วันนี้ (13 ส.ค.49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเกียรติ สิทธิอมร กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวกรณีความคืบหน้าคดีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปหลังจากที่รอผลสอบคดีดังกล่าวจากกระทรวงพาณิชย์เป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ว่า คำตอบที่ได้รับจากการะทรวงพาณิชย์ คือ การเตะถ่วงการสอบบริษัทนอมินี่ไปจนถึงวันเลือกตั้งโดยวิธีการตั้งกรรมการใหม่มาทับซ้อนในการสอบความผิด ฟอกความผิด อย่างไรก็ตามตนอยากจะชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมในการดำเนินการเช่นนี้มีความผิดปกติหลายประการ
“ประการแรกมีการอ้างถึงในการให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ) เป็นผู้รับเอกสารเพิ่มเติม 200 หน้าในวันที่ 10 สิงหาคม 2549 ปกติแล้วอำนาจใจการสอบข้อเท็จจริงอยู่ที่กรมพัฒนาธุรกิจเป็นอำนาจตามกฎหมายเหตุใดหลังจาก 6 เดือนผ่านไป บริษัทหรือกรรมการผู้เกี่ยวข้องเอาเอกสารมายื่นกับฝ่ายการเมืองโดยตรงตรงนี้ผิดปกติแน่นอน ตรงนี้เห็นได้ชัดว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ประการที่ 2 มีการกล่าวอ้างว่า ในเรื่องการถือหุ้นในโครงสร้างลักษณะนี้เป็นเรื่องใหม่คนไทยไม่คุ้นเคยเป็นกรณีตัวอย่างในการสอบนอมินีอื่นๆต่อไป ผมว่าเป็นการกล่าวอ้างนอกจากจะดูถูกคนไทยแล้วยังดูกฎหมายไทยด้วย ผมเป็นคนที่ร่างกฎหมายฉบับนี้รู้ดีว่า พฤติกรรมการเป็นนอมินีเป็นอย่างไรบ้างจะมากล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยผมคิดว่าเป็นเรื่องดูถูดคนไทย และเป็นการพูดที่ชี้นำกระบวนการฟอกคนผิด ผมคิดว่าที่เรื่องนี้ควรจะเป็นกรณีตัวอย่างที่ไม่ควรทำ ประการที่ 3 อ้างว่าต้องมีข้อเท็จจริงว่าควรหรือไม่ควรดำเนินคดีเป็นการชี้มูลไม่ใช่เข้าข่ายว่ากระทำความผิดหรือไม่ นายยรรยง พวงราช รองปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นนักฎหมายเมื่อก่อนก็ทำกฎหมายฉบับนี้ร่วมกับผมทำไมพูดอย่างนี้ผมไม่เข้าใจขอให้ท่านกลับไปทบทวนมาตรา 36, 37 พ.ร.บ.คนต่างด้าวฉบับนี้ระบุไว้ชัดเจนว่ากระบวนการขั้นตอนเป็นอย่างไร การชี้มูล การเอาความผิด การเอาผิดมีกระบวนการที่จะส่งต่อฝ่ายใดบ้าง การพูดเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้อง แต่ผมสงสัยว่าการพูดเช่นนี้เป็นการพูดที่อยู่ภายใต้อิทธิพลอะไรหรือไม่ มีใบสั่งทางการเมืองหรือไม่ คุณยรรยงต้องชี้แจงให้สังคมทราบ มีการอ้างอีกว่าต้องให้ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย กับตลาดหลักทรัพย์เข้ามาร่วมตรวจสอบด้วยยิ่งทำให้สังคมสับสน เพราะ พ.ร.บ.คนต่างด้าว ระบุไว้ชัดเจนว่าขอบเขตอำนาจอยู่ที่ใครไม่เกี่ยวกับ กลต. กฎหมายคนละฉบับ ความชำนาญคนละเรื่อง และก็ดูพฤติกรรมเข้าข่ายปั่นหุ้นหรือไม่ ผมคิดว่าคนละเรื่องเลย เรียกเข้าใจง่ายๆ ว่า “มั่วนิ่ม” ไม่ควรให้เกิดอย่างนี้อย่านำคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา ประเด็นที่ผมเป็นห่วงก็คือ เห็นได้ชัดว่าการตั้งคณะกรรมการใหม่น่าจะเข่าข่ายการขัดกฎหมาย เพราะอำนาจในกฎหมายระบุชัดเจนว่าการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้อยู่ในอำนาจของกรมพัฒนาธุรกิจในระดับอธิบดี การตั้งกรรมการใหม่ในระดับกระทรวงโดยมีรองปลัดมาเป็นประธาน ถามว่า ตั้งด้วยอำนาจอะไรใครเป็นคนตั้ง ไม่ได้อยู่ในอำนาจของกฎหมาย ผู้ที่เกี่ยวข้องมีเวลามีเวลาถึง 6 เดือน ทำไมตอนนี้ถึงจะมีการวิ่ง มีการให้ข้อมูลเพิ่ม” นายเกียรติกล่าว
นายเกียรติตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือกลัวจะมีความผิดก็เลยต้องดิ้นรนต้องมายื่นข้อมูล การที่นายยรรยงอ้างว่าเป็นข้อมูลใหม่ ตนขอถามกลับว่า ท่านยังไม่ได้เห็นเอกสารเลยท่านรู้อย่างไรว่าเป็นข้อมูลใหม่ ท่านประเมินได้อย่างไรว่าจะต้องใช้เวลา 2 — 3 เดือนทั้งๆที่ยังไม่ได้เอกสาร ทำอย่างนี้ตนเชื่อว่ามีธงอยู่แล้วว่าต้องการให้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎจนหลังเลือกตั้งเหมือนส่อเตะถ่วงเรื่องนี้ชัดเจน
ทั้งนั้ นายเกียรติตั้งคำถามถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ ปลัดฯ และรองปลัดฯ ด้วยว่าการที่เข้ามาก้าวก่ายในกระบวนการที่ไม่ให้อำนาจท่านไว้ในกฎหมายท่านช่วยชี้แจงให้กระจ่างว่า กระทรวงทำอะไรกันอยู่ เรื่องของกรมอยู่ดีดีตามกฎหมายขยับเข้าไประดับกระทรวงแล้ว เรื่องออกมาเป็นแบบนี้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า กระทรวงฯ ต้องการฟอกความผิดหรือเปล่า
นายเกียรติ ยังฝากความห่วงใยถึงผู้ที่เกี่ยวข่องในเรื่องนี้ว่า ตนอยากให้กำลัวใจท่านอธิบดีที่เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ท่านรองปลัดด้วย อย่ากลัวการเมือง แต่ถ้ามีส่วนในการเอื้อผู้ผิดท่านก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องในความผิดด้วย อย่าคิดว่าทำตามคำสั่งการเมืองไม่มีความผิด การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ขึ้นอยู่กับคดีชินคอร์ปนี้ ขอให้ทำกันอย่างโปร่งใสและขอให้กรมและกระทรวงเปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดภายในอาทิตย์หน้าอย่าลากเรื่องอีกต่อไป"
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พูดในรายการนายกฯ คุยกับประชาชนว่าการค้าของไทยอยู่ในระดับที่ดีนั้นระบุ การทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับ 4 ประเทศ ทำให้การส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้น 310,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ว่า ไม่ทราบใครทำตัวเลขให้รักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะข้อเท็จจริงมีปัญหาเรื่องการขาดดุล โดยเฉพาะกับประเทศออสเตรเลีย ที่ก่อนหน้านี้ถ้าเทียบตัวเลขประเทศไทยทำการค้ากับออสเตรเลียนั้นเกินดุลมาตลอด แต่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะขาดดุล ขณะที่การค้ากับประเทศจีนที่รักษาการนายกรัฐมนตรียอมรับว่าขาดดุลนั้น แต่ไม่ได้บอกว่าการขาดดุลดังกล่าวมีมาตั้งแต่ปี 2546 เพราะเป็นการเริ่มต้นของข้อตกลง ซึ่งก่อนปี 2546 ประเทศไทยขาดดุลจีนเพียง 16,000 ล้านบาท แต่ตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน ไทยขาดดุลประเทศจีนทั้งสิ้น 70,000 ล้านบาท ทำไมรักษาการนายกรัฐมนตรีจึงไม่นำตัวเลขที่แท้จริงออกมาพูด
นายเกียรติ กล่าวต่อไปอีกว่า การที่รักษาการนายกรัฐมนตรีอ้างว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นนั้น เป็นเรื่องไม่จริง การดำเนินการด้านเศรษฐกิจไม่ได้ดีอย่างที่กล่าวอ้าง ดูได้จากการที่เอเชียเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 7.5 แต่ประเทศไทยเติบโตร้อยละ 4.5 เมื่อเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าไทยเติบโตเฉลี่ยน้อยกว่าประเทศเวียดนาม การดำเนินการด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีไม่ดีตามที่อ้าง ดูจากหนี้ประชาชนเพิ่มขึ้น แต่รายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่ม และเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านเม็ดเงินลงทุนยังถดถอยกว่าจีนและมาเลเซีย เศรษฐกิจภาพรวมวันนี้มีปัญหาเรื่องดุลการค้าที่มีสัญญาณเริ่มไม่ดี เงินคงคลังถดถอย เก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า
“ผมอยากให้รักษาการนายกรัฐมนตรีไปถามพ่อค้าแม่ค้าในตลาดว่ายอดขายลดลงกว่าร้อยละ 50 จริงหรือไม่ ของแพงกว่าเดิมจริงหรือไม่ และขอเรียกร้องให้รักษาการนายกรัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้องชี้แจงตัวเลขเศรษฐกิจด้วยข้อเท็จจริง รวมทั้งนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ยังฝากไปถามรักษาการนายกรัฐมนตรีที่จะเพิ่มงบประมาณในการแก้ไขปัญหาความยากจนจำนวน 200,000 ล้านบาท ว่าจะเอาเงินมาจากไหน เพราะรัฐบาลไม่มีเงินมากขนาดนั้น” นายเกียรติกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ส.ค. 2549--จบ--
“ประการแรกมีการอ้างถึงในการให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ) เป็นผู้รับเอกสารเพิ่มเติม 200 หน้าในวันที่ 10 สิงหาคม 2549 ปกติแล้วอำนาจใจการสอบข้อเท็จจริงอยู่ที่กรมพัฒนาธุรกิจเป็นอำนาจตามกฎหมายเหตุใดหลังจาก 6 เดือนผ่านไป บริษัทหรือกรรมการผู้เกี่ยวข้องเอาเอกสารมายื่นกับฝ่ายการเมืองโดยตรงตรงนี้ผิดปกติแน่นอน ตรงนี้เห็นได้ชัดว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ประการที่ 2 มีการกล่าวอ้างว่า ในเรื่องการถือหุ้นในโครงสร้างลักษณะนี้เป็นเรื่องใหม่คนไทยไม่คุ้นเคยเป็นกรณีตัวอย่างในการสอบนอมินีอื่นๆต่อไป ผมว่าเป็นการกล่าวอ้างนอกจากจะดูถูกคนไทยแล้วยังดูกฎหมายไทยด้วย ผมเป็นคนที่ร่างกฎหมายฉบับนี้รู้ดีว่า พฤติกรรมการเป็นนอมินีเป็นอย่างไรบ้างจะมากล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยผมคิดว่าเป็นเรื่องดูถูดคนไทย และเป็นการพูดที่ชี้นำกระบวนการฟอกคนผิด ผมคิดว่าที่เรื่องนี้ควรจะเป็นกรณีตัวอย่างที่ไม่ควรทำ ประการที่ 3 อ้างว่าต้องมีข้อเท็จจริงว่าควรหรือไม่ควรดำเนินคดีเป็นการชี้มูลไม่ใช่เข้าข่ายว่ากระทำความผิดหรือไม่ นายยรรยง พวงราช รองปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นนักฎหมายเมื่อก่อนก็ทำกฎหมายฉบับนี้ร่วมกับผมทำไมพูดอย่างนี้ผมไม่เข้าใจขอให้ท่านกลับไปทบทวนมาตรา 36, 37 พ.ร.บ.คนต่างด้าวฉบับนี้ระบุไว้ชัดเจนว่ากระบวนการขั้นตอนเป็นอย่างไร การชี้มูล การเอาความผิด การเอาผิดมีกระบวนการที่จะส่งต่อฝ่ายใดบ้าง การพูดเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้อง แต่ผมสงสัยว่าการพูดเช่นนี้เป็นการพูดที่อยู่ภายใต้อิทธิพลอะไรหรือไม่ มีใบสั่งทางการเมืองหรือไม่ คุณยรรยงต้องชี้แจงให้สังคมทราบ มีการอ้างอีกว่าต้องให้ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย กับตลาดหลักทรัพย์เข้ามาร่วมตรวจสอบด้วยยิ่งทำให้สังคมสับสน เพราะ พ.ร.บ.คนต่างด้าว ระบุไว้ชัดเจนว่าขอบเขตอำนาจอยู่ที่ใครไม่เกี่ยวกับ กลต. กฎหมายคนละฉบับ ความชำนาญคนละเรื่อง และก็ดูพฤติกรรมเข้าข่ายปั่นหุ้นหรือไม่ ผมคิดว่าคนละเรื่องเลย เรียกเข้าใจง่ายๆ ว่า “มั่วนิ่ม” ไม่ควรให้เกิดอย่างนี้อย่านำคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา ประเด็นที่ผมเป็นห่วงก็คือ เห็นได้ชัดว่าการตั้งคณะกรรมการใหม่น่าจะเข่าข่ายการขัดกฎหมาย เพราะอำนาจในกฎหมายระบุชัดเจนว่าการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้อยู่ในอำนาจของกรมพัฒนาธุรกิจในระดับอธิบดี การตั้งกรรมการใหม่ในระดับกระทรวงโดยมีรองปลัดมาเป็นประธาน ถามว่า ตั้งด้วยอำนาจอะไรใครเป็นคนตั้ง ไม่ได้อยู่ในอำนาจของกฎหมาย ผู้ที่เกี่ยวข้องมีเวลามีเวลาถึง 6 เดือน ทำไมตอนนี้ถึงจะมีการวิ่ง มีการให้ข้อมูลเพิ่ม” นายเกียรติกล่าว
นายเกียรติตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือกลัวจะมีความผิดก็เลยต้องดิ้นรนต้องมายื่นข้อมูล การที่นายยรรยงอ้างว่าเป็นข้อมูลใหม่ ตนขอถามกลับว่า ท่านยังไม่ได้เห็นเอกสารเลยท่านรู้อย่างไรว่าเป็นข้อมูลใหม่ ท่านประเมินได้อย่างไรว่าจะต้องใช้เวลา 2 — 3 เดือนทั้งๆที่ยังไม่ได้เอกสาร ทำอย่างนี้ตนเชื่อว่ามีธงอยู่แล้วว่าต้องการให้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎจนหลังเลือกตั้งเหมือนส่อเตะถ่วงเรื่องนี้ชัดเจน
ทั้งนั้ นายเกียรติตั้งคำถามถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ ปลัดฯ และรองปลัดฯ ด้วยว่าการที่เข้ามาก้าวก่ายในกระบวนการที่ไม่ให้อำนาจท่านไว้ในกฎหมายท่านช่วยชี้แจงให้กระจ่างว่า กระทรวงทำอะไรกันอยู่ เรื่องของกรมอยู่ดีดีตามกฎหมายขยับเข้าไประดับกระทรวงแล้ว เรื่องออกมาเป็นแบบนี้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า กระทรวงฯ ต้องการฟอกความผิดหรือเปล่า
นายเกียรติ ยังฝากความห่วงใยถึงผู้ที่เกี่ยวข่องในเรื่องนี้ว่า ตนอยากให้กำลัวใจท่านอธิบดีที่เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ท่านรองปลัดด้วย อย่ากลัวการเมือง แต่ถ้ามีส่วนในการเอื้อผู้ผิดท่านก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องในความผิดด้วย อย่าคิดว่าทำตามคำสั่งการเมืองไม่มีความผิด การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ขึ้นอยู่กับคดีชินคอร์ปนี้ ขอให้ทำกันอย่างโปร่งใสและขอให้กรมและกระทรวงเปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดภายในอาทิตย์หน้าอย่าลากเรื่องอีกต่อไป"
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พูดในรายการนายกฯ คุยกับประชาชนว่าการค้าของไทยอยู่ในระดับที่ดีนั้นระบุ การทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับ 4 ประเทศ ทำให้การส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้น 310,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ว่า ไม่ทราบใครทำตัวเลขให้รักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะข้อเท็จจริงมีปัญหาเรื่องการขาดดุล โดยเฉพาะกับประเทศออสเตรเลีย ที่ก่อนหน้านี้ถ้าเทียบตัวเลขประเทศไทยทำการค้ากับออสเตรเลียนั้นเกินดุลมาตลอด แต่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะขาดดุล ขณะที่การค้ากับประเทศจีนที่รักษาการนายกรัฐมนตรียอมรับว่าขาดดุลนั้น แต่ไม่ได้บอกว่าการขาดดุลดังกล่าวมีมาตั้งแต่ปี 2546 เพราะเป็นการเริ่มต้นของข้อตกลง ซึ่งก่อนปี 2546 ประเทศไทยขาดดุลจีนเพียง 16,000 ล้านบาท แต่ตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน ไทยขาดดุลประเทศจีนทั้งสิ้น 70,000 ล้านบาท ทำไมรักษาการนายกรัฐมนตรีจึงไม่นำตัวเลขที่แท้จริงออกมาพูด
นายเกียรติ กล่าวต่อไปอีกว่า การที่รักษาการนายกรัฐมนตรีอ้างว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นนั้น เป็นเรื่องไม่จริง การดำเนินการด้านเศรษฐกิจไม่ได้ดีอย่างที่กล่าวอ้าง ดูได้จากการที่เอเชียเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 7.5 แต่ประเทศไทยเติบโตร้อยละ 4.5 เมื่อเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าไทยเติบโตเฉลี่ยน้อยกว่าประเทศเวียดนาม การดำเนินการด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีไม่ดีตามที่อ้าง ดูจากหนี้ประชาชนเพิ่มขึ้น แต่รายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่ม และเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านเม็ดเงินลงทุนยังถดถอยกว่าจีนและมาเลเซีย เศรษฐกิจภาพรวมวันนี้มีปัญหาเรื่องดุลการค้าที่มีสัญญาณเริ่มไม่ดี เงินคงคลังถดถอย เก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า
“ผมอยากให้รักษาการนายกรัฐมนตรีไปถามพ่อค้าแม่ค้าในตลาดว่ายอดขายลดลงกว่าร้อยละ 50 จริงหรือไม่ ของแพงกว่าเดิมจริงหรือไม่ และขอเรียกร้องให้รักษาการนายกรัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้องชี้แจงตัวเลขเศรษฐกิจด้วยข้อเท็จจริง รวมทั้งนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ยังฝากไปถามรักษาการนายกรัฐมนตรีที่จะเพิ่มงบประมาณในการแก้ไขปัญหาความยากจนจำนวน 200,000 ล้านบาท ว่าจะเอาเงินมาจากไหน เพราะรัฐบาลไม่มีเงินมากขนาดนั้น” นายเกียรติกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ส.ค. 2549--จบ--