วันนี้ (13 ส.ค.49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีที่พรรคไทยรักไทยได้ออกเอกสารลับประเมินพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนคิดว่าเอกสารนี้ไม่ควรที่จะเป็นเอกสารที่ใช้ในการสัมมนา เอกสารที่ใช้ในการสัมมนาควรจะเป็นเอกสารที่เป็นความจริง ก่อให้เกิดประโยชน์ในการสัมมนาทั้งในพรรคหรือนอกพรรคก็ตาม แต่ว่าเอกสารของพรรคไทยรักไทยที่ปรากฎในข่าวนี้เป็นเอกสารที่บิดเบือนความเป็นจริงมีอยู่ 6 ด้านด้วยกัน
“ผมชี้แจงดังนี้ว่า 1.พรรคประชาธิปัตย์เคยโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2489 ผมไม่ทราบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังตั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ตั้งปี 2489ไม่ทราบว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความสามารถสูงขนาดตั้งพรรคแล้วไปล้มรัฐบาลได้เลยหรือไม่อย่างไร รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงตามกระบวนการประชาธิปไตยตามปกติ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยใช้กำลังอำนาจใดๆหรืออาวุธปืนไปจี้ไปล้มไล่รัฐบาลใดทั้งสิ้น 2.อ้างว่าการเรียกร้องรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2516 ไม่มีชื่อนายชวน หลีกภัย (ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) เป็น 1 ใน 100 คนที่เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ผมได้สอบถามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคนที่เป็นแกนนำสำคัญในการนำรายชื่อ เขาชี้แจงให้ผมฟังว่าชื่อบุคคลที่จะไปทาบทามเรียกร้องรัฐธรรมนูญไม่มีนักการเมืองยกเว้นคุณไขแสง สุกใส เพราะคุณไขแสงเป็นบุคคลหนี่งที่ไปเรียกร้องรัฐธรรมนูญในช่วงนั้น ส่วนนักการเมืองส่วนมากนั้นไม่มีชื่อในนี้ รวมทั้งการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยจาก รสช.ในปี 2535 ในนี้ก็บอกว่าไม่มีชื่อบุคคลของพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่าการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาก็ดี พฤษภาทมิฬก็ดีพรรคไทยรักไทยไม่ควรอ้างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไปใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเพราะเหตุการณ์ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการต่อสู้ของประชาชน พรรคการเมืองใดก็ตามที่จะไปเกี่ยวข้องมากหรือน้อยนั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคลของนักการเมืองนั้นๆในฐานะประชาชนคนหนึ่ง 3.ในการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่หลังปี 35 พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาลไม่ดำเนินการใดให้เป็นที่ประจักษ์จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลคุณบรรหารจึงได้มีการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมืองจนประสบความสำเร็จ ในช่วงรัฐบาลนายชวนนั้นมีประธานรัฐสภาชื่อนายมารุต บุนนาค อยากให้พรรคไทยรักไทยไปศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีว่านายมารุตเป็นผู้มีส่วนอย่างสำคัญในการวางรากฐานและผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองจนกระทั่งเกิดผลสำเร็จในท้ายที่สุดในรัฐบาลคุณบรรหาร ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เป็นความจริง 4.อ้างว่ารัฐบาลนายชวนไปดึงพรรคประชากรไทยในรัฐบาลชวน 2 นั้นเป็นการกระทำที่ทำลายพรรคการเมืองและจริยธรรมทางการเมือง ตนคิดว่าการดำเนินการของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นไม่ได้เป็นการทำลายพรรคการเมืองใดทั้งสิ้นพรรคประชากรไทยก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ว่ามีสมาชิกพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพรรคเพราะเห็นว่าประเทศชาติบ้านเมืองขณะนั้นเกิดวิกฤตอย่างยิ่งสมาชิกพรรคก็เห็นความสำคัญในการเข้าร่วมแก้ไขปัญหาบ้านเมืองซึ่งเป็นวิกฤตที่เกิดจากวิกฤตนักการเมืองส่วนหนึ่ง การตัดสินใจของ ส.ส.พรรคประชากรไทยในขณะนั้นจึงไม่เกี่ยวกับขัดจริยธรรมทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น 5.ในการบริหารประเทศรัฐบาลประชาธิปัตย์สร้างวิกฤตด้วยการสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง นี่เป็นตัวเลขเท็จที่เอกสารพรรคไทยรักไทยเคยหลอกคนในพรรคตัวเอง เพราะในความเป็นจริงแล้ว คนที่ปิดสถาบันทางการเมืองเริ่มต้นจริงๆไม่ใช่ 56 แห่ง แต่เป็น 58 แห่งคนที่ปิดจริงๆคือ นายทนง พิทยะ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) ซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและที่บอกว่าบริหารสินทรัพย์จนก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาทนั้น ผมขอบอกว่าความเสียหายของวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องการลดค่าเงินบาทในสมัยนั้นและก็มีคนบางคนในรัฐบาลนี้ได้ประโยชน์จากการลดค่าเงินบาทในช่วงนั้น นี่คือต้นตอที่ก่อให้เกิดความเสียหายตามมาหลายแสนล้านบาท นี่ก็เป็นความเท็จอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพรรคไทยรักไทยยังสงสัยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นโดยเฉพาะเรื่อง ปรส.ที่พูดถึง พรรคไทยรักไทยสนใจก็มาติดต่อขอไปดูได้ รวบรวมที่มาต้นตอทั้งหมดและไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์แน่นอน และ 6.พรรคประชาธิปัตย์ชูหัวหน้าพรรค (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ขาวสะอาดอยู่คนเดียวโดยไม่พยายามพูดถึงองค์ประกอบอื่น เช่น เลขาธิการพรรค (สุเทพ เทือกสุบรรณ) ที่มีปัญหาเรื่อง สปก.4-01 ผมเรียนว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ชูภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคขาวสะอาดคนเดียว ถ้าเราชูภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคคนเดียว ผมคิดว่านายอภิสิทธิ์ คงไม่ประกาศเรื่องนโยบายการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นที่บอกว่าขอให้ ส.ส.ของพรรคทุกคนจะต้องแจ้งว่าตัวเองมีธุรกิจอะไรรวมทั้งญาติพี่น้องครอบครัวเพื่อไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหัวหน้าพรรคได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะให้ทั้งพรรคขาวสะอาดไม่ใช่หัวหน้าพรรคคนเดียว” นายองอาจกล่าว
ส่วนเรื่องที่ในเอกสารระบุกระทบถึงเลขาธิการพรรคในเรื่อง สปก.4-01 นายองอาจให้ความเห็นว่า ถ้าเห็นว่า สปก.4-01มีปัญหาทำไมรัฐบาลชุดนี้ไม่ยกเลิก แถมยังตั้งใจที่จะไปแจก สปก.ในการเดินทางทัวร์นกขมิ้นอีสานนี้อีกหรือไม่ แสดงว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นประเด็นของการทำลายล้างทางการเมืองมากกว่า ฉะนั้น เอกสารลับที่พรรคไทยรักไทยที่สื่อมวลชนนำมาเผยแพร่ ถ้าหากเป็นเอกสารของพรรคไทยรักไทยถือว่าเป็นเอกสารที่บิดเบือน เชื่อถือไม่ได้และไทยรักไทยก็ไม่ควรที่จะเผยแพร่เอกสารนี้ต่อไป หวังว่าพรรคไทยรักไทยจะใช้โอกาสเผยแพร่เอกสารในโอกาสใดๆก็ตามให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงด้วยนโยบายมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการใส่ร้ายป้ายสีที่เล็ดดรอดมาถึงสื่อมวลชนในขณะนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 15 ส.ค. 2549--จบ--
“ผมชี้แจงดังนี้ว่า 1.พรรคประชาธิปัตย์เคยโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2489 ผมไม่ทราบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังตั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ตั้งปี 2489ไม่ทราบว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความสามารถสูงขนาดตั้งพรรคแล้วไปล้มรัฐบาลได้เลยหรือไม่อย่างไร รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงตามกระบวนการประชาธิปไตยตามปกติ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยใช้กำลังอำนาจใดๆหรืออาวุธปืนไปจี้ไปล้มไล่รัฐบาลใดทั้งสิ้น 2.อ้างว่าการเรียกร้องรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2516 ไม่มีชื่อนายชวน หลีกภัย (ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) เป็น 1 ใน 100 คนที่เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ผมได้สอบถามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคนที่เป็นแกนนำสำคัญในการนำรายชื่อ เขาชี้แจงให้ผมฟังว่าชื่อบุคคลที่จะไปทาบทามเรียกร้องรัฐธรรมนูญไม่มีนักการเมืองยกเว้นคุณไขแสง สุกใส เพราะคุณไขแสงเป็นบุคคลหนี่งที่ไปเรียกร้องรัฐธรรมนูญในช่วงนั้น ส่วนนักการเมืองส่วนมากนั้นไม่มีชื่อในนี้ รวมทั้งการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยจาก รสช.ในปี 2535 ในนี้ก็บอกว่าไม่มีชื่อบุคคลของพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่าการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาก็ดี พฤษภาทมิฬก็ดีพรรคไทยรักไทยไม่ควรอ้างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไปใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเพราะเหตุการณ์ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการต่อสู้ของประชาชน พรรคการเมืองใดก็ตามที่จะไปเกี่ยวข้องมากหรือน้อยนั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคลของนักการเมืองนั้นๆในฐานะประชาชนคนหนึ่ง 3.ในการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่หลังปี 35 พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาลไม่ดำเนินการใดให้เป็นที่ประจักษ์จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลคุณบรรหารจึงได้มีการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมืองจนประสบความสำเร็จ ในช่วงรัฐบาลนายชวนนั้นมีประธานรัฐสภาชื่อนายมารุต บุนนาค อยากให้พรรคไทยรักไทยไปศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีว่านายมารุตเป็นผู้มีส่วนอย่างสำคัญในการวางรากฐานและผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองจนกระทั่งเกิดผลสำเร็จในท้ายที่สุดในรัฐบาลคุณบรรหาร ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เป็นความจริง 4.อ้างว่ารัฐบาลนายชวนไปดึงพรรคประชากรไทยในรัฐบาลชวน 2 นั้นเป็นการกระทำที่ทำลายพรรคการเมืองและจริยธรรมทางการเมือง ตนคิดว่าการดำเนินการของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นไม่ได้เป็นการทำลายพรรคการเมืองใดทั้งสิ้นพรรคประชากรไทยก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ว่ามีสมาชิกพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพรรคเพราะเห็นว่าประเทศชาติบ้านเมืองขณะนั้นเกิดวิกฤตอย่างยิ่งสมาชิกพรรคก็เห็นความสำคัญในการเข้าร่วมแก้ไขปัญหาบ้านเมืองซึ่งเป็นวิกฤตที่เกิดจากวิกฤตนักการเมืองส่วนหนึ่ง การตัดสินใจของ ส.ส.พรรคประชากรไทยในขณะนั้นจึงไม่เกี่ยวกับขัดจริยธรรมทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น 5.ในการบริหารประเทศรัฐบาลประชาธิปัตย์สร้างวิกฤตด้วยการสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง นี่เป็นตัวเลขเท็จที่เอกสารพรรคไทยรักไทยเคยหลอกคนในพรรคตัวเอง เพราะในความเป็นจริงแล้ว คนที่ปิดสถาบันทางการเมืองเริ่มต้นจริงๆไม่ใช่ 56 แห่ง แต่เป็น 58 แห่งคนที่ปิดจริงๆคือ นายทนง พิทยะ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) ซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและที่บอกว่าบริหารสินทรัพย์จนก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาทนั้น ผมขอบอกว่าความเสียหายของวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องการลดค่าเงินบาทในสมัยนั้นและก็มีคนบางคนในรัฐบาลนี้ได้ประโยชน์จากการลดค่าเงินบาทในช่วงนั้น นี่คือต้นตอที่ก่อให้เกิดความเสียหายตามมาหลายแสนล้านบาท นี่ก็เป็นความเท็จอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพรรคไทยรักไทยยังสงสัยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นโดยเฉพาะเรื่อง ปรส.ที่พูดถึง พรรคไทยรักไทยสนใจก็มาติดต่อขอไปดูได้ รวบรวมที่มาต้นตอทั้งหมดและไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์แน่นอน และ 6.พรรคประชาธิปัตย์ชูหัวหน้าพรรค (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ขาวสะอาดอยู่คนเดียวโดยไม่พยายามพูดถึงองค์ประกอบอื่น เช่น เลขาธิการพรรค (สุเทพ เทือกสุบรรณ) ที่มีปัญหาเรื่อง สปก.4-01 ผมเรียนว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ชูภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคขาวสะอาดคนเดียว ถ้าเราชูภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคคนเดียว ผมคิดว่านายอภิสิทธิ์ คงไม่ประกาศเรื่องนโยบายการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นที่บอกว่าขอให้ ส.ส.ของพรรคทุกคนจะต้องแจ้งว่าตัวเองมีธุรกิจอะไรรวมทั้งญาติพี่น้องครอบครัวเพื่อไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหัวหน้าพรรคได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะให้ทั้งพรรคขาวสะอาดไม่ใช่หัวหน้าพรรคคนเดียว” นายองอาจกล่าว
ส่วนเรื่องที่ในเอกสารระบุกระทบถึงเลขาธิการพรรคในเรื่อง สปก.4-01 นายองอาจให้ความเห็นว่า ถ้าเห็นว่า สปก.4-01มีปัญหาทำไมรัฐบาลชุดนี้ไม่ยกเลิก แถมยังตั้งใจที่จะไปแจก สปก.ในการเดินทางทัวร์นกขมิ้นอีสานนี้อีกหรือไม่ แสดงว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นประเด็นของการทำลายล้างทางการเมืองมากกว่า ฉะนั้น เอกสารลับที่พรรคไทยรักไทยที่สื่อมวลชนนำมาเผยแพร่ ถ้าหากเป็นเอกสารของพรรคไทยรักไทยถือว่าเป็นเอกสารที่บิดเบือน เชื่อถือไม่ได้และไทยรักไทยก็ไม่ควรที่จะเผยแพร่เอกสารนี้ต่อไป หวังว่าพรรคไทยรักไทยจะใช้โอกาสเผยแพร่เอกสารในโอกาสใดๆก็ตามให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงด้วยนโยบายมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการใส่ร้ายป้ายสีที่เล็ดดรอดมาถึงสื่อมวลชนในขณะนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 15 ส.ค. 2549--จบ--