เครื่องสุขภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้สินค้าทุนและเทคโนโลยีการผลิตสูง ต้องการผู้ ที่มีความรู้ ความชำนาญทางด้านการผลิตเป็นอย่างมาก ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ ได้แก่ ส้วมชักโครก ส้วม นั่งยอง อ่างล้างหน้า อ่างล้างมือ ที่ปัสสาวะ และอุปกรณ์ห้องน้ำอื่น ๆ เป็นต้น ไทยเริ่มมีการผลิตเครื่อง สุขภัณฑ์ ตั้งแต่ปี 2513 ซึ่งแต่เดิมเป็นการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ต่อมาได้พัฒนาเทคโนโลยีการ ผลิตอย่างต่อเนื่องจนสามารถผลิตเพื่อส่งออก นำเงินตราเข้าประเทศได้ปีละกว่าพันล้านบาท และเป็น ผู้นำทางด้านการผลิตสุขภัณฑ์ในแถบเอเซีย จึงนับว่าอุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
1. การผลิต
อุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมที่มีผู้ผลิตน้อยราย โรงงานส่วนใหญ่ได้มาตรฐานและมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง สามารถผลิตได้เกือบเต็มกำลัง การผลิต สถานที่ตั้งโรงงานส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดสระบุรี และสมุทรสาคร
1.1 จำนวนโรงงาน
ปัจจุบันมีผู้ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศ จำนวน 8 ราย มีกำลังการผลิตประมาณ 160,000 ตันต่อปี คนงาน 6,780 คน โดยมีผู้ผลิตรายใหญ่ 3 ราย คือ บริษัท กะรัตสุขภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เครื่องสุขภัณฑ์อเมริกันสแตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยาม ซานิทารี่แวร์อินดัสทรี จำกัด ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมคิดเป็นร้อยละ 80 ของกำลังการผลิตทั้งหมด
1.2 วัตถุดิบ
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์มีทั้งในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ วัตถุดิบที่ใช้ในประเทศ ได้แก่ ดินขาว ดินเหนียว หินฟันม้า ทรายแก้ว และปูนพลาสเตอร์ ซึ่งมีปริมาณเพียงพอสำหรับอุตสาหกรรม แต่มีปัญหาในเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบไม่มีความสม่ำเสมอ จึงมีภาระต้นทุนเพิ่มในการปรับคุณภาพและการพัฒนาวัตถุดิบ สำหรับวัตถุดิบที่นำเข้าต่างประเทศ ได้แก่ สี และสารเคมี นั้นอัตราภาษีนำเข้ายังสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง วัตถุดิบที่ใช้ในประเทศคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 74 และวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26
1.3 โครงสร้างต้นทุนการผลิต
โครงสร้างต้นทุนการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ประกอบด้วย ต้นทุนคงที่ ได้แก่ ค่าโสหุ้ย โรงงาน ร้อยละ 15 ค่าเสื่อมราคา ร้อยละ 20 และต้นทุนผันแปร ได้แก่ วัตถุดิบ ร้อยละ 17 พลังงาน ร้อยละ 10 แรงงาน ร้อยละ 25 และอื่น ๆ ร้อยละ 13
โครงสร้างต้นทุนการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์จะมีวัตถุดิบเพียงร้อยละ 17 เนื่องจากมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์จะอยู่ในส่วนของการออกแบบเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้มีค่าแรงงานถึงร้อยละ 25 สำหรับพลังงานนั้นมีต้นทุนร้อยละ 10 ซึ่งนับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากอุตสาหกรรมหนึ่ง
1.4 ปริมาณการผลิต
ในปี 2542 มีปริมาณการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ 110,000 ตัน มีการใช้กำลังการผลิตประมาณร้อยละ 68.75 ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2541 ประมาณร้อยละ 7.42 โดยในปี 2541 มีปริมาณการผลิต 102,400 ตัน
2. การตลาด
การจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์จะเปลี่ยนแปลงตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่เดิมการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เป็นการผลิตเพื่อตลาดในประเทศกว่าร้อยละ 70 เมื่อตลาดภายในประเทศ ซบเซา ผู้ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศหลายราย โดยเฉพาะรายที่ร่วมทุนกับต่างประเทศได้พยายามขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น แต่เนื่องจากเครื่องสุขภัณฑ์เป็นสินค้ากึ่งเฟอร์นิเจอร์ ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปแบบตลอดเวลา การผลิตเพื่อส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการรับจ้างผลิตตามรูปแบบของประเทศ แม่แบบ การส่งออกจึงเป็นการเพิ่มทางด้านปริมาณมากกว่าราคา จึงต้องรับงานในราคาที่ถูกลงเพื่อเพิ่มโอกาสขายให้ได้มากขึ้น โดยส่งออกร้อยละ 70 ของปริมาณการผลิต
ประเทศคู่ค้าเครื่องสุขภัณฑ์ที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น ประเทศคู่แข่งเครื่องสุขภัณฑ์ที่สำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย ซึ่งมีกำลังการผลิตใกล้เคียงกับประเทศไทย แต่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนและพลังงาน รวมทั้งโครงสร้างภาษีวัตถุดิบที่มีการเรียกเก็บไม่กี่รายการ
2.1 การจำหน่ายในประเทศ
ในปี 2542 มีปริมาณการจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศ 29,000 ตัน มูลค่า 1,560 ล้านบาท ลดลงจากปี 2541 ร้อยละ 6.45 และร้อยละ 6.19 ตามลำดับ โดยในปี 2541 มีปริมาณ การจำหน่าย 31,000 ตัน มูลค่า 1,663 ล้านบาท
2.2 การส่งออก
ในปี 2542 มีการส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์ 60,085 ตัน มูลค่า 2,896.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2541 ร้อยละ 35.81 และร้อยละ 20.87 ตามลำดับ โดยในปี 2541 มีการส่งออก 44,242 ตัน มูลค่า 2,396.52 ล้านบาท สำหรับในปี 2543 (ม.ค.-ก.ย.) มีการส่งออก 53,510 ตัน มูลค่า 2,528.46 ล้านบาท การส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์ส่วนใหญ่จะส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น แคนาดา พม่า และไต้หวัน เป็นตัน
2.3 การนำเข้า
การนำเข้าเครื่องสุขภัณฑ์จะมีปริมาณและมูลค่าไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะนำเข้า เครื่องสุขภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคระดับสูง โดยนำเข้าจากประเทศ อิตาลี เยอรมัน ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ในปี 2542 มีการนำเข้าเครื่องสุขภัณฑ์ 37 ตัน มูลค่า 9.57 ล้านบาท สำหรับในปี 2543 (ม.ค.-ก.ย.) มีการนำเข้า 55 ตัน มูลค่า 7.92 ล้านบาท
2.4 ความต้องการใช้
ในปี 2540 มีปริมาณความต้องการใช้เครื่องสุขภัณฑ์ 93,033 ตัน ปี 2541 มีปริมาณ58,168 ตัน และปี 2542 มีปริมาณ 49,952 ตัน ปริมาณความต้องการใช้ลดลงจากปี 2540 และปี 2541ร้อยละ 37.48 และ 14.12 ตามลำดับ สาเหตุเนื่องจากตั้งแต่ปี 2541-2542 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศซบเซา
3. นโยบายของรัฐ
3.1 การส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ประกาศนโยบาย หลักเกณฑ์ ประเภท ขนาด และเงื่อนไขของกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไป โดยแบ่งเขตการลงทุนออกเป็น 3 เขต และให้ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรแตกต่างกันตามเขตการลงทุน ซึ่งจะเน้นให้สิทธิประโยชน์สูงสุดในเขต 3 ซึ่งครอบคลุม พื้นที่ 58 จังหวัด สำหรับกิจการผลิตเครื่องปั้นดินเผาประเภท สโตนแวร์ ปอร์ชเลน และโบนไชน่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้กำหนดให้เป็นกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุน โดยมีเงื่อนไขให้ ตั้งอยู่ในเขต 2 และ 3
3.2 ภาษีอากร
เครื่องสุขภัณฑ์ จัดอยู่ในพิกัดศุลกากรประเภทที่ 6910 ซึ่งจัดเก็บอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 80 หรือจัดเก็บตามสภาพในอัตรากิโลกรัมละ 10 บาท และกระทรวงการคลังได้ปรับลดอัตราอากรขาเข้าเครื่องสุขภัณฑ์ ตามประกาศกระทรวงการคลังที่ ศก.1/2542 ลงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2542 โดยจัดเก็บอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 30 หรือจัดเก็บตามสภาพในอัตรากิโลกรัมละ 3.75 บาท เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงทางการค้ากับองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับอัตราอากรขาเข้าตามข้อตกลง เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปัจจุบันจัดเก็บในอัตราร้อยละ 5
3.3 มาตรฐานอุตสาหกรรม
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสุขภัณฑ์มีคุณภาพ เป็นที่เชื่อถือของผู้บริโภค สำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เครื่องสุขภัณฑ์ ไว้ดังนี้
-มอก. 791-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : อ่างล้างหน้า-ล้างมือ
-มอก. 792-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : โถส้วม
-มอก. 793-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : ถังพักน้ำและฝาปิด
-มอก. 794-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : ที่นั่งส้วมแบบนั่งยอง
-มอก. 795-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : ที่ปัสสาวะชาย
-มอก. 796-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : บิเดต์
-มอก. 797-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : อุปกรณ์ห้องน้ำอื่น ๆ
4. ปัญหาอุปสรรค
1. พลังงานได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า มีราคาสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ทำให้ ต้นทุนการผลิตสูง
2. วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ การพัฒนาวัตถุดิบในประเทศยังไม่เพียงพอ ทำให้มีภาระต้นทุนในการปรับคุณภาพวัตถุดิบ
3. ภาษีนำเข้าวัตถุดิบ (เช่น สี สารเคลือบ สารเคมี) ยังมีอัตราสูงเมื่อเทียบกับประเทศ คู่แข่ง และการขอคืนภาษีนำเข้าวัตถุดิบมีความล่าช้า
4. เกิดการสูญเสียในระหว่างการผลิต และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จะไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลใหม่ได้ ทำให้มีภาระในด้านต้นทุนการผลิตเพิ่ม
5. ขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญ เฉพาะทาง และแรงงานมีราคาสูง เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
6. ขาดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงธุรกิจ เพื่อใช้ทดแทนการนำเข้า ตลอดจนขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และผลิตภัณฑ์ Brand Name ของไทย
7. ขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน และมีปัญหาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม
5. แนวทางการดำเนินงาน
1. กำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนาอุตสาหกรรม
2. สำรวจ จัดหา พัฒนาแหล่งวัตถุดิบสำรอง
3. วิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์
4. พัฒนาขีดความสามารถในการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน
5. พัฒนาบุคลากร
6. จัดทำระบบข้อมูลทางการตลาด และส่งเสริมการตลาด
ที่มา : กองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 โทร. 2024370, 6448905
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
1. การผลิต
อุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมที่มีผู้ผลิตน้อยราย โรงงานส่วนใหญ่ได้มาตรฐานและมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง สามารถผลิตได้เกือบเต็มกำลัง การผลิต สถานที่ตั้งโรงงานส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดสระบุรี และสมุทรสาคร
1.1 จำนวนโรงงาน
ปัจจุบันมีผู้ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศ จำนวน 8 ราย มีกำลังการผลิตประมาณ 160,000 ตันต่อปี คนงาน 6,780 คน โดยมีผู้ผลิตรายใหญ่ 3 ราย คือ บริษัท กะรัตสุขภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เครื่องสุขภัณฑ์อเมริกันสแตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยาม ซานิทารี่แวร์อินดัสทรี จำกัด ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมคิดเป็นร้อยละ 80 ของกำลังการผลิตทั้งหมด
1.2 วัตถุดิบ
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์มีทั้งในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ วัตถุดิบที่ใช้ในประเทศ ได้แก่ ดินขาว ดินเหนียว หินฟันม้า ทรายแก้ว และปูนพลาสเตอร์ ซึ่งมีปริมาณเพียงพอสำหรับอุตสาหกรรม แต่มีปัญหาในเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบไม่มีความสม่ำเสมอ จึงมีภาระต้นทุนเพิ่มในการปรับคุณภาพและการพัฒนาวัตถุดิบ สำหรับวัตถุดิบที่นำเข้าต่างประเทศ ได้แก่ สี และสารเคมี นั้นอัตราภาษีนำเข้ายังสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง วัตถุดิบที่ใช้ในประเทศคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 74 และวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26
1.3 โครงสร้างต้นทุนการผลิต
โครงสร้างต้นทุนการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ประกอบด้วย ต้นทุนคงที่ ได้แก่ ค่าโสหุ้ย โรงงาน ร้อยละ 15 ค่าเสื่อมราคา ร้อยละ 20 และต้นทุนผันแปร ได้แก่ วัตถุดิบ ร้อยละ 17 พลังงาน ร้อยละ 10 แรงงาน ร้อยละ 25 และอื่น ๆ ร้อยละ 13
โครงสร้างต้นทุนการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์จะมีวัตถุดิบเพียงร้อยละ 17 เนื่องจากมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์จะอยู่ในส่วนของการออกแบบเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้มีค่าแรงงานถึงร้อยละ 25 สำหรับพลังงานนั้นมีต้นทุนร้อยละ 10 ซึ่งนับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากอุตสาหกรรมหนึ่ง
1.4 ปริมาณการผลิต
ในปี 2542 มีปริมาณการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ 110,000 ตัน มีการใช้กำลังการผลิตประมาณร้อยละ 68.75 ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2541 ประมาณร้อยละ 7.42 โดยในปี 2541 มีปริมาณการผลิต 102,400 ตัน
2. การตลาด
การจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์จะเปลี่ยนแปลงตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่เดิมการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เป็นการผลิตเพื่อตลาดในประเทศกว่าร้อยละ 70 เมื่อตลาดภายในประเทศ ซบเซา ผู้ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศหลายราย โดยเฉพาะรายที่ร่วมทุนกับต่างประเทศได้พยายามขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น แต่เนื่องจากเครื่องสุขภัณฑ์เป็นสินค้ากึ่งเฟอร์นิเจอร์ ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปแบบตลอดเวลา การผลิตเพื่อส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการรับจ้างผลิตตามรูปแบบของประเทศ แม่แบบ การส่งออกจึงเป็นการเพิ่มทางด้านปริมาณมากกว่าราคา จึงต้องรับงานในราคาที่ถูกลงเพื่อเพิ่มโอกาสขายให้ได้มากขึ้น โดยส่งออกร้อยละ 70 ของปริมาณการผลิต
ประเทศคู่ค้าเครื่องสุขภัณฑ์ที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น ประเทศคู่แข่งเครื่องสุขภัณฑ์ที่สำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย ซึ่งมีกำลังการผลิตใกล้เคียงกับประเทศไทย แต่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนและพลังงาน รวมทั้งโครงสร้างภาษีวัตถุดิบที่มีการเรียกเก็บไม่กี่รายการ
2.1 การจำหน่ายในประเทศ
ในปี 2542 มีปริมาณการจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศ 29,000 ตัน มูลค่า 1,560 ล้านบาท ลดลงจากปี 2541 ร้อยละ 6.45 และร้อยละ 6.19 ตามลำดับ โดยในปี 2541 มีปริมาณ การจำหน่าย 31,000 ตัน มูลค่า 1,663 ล้านบาท
2.2 การส่งออก
ในปี 2542 มีการส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์ 60,085 ตัน มูลค่า 2,896.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2541 ร้อยละ 35.81 และร้อยละ 20.87 ตามลำดับ โดยในปี 2541 มีการส่งออก 44,242 ตัน มูลค่า 2,396.52 ล้านบาท สำหรับในปี 2543 (ม.ค.-ก.ย.) มีการส่งออก 53,510 ตัน มูลค่า 2,528.46 ล้านบาท การส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์ส่วนใหญ่จะส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น แคนาดา พม่า และไต้หวัน เป็นตัน
2.3 การนำเข้า
การนำเข้าเครื่องสุขภัณฑ์จะมีปริมาณและมูลค่าไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะนำเข้า เครื่องสุขภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคระดับสูง โดยนำเข้าจากประเทศ อิตาลี เยอรมัน ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ในปี 2542 มีการนำเข้าเครื่องสุขภัณฑ์ 37 ตัน มูลค่า 9.57 ล้านบาท สำหรับในปี 2543 (ม.ค.-ก.ย.) มีการนำเข้า 55 ตัน มูลค่า 7.92 ล้านบาท
2.4 ความต้องการใช้
ในปี 2540 มีปริมาณความต้องการใช้เครื่องสุขภัณฑ์ 93,033 ตัน ปี 2541 มีปริมาณ58,168 ตัน และปี 2542 มีปริมาณ 49,952 ตัน ปริมาณความต้องการใช้ลดลงจากปี 2540 และปี 2541ร้อยละ 37.48 และ 14.12 ตามลำดับ สาเหตุเนื่องจากตั้งแต่ปี 2541-2542 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศซบเซา
3. นโยบายของรัฐ
3.1 การส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ประกาศนโยบาย หลักเกณฑ์ ประเภท ขนาด และเงื่อนไขของกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไป โดยแบ่งเขตการลงทุนออกเป็น 3 เขต และให้ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรแตกต่างกันตามเขตการลงทุน ซึ่งจะเน้นให้สิทธิประโยชน์สูงสุดในเขต 3 ซึ่งครอบคลุม พื้นที่ 58 จังหวัด สำหรับกิจการผลิตเครื่องปั้นดินเผาประเภท สโตนแวร์ ปอร์ชเลน และโบนไชน่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้กำหนดให้เป็นกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุน โดยมีเงื่อนไขให้ ตั้งอยู่ในเขต 2 และ 3
3.2 ภาษีอากร
เครื่องสุขภัณฑ์ จัดอยู่ในพิกัดศุลกากรประเภทที่ 6910 ซึ่งจัดเก็บอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 80 หรือจัดเก็บตามสภาพในอัตรากิโลกรัมละ 10 บาท และกระทรวงการคลังได้ปรับลดอัตราอากรขาเข้าเครื่องสุขภัณฑ์ ตามประกาศกระทรวงการคลังที่ ศก.1/2542 ลงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2542 โดยจัดเก็บอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 30 หรือจัดเก็บตามสภาพในอัตรากิโลกรัมละ 3.75 บาท เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงทางการค้ากับองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับอัตราอากรขาเข้าตามข้อตกลง เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปัจจุบันจัดเก็บในอัตราร้อยละ 5
3.3 มาตรฐานอุตสาหกรรม
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสุขภัณฑ์มีคุณภาพ เป็นที่เชื่อถือของผู้บริโภค สำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เครื่องสุขภัณฑ์ ไว้ดังนี้
-มอก. 791-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : อ่างล้างหน้า-ล้างมือ
-มอก. 792-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : โถส้วม
-มอก. 793-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : ถังพักน้ำและฝาปิด
-มอก. 794-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : ที่นั่งส้วมแบบนั่งยอง
-มอก. 795-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : ที่ปัสสาวะชาย
-มอก. 796-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : บิเดต์
-มอก. 797-2531 เครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : อุปกรณ์ห้องน้ำอื่น ๆ
4. ปัญหาอุปสรรค
1. พลังงานได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า มีราคาสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ทำให้ ต้นทุนการผลิตสูง
2. วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ การพัฒนาวัตถุดิบในประเทศยังไม่เพียงพอ ทำให้มีภาระต้นทุนในการปรับคุณภาพวัตถุดิบ
3. ภาษีนำเข้าวัตถุดิบ (เช่น สี สารเคลือบ สารเคมี) ยังมีอัตราสูงเมื่อเทียบกับประเทศ คู่แข่ง และการขอคืนภาษีนำเข้าวัตถุดิบมีความล่าช้า
4. เกิดการสูญเสียในระหว่างการผลิต และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จะไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลใหม่ได้ ทำให้มีภาระในด้านต้นทุนการผลิตเพิ่ม
5. ขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญ เฉพาะทาง และแรงงานมีราคาสูง เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
6. ขาดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงธุรกิจ เพื่อใช้ทดแทนการนำเข้า ตลอดจนขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และผลิตภัณฑ์ Brand Name ของไทย
7. ขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน และมีปัญหาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม
5. แนวทางการดำเนินงาน
1. กำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนาอุตสาหกรรม
2. สำรวจ จัดหา พัฒนาแหล่งวัตถุดิบสำรอง
3. วิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์
4. พัฒนาขีดความสามารถในการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน
5. พัฒนาบุคลากร
6. จัดทำระบบข้อมูลทางการตลาด และส่งเสริมการตลาด
ที่มา : กองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 โทร. 2024370, 6448905
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-