้ที่ปรารถนาจะเดินทางสู่หมู่ถ้ำอชันต้า-เอลโลร่านั้น นอกจากต้องมีความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นเป็นอย่างสูงแล้ว ยังต้องมีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะเดินทางตามเส้นทางที่ค่อนข้างทุรกันดารจากเมือง
ออรังกาบัดไปทางทิศเหนือของที่ราบสูงเดคคานประมาณ 107 กิโลเมตรเพื่อมุ่งไปสู่หมู่ถ้ำอชันต้า ศาสนสถานอันสำคัญยิ่งของพุทธศาสนา ที่นั่นคณะของเราหายเหนื่อยจากการเดินทางเป็นปลิดทิ้ง เพราะความประทับใจเมื่อแรกเห็นหน้าผาที่สูงตระหง่านเป็นรูปเกือกม้าผุดขึ้นมาท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรและเปลวแดดที่ร้อนระอุ แต่ก็ไม่สามารถเป็นอุปสรรคขัดขวางให้คณะของเราปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผาเพื่อชมความงดงามและวิจิตรพิสดารของ
ถ้ำอชันต้าได้
ในถ้ำอชันต้า คณะของเราต้องตื่นตลึงอีกครั้งเมื่อพบภาพวาดสีขนาดใหญ่ทั้งบนกำแพงและเพดานถ้ำ นอกจากนี้ บางถ้ำยังเต็มไปด้วยสถูป เจดีย์ พระพุทธรูปปางต่างๆ และรูปปั้นแกะสลักจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งหมดล้วนแสดงถึงตำนานพุทธประวัติและพระโพธิสัตว์ในชาติภพต่างๆ ที่วิจิตรพิสดารในวิหารพุทธศาสนา ซึ่งเป็นฝีมือแกะสลักหินแกรนิตของมนุษย์ยุคโบราณเข้าไปในเทือกเขาวินธัยรวมทั้งหมด 29 ถ้ำ โดยเฉพาะในถ้ำที่ 17 มีภาพเขียนสีอันวิจิตรงดงามและยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์เกี่ยวกับพระราชประวัติของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะทรงออกผนวช
ถ้ำอชันต้านี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ใช้เวลากว่า 800 ปีจึงสร้างได้สำเร็จ เห็นด้วยตาแล้วต้องบอกว่าเหลือเชื่อว่ามนุษย์สร้างได้อย่างไรหากมิใช่แรงศรัทธาอย่างแก่กล้าในพุทธศาสนา เพราะการขุดเจาะเทือกเขาตลอดแนวเพื่อสร้างวิหาร แกะสลักเสลารูปปั้นนับพันรูปก็นับว่ายากยิ่งแล้ว แต่การวาดและรังสรรค์ภาพเขียนสีที่วิจิตรพิสดารขนาดใหญ่เต็มทั้งผนังและเพดานถ้ำเป็นตำนานพุทธประวัติอย่างสมบูรณ์ที่สุดนั้น เป็นเรื่องเหนือจินตนาการของมนุษย์ แต่บรรพบุรุษชาวอินเดียก็สามารถทำได้ราวกับปาฏิหารย์ และยังสามารถรักษาไว้ในสภาพที่แทบไม่บุบสลายแม้ว่าเวลาผ่านไปกว่าสองพันปีแล้วก็ตาม
ห่างจากเมืองออรังกาบัดไปประมาณ 30 กิโลเมตร คือหมู่ถ้ำเอลโลร่าที่มีความวิจิตรพิสดาร และความงดงามล้ำเลิศในด้านภูมิสถาปัตย์ สามารถทำให้ผู้พบเห็นยืนตรึงอยู่กับที่ด้วยความพิศวงงงงวยว่ามนุษย์สมัยนั้นมีเครื่องมือและเครื่องทุ่นแรงอันใดจึงสามารถขุดเจาะหน้าผาที่สูงตระหง่านและสลับซับซ้อนเข้าไปในโพรงถ้ำทั้ง 34 ถ้ำ เพื่อเนรมิตรมหาวิหารและศาสนสถานซึ่งนับว่ายากเย็นแสนเข็ญเหลือคณานับ อีกทั้งในแต่ละถ้ำยังมีรูปปั้นและรูปแกะสลักพระเจ้าและพระศาสดาของศาสนาพุทธ ฮินดู และเชนไว้ได้อย่างลงตัวและผสมกลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างไม่มีที่ติแล้ว ถ้ำเอลโลร่ายังแสดงให้ชาวโลกเห็นว่ามนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านความเชื่อ ศาสนาและหลักปรัชญาในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอินเดียหนึ่งในประเทศสมาชิก BIMSTEC ได้แสดงให้โลกเห็นว่าบรรพบุรุษของเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้และได้ทำมาก่อนเป็นเวลานับพันปีแล้ว
หมู่ถ้ำเอลโลร่าประกอบด้วยศาสนสถานที่เกิดจากการสกัดหินบะซอลท์บนยอดผาจนเป็นมหาวิหารขนาดใหญ่ในถ้ำ สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 7-12 โดย 12 ถ้ำแรกเป็นพุทธสถาน ถ้ำอีก 17 แห่งเป็นวิหารของศาสนาฮินดู ที่เหลืออีก 5 ถ้ำเป็นศาสนสถานของนิกายเชน ในจำนวนนี้ มหาวิหารไกรลาสซึ่งเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะแห่งศาสนาฮินดู ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหาวิหารแกะสลักบนภูเขาหินเพียงยอดเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความโอฬารตระการตาและยิ่งใหญ่เกินคำบรรยายใดๆ นั้น ไม่ได้เกินความสามารถของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรท์หนึ่งในคณะของเรา ซึ่งสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นกวีนิพนธ์ได้อย่างไพเราะและสมบูรณ์แบบที่สุด
ด้วยเวลาอันจำกัดคณะผู้เชี่ยวชาญและศิลปินของเราจำต้องเดินทางจากอินเดียจุดกำเนิดของศาสนาพุทธ ไปสู่ศรีลังกาดินแดนที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองซึ่งมีสมญานามว่า “ไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย” และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าประเทศไทย ขณะที่บรรพบุรุษของสยามประเทศเพิ่งจะเริ่มก่อตั้งอาณาจักร
ศรีลังกาได้เจริญรุ่งเรืองมาแล้วกว่า 1,700 ปี และเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา ชาวศรีลังกาจึงมีความเชื่อและภูมิใจว่าประวัติศาสตร์ชาติตนเริ่มขึ้นพร้อมกับพุทธศักราชซึ่งยืนยาวกว่า 2,500 ปีมาแล้ว
จึงไม่ต้องสงสัยที่เส้นทางสายปราชญ์ในศรีลังกาจะเป็นเส้นทางสายธรรม เริ่มต้นที่วัดกัลยาณีในกรุงโคลัมโบที่ประดิษฐานต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นวัดที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดสัตว์ จึงมีชาวศรีลังกาตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรามานั่งสวดมนต์และวิปัสสนารอบต้นพระศรีมหาโพธิ์อย่างเนืองแน่นในทุกๆ วัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ว่าคณะจะเดินทางไปวัดไหน มักจะพบเห็นชาวศรีลังกา โดยเฉพาะคณะเด็กนักเรียนมาเยี่ยมชมวัดและสักการะบูชาพระพุทธรูปทุกแห่งหน นับเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนได้สัมผัสและซึมซับพระพุทธศาสนาตั้งแต่เยาว์วัย
ลำดับถัดมาในเส้นทางสายธรรม คือ “ดัมบุลลา” วิหารศิลาอันเลื่องชื่อและทรงคุณค่าที่สุดในศรีลังกา ตั้งอยู่บนภูเขาหินสูงตระหง่าน 500 ฟุต บนฐานกว้าง 1 ไมล์ ภายในถ้ำแห่งแรกมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ยาว 47 ฟุต สลักจากแท่งหิน รายล้อมด้วยภาพและรูปปั้นพระพุทธรูป บนเพดานมีภาพสีน้ำมันมีอายุอยู่ในศตวรรษที่ 15-18 ในถ้ำที่ 2 มีพระพุทธรูปขนาดเท่าองค์จริงประดิษฐานอยู่ 150 องค์ รวมทั้งพระพุทธรูปขนาดต่างๆ อีกหลายองค์ นับเป็นศาสนสถานที่ใหญ่โตและวิจิตรบรรจงที่สุด บนผนังเพดานมีภาพสีน้ำพรรณาถึงพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าอีกด้วย
เส้นทางสายปราชญ์ในศรีลังกาคงไม่สมบูรณ์ครบถ้วนหากไม่เอ่ยถึง “สิกิริยา” เมืองโบราณที่มีป้อมปราการระฟ้า สร้างโดยกษัตริย์กัสสปะในสมัยศตวรรษที่ 5 ซึ่งนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของศรีลังกา ซึ่งรู้จักกันในนาม “แท่นศิลาราชสีห์” (Lion Rock) บนยอดเขามีรากฐานของพระราชวังอันยิ่งใหญ่และสวนดอกไม้พร้อมสระว่ายน้ำ ที่ทางขึ้นบนหน้าผามีรูปวาดสีน้ำเป็นภาพนางอัปสรขนาดเท่าตัวคนซึ่งยังคงมีสีสันสดใสละเอียดอ่อนอยู่เช่นเดิม ร่องรอยพระราชวังที่เหลือแต่ฐานรากทำให้เกิดจินตนาการถึงอดีตที่ยิ่งใหญ่ และความอุตสาหะของคนในยุคนั้น ที่แบกหินไต่หน้าผาด้วยความยากลำบากขึ้นมาสร้างพระราชวังซึ่งมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่บนยอดเขา แสดงให้อนุชนรุ่นหลังเห็นว่า การสร้างสระว่ายน้ำบนยอดตึกเป็นเรื่องที่ทำมานานกว่าพันปีแล้ว
ความเป็นเลิศของ “สิกิริยา”อยู่ที่การออกแบบผังเมือง การจัดสวน ระบบชลประทาน จิตรกรรม และงานศิลปะซึ่งรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด จนองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 2525
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว คณะของเราจำต้องอำลาศรีลังกาเหิรฟ้ากลับสู่ประเทศไทย หลังจากที่ได้กราบสักการะบูชาพระธาตุเขี้ยวแก้ว ณ เมืองแคนดี้ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นที่ตั้งของ “ดาลาดา มาลิกาวา” หรือวัดพระธาตุเขี้ยวแก้วซึ่งประดิษฐานพระทนต์ของพระพุทธเจ้า หากพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยจะเดินทางไปเพื่อสักการะพระธาตุเขี้ยวแก้ว ขอแนะนำให้ไปในช่วงวันอาสาฬหบูชาของทุกๆ ปี ซึ่งจะมีประเพณีการแห่พระธาตุเขี้ยวแก้วอย่างมโหฬาร
เส้นทางสายปราชญ์ในอินเดียและศรีลังกาจะสำเร็จลงด้วยดีเช่นนี้ไม่ได้ หากคณะผู้เชี่ยวชาญและศิลปินไทยทุกท่านไม่ตรากตรำทำงานหนักภายในช่วงเวลาที่จำกัดและสภาวะที่กดดัน ต้องขอชื่นชมทุกท่านที่สามารถผลิตผลงานไม่ว่าจะเป็นกวีนิพนธ์ ภาพวาดสีน้ำ ภาพถ่ายโบราณสถานและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น รวมทั้งการถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ในสาขาวิชาของตนให้แก่ผู้เชี่ยวชาญและศิลปินอินเดียและศรีลังกา ได้อย่างยอดเยี่ยมและสมบูรณ์ที่สุดเพราะสามารถทำให้ชาวอินเดียและศรีลังการู้จักและมีทัศนคติที่ดีต่อคนไทยและประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาอันน้อยนิด และในขณะเดียวกันก็จะนำผลงานเหล่านั้นมาเผยแพร่ให้สาธารณชนในประเทศไทยได้รับทราบกันต่อไป ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือ ความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชนระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC สมดั่งเจตนารมย์ของผู้นำฯ ที่ประกาศไว้ ณ กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 อย่างแท้จริง
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-