กรุงเทพ--1 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันพุธที่ 29 พ.ย. 2549 นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุมกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่างๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. นิตยสาร TIME กราบบังคลทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงรับรางวัล TIME Asia’s Heroes” ในงานครบรอบ 60 ปีของนิตยสาร TIME
รอง อธ.กรมสารนิเทศ ได้กล่าวว่า จากการที่นิตยสาร TIME ได้จัดอันดับบุคคลสำคัญในเอเชียนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการคัดเลือกจากนิตยสาร TIME ให้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของเอเชียในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา โดยทรงได้รับรางวัล “TIME Asia’s Heroes” ซึ่งนาย Michael Elliot ตำแหน่ง International Editor และนาย Alan Lammin ตำแหน่ง Publishing Director ของนิตยสาร TIME Asia ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงรับรางวัล TIME Asia’s Heroes ในงานครบรอบ 60 ปี ของนิตยสาร TIME Asia ที่โรงแรม The Ritz Carlton เมืองฮ่องกงเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2549
สำนักราชเลขาธิการได้นำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายวิชัย วราศิริกุล กงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง เป็นผู้แทนพระองค์ไปรับรางวัลดังกล่าวแล้ว
2.การอำนวยความสะดวกแก่คณะผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมในพิธีฮัจญ์
รอง อธ.กรมสารนิเทศ กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงการเดินทางไปแสวงบุญในพิธีฮัจญ์ ซึ่งตามปกติของ ทุกปี จะมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี กระทรวงสาธารณสุข สอท.ณ กรุงริยาด และสกญ.ณ เมืองเจดดาห์ ร่วมกันดำเนินการอำนวยความสะดวกให้ชาวไทยมุสลิมได้เดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ ประมาณ 1 หมื่นคน โดยจะมีการทยอยเดินทางไปร่วมพิธีฯ ซึ่งผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมชุดแรก จำนวน 392 คน ได้เดินทางโดยเครื่องบินจากท่าอากาศยานหาดใหญ่ ถึงสนามบิน ณ เมืองเจดดาห์แล้ว เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2549
ทั้งนี้ สกญ.ณ เมืองเจดดาห์ จะจัดเวรเจ้าหน้าที่ไปประจำที่สนามบินเมืองเจดดาห์ เพื่อต้อนรับและอำนวยความสะดวกตลอดระยะเวลาที่มีผู้แสวงบุญจากประเทศไทยเดินทางไป โดยหน่วยราชการไทย และกระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมกันดำเนินการมาโดยตลอด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้แสวงบุญ
3. สถาบันจัดลำดับความน่าเชื่อถือระดับโลกปรับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความน่าเชื่อถือด้านการลงทุน
รอง อธ.กรมสารนิเทศ กล่าวว่า ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 ก.ย. นั้น ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ปรากฏว่า สถาบันจัดลำดับ ความน่าเชื่อถือที่สำคัญต่างๆ ของโลก ได้แก่ Fitch, Standard & Poor’s (S&P) และ Japan Credit Rating Agency (JCR) ได้ปรับการจัดลำดับความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยใหม่ให้ดีขึ้น โดยเห็นว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยได้คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว ซึ่งมีผลทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จึงได้ถอนสถานะ Credit Watch ที่เป็น “Negative” ที่เคยให้ไว้กับไทยในช่วงมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองออก และเห็นว่า ภาพรวมของไทย “มีเสถียรภาพ” (Stable) รวมทั้งได้ประกาศปรับลำดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2549 : สถาบัน Fitch ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติในระยะยาว ในระดับ BBB+ และความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินบาทในระยะยาว ที่ระดับ A ส่วนพันธบัตรระยะสั้นของไทย สกุลเงินต่างชาติ และสกุลเงินบาทมีความน่าเชื่อถือในระดับ F2
- เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2549 : S&P ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติระยะยาว ในระดับ BBB+ และความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินบาทระยะยาว ที่ระดับ A ส่วนพันธบัตรระยะสั้นของไทย สกุลเงินต่างชาติ มีความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ A-2 สกุลเงินบาท ที่ระดับ A-1
- เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 : JCR ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติในระยะยาว ที่ระดับ A- และสกุลเงินบาท ที่ระดับ A+
- นอกจากนั้น หอการค้าสหรัฐฯ (The U.S. Chamber of Commerce) ได้ออกเอกสารนโยบาย (Policy Paper) เรื่อง “Southeast Asia: Dynamic Opportunities for U.S. Competitiveness” ปี ค.ศ.2006-2007 ระบุว่า การยึดอำนาจในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนเป็นไปอย่างสงบ ปราศจากการเสียเลือดเนื้อ และเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองในไทยมีผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย และเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพและน่าลงทุนอยู่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลจะได้เร่งดำเนินการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจของไทย เพื่อส่งเสริมความมั่นใจที่นักลงทุนต่างชาติมีต่อประเทศไทยต่อไป โดยที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ใช้โอกาสต่างๆ เช่น การพบสื่อมวลชนต่างชาติของนายกรัฐมนตรีที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศเทศในประเทศไทย (FCCT) การชี้แจงต่อผู้นำประเทศอาเซียนและจีนในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีไปเยือนต่างประเทศ การอธิบายต่อผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำของระบบเศรษฐกิจต่างๆ ในการประชุม APEC ซึ่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงฯ ได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และจากการดำเนินการที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร โดยกระทรวงการต่างประเทศจะยังคงมีการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้เพราะกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าการฟื้นฟูความเชื่อมั่นเป็นงานหลัก (priority) ของกระทรวงฯ เช่น การให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะด้านการเมืองและสถานการณ์ภายในประเทศแก่ สอท./สกญ. ซึ่งเป็นด่านหน้าในการติดต่อกับต่างประเทศ รวมทั้งผู้สื่อข่าวเพื่อให้ได้รับทราบรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ท่าทีของหลายประเทศ และของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ถือเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในทางที่ดี ซึ่งกระทรวงฯ ก็ได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะที่จะดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากต่างประเทศด้วย
4. การเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี สปป.ลาวและนายกรัฐมนตรีเวียดนาม
รอง อธ.กรมสารนิเทศแจ้งว่า ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. นี้ นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว และนายเหวียน เติน ซุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม จะเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว มีกำหนดจะเยือนในช่วงระหว่างวันที่ 17-19 ธ.ค. 2549 ส่วนนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ตอบรับคำเชิญของนายกรัฐมนตรีให้มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ในวันที่ 20 ธ.ค. 2549 โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามจะเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 19-21 ธันวาคม 2549 ด้วย
การเยือนไทยของผู้นำ สปป.ลาว และเวียดนามในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก (Official Visit) นับตั้งแต่ผู้นำทั้งสองได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บริหารประเทศเมื่อเดือน มิ.ย. 2549 รวมทั้งยังเป็นการเยือนตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีเพื่อตอบแทนการเยือน สปป.ลาวของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2549 และการเยือนเวียดนามเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2549 โดยในส่วนของนายกรัฐมนตรีลาวนั้น จะได้เดินทางไปชมงานมหกรรมพืชสวนโลก “ราชพฤกษ์ 2549” ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 17 ธ.ค. ด้วยซึ่งทางการลาวได้ให้ความร่วมมือในเรื่องการจัดสวนกลางแจ้ง และการส่งนาฏศิลป์และการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมเข้าร่วมเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีด้วย
การเยือนของผู้นำมิตรประเทศทั้งสองนี้ นอกจากจะสะท้อนถึงมิตรภาพและสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างรัฐบาลและประชาชนสองฝ่ายแล้ว ยังจะได้มีการหารือข้อราชการ ตลอดจนมีการลงนามใน ความตกลงต่างๆ ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับสะพานมิตรภาพ 2 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง East-West Economic Corridor ที่เชื่อมโยงระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม และจะเป็นเส้นทางสายสำคัญทางเศรษฐกิจที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่ภูมิภาคในระยะยาวด้วย
ทั้งนี้ รอง อธ.กรมสารนิเทศ ได้แจ้งด้วยว่า รมช.ต่างประเทศญี่ปุ่น จะเดินทางมาร่วมในพิธีเปิดสะพานดังกล่าวด้วย ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศ partner ที่ได้ให้ความช่วยเหลือในการก่อสร้างสะพานดังกล่าวด้วย
5. การจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองชาวเกาหลีเหนือโดยผิดกฎหมาย
รอง อธ.กรมสารนิเทศแจ้งว่า ชาวเกาหลีเหนือที่ถูกจับกุมทั้ง 59 คน ขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจภูธร อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งจะถูกดำเนินคดีในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และพำนักอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้ด้วยหลักมนุษยธรรมมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ไทยมีข้อกังวลเกี่ยวกับการลักลอบเข้าเมืองของชาวเกาหลีเหนือ ซึ่งในระยะหลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเป็นการดำเนินการในลักษณะที่มีองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้การสนับสนุนซึ่งเป็นการเพิ่มภาระแก่ทางการไทยไม่มีที่สิ้นสุด รัฐบาลไทยจึงจะต้องเพิ่ม ความเข้มงวดในการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองของชาวเกาหลีเหนือและชาวต่างชาติอื่นๆ โดยเน้นการเพิ่มมาตรการการสกัดกั้นตามแนวชายแดน และการดำเนินการทางกฎหมายต่อกลุ่มหรือขบวนการนำพาผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย
ประเด็นคำถาม
ความคืบหน้าของการจัดทำสมุดปกขาว
รอง อธ.กรมสารนิเทศ กล่าวว่า การจัดสมุดปกขาวมีการดำเนินการร่วมกันของหลายหน่วยงาน โดยมีสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหน่วยงานหลัก ซึ่งกระทรวงฯ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคณะทำงาน รวมทั้งการแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวันพุธที่ 29 พ.ย. 2549 นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุมกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่างๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. นิตยสาร TIME กราบบังคลทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงรับรางวัล TIME Asia’s Heroes” ในงานครบรอบ 60 ปีของนิตยสาร TIME
รอง อธ.กรมสารนิเทศ ได้กล่าวว่า จากการที่นิตยสาร TIME ได้จัดอันดับบุคคลสำคัญในเอเชียนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการคัดเลือกจากนิตยสาร TIME ให้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของเอเชียในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา โดยทรงได้รับรางวัล “TIME Asia’s Heroes” ซึ่งนาย Michael Elliot ตำแหน่ง International Editor และนาย Alan Lammin ตำแหน่ง Publishing Director ของนิตยสาร TIME Asia ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงรับรางวัล TIME Asia’s Heroes ในงานครบรอบ 60 ปี ของนิตยสาร TIME Asia ที่โรงแรม The Ritz Carlton เมืองฮ่องกงเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2549
สำนักราชเลขาธิการได้นำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายวิชัย วราศิริกุล กงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง เป็นผู้แทนพระองค์ไปรับรางวัลดังกล่าวแล้ว
2.การอำนวยความสะดวกแก่คณะผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมในพิธีฮัจญ์
รอง อธ.กรมสารนิเทศ กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงการเดินทางไปแสวงบุญในพิธีฮัจญ์ ซึ่งตามปกติของ ทุกปี จะมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี กระทรวงสาธารณสุข สอท.ณ กรุงริยาด และสกญ.ณ เมืองเจดดาห์ ร่วมกันดำเนินการอำนวยความสะดวกให้ชาวไทยมุสลิมได้เดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ ประมาณ 1 หมื่นคน โดยจะมีการทยอยเดินทางไปร่วมพิธีฯ ซึ่งผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมชุดแรก จำนวน 392 คน ได้เดินทางโดยเครื่องบินจากท่าอากาศยานหาดใหญ่ ถึงสนามบิน ณ เมืองเจดดาห์แล้ว เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2549
ทั้งนี้ สกญ.ณ เมืองเจดดาห์ จะจัดเวรเจ้าหน้าที่ไปประจำที่สนามบินเมืองเจดดาห์ เพื่อต้อนรับและอำนวยความสะดวกตลอดระยะเวลาที่มีผู้แสวงบุญจากประเทศไทยเดินทางไป โดยหน่วยราชการไทย และกระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมกันดำเนินการมาโดยตลอด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้แสวงบุญ
3. สถาบันจัดลำดับความน่าเชื่อถือระดับโลกปรับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความน่าเชื่อถือด้านการลงทุน
รอง อธ.กรมสารนิเทศ กล่าวว่า ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 ก.ย. นั้น ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ปรากฏว่า สถาบันจัดลำดับ ความน่าเชื่อถือที่สำคัญต่างๆ ของโลก ได้แก่ Fitch, Standard & Poor’s (S&P) และ Japan Credit Rating Agency (JCR) ได้ปรับการจัดลำดับความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยใหม่ให้ดีขึ้น โดยเห็นว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยได้คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว ซึ่งมีผลทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จึงได้ถอนสถานะ Credit Watch ที่เป็น “Negative” ที่เคยให้ไว้กับไทยในช่วงมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองออก และเห็นว่า ภาพรวมของไทย “มีเสถียรภาพ” (Stable) รวมทั้งได้ประกาศปรับลำดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2549 : สถาบัน Fitch ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติในระยะยาว ในระดับ BBB+ และความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินบาทในระยะยาว ที่ระดับ A ส่วนพันธบัตรระยะสั้นของไทย สกุลเงินต่างชาติ และสกุลเงินบาทมีความน่าเชื่อถือในระดับ F2
- เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2549 : S&P ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติระยะยาว ในระดับ BBB+ และความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินบาทระยะยาว ที่ระดับ A ส่วนพันธบัตรระยะสั้นของไทย สกุลเงินต่างชาติ มีความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ A-2 สกุลเงินบาท ที่ระดับ A-1
- เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 : JCR ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติในระยะยาว ที่ระดับ A- และสกุลเงินบาท ที่ระดับ A+
- นอกจากนั้น หอการค้าสหรัฐฯ (The U.S. Chamber of Commerce) ได้ออกเอกสารนโยบาย (Policy Paper) เรื่อง “Southeast Asia: Dynamic Opportunities for U.S. Competitiveness” ปี ค.ศ.2006-2007 ระบุว่า การยึดอำนาจในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนเป็นไปอย่างสงบ ปราศจากการเสียเลือดเนื้อ และเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองในไทยมีผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย และเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพและน่าลงทุนอยู่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลจะได้เร่งดำเนินการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจของไทย เพื่อส่งเสริมความมั่นใจที่นักลงทุนต่างชาติมีต่อประเทศไทยต่อไป โดยที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ใช้โอกาสต่างๆ เช่น การพบสื่อมวลชนต่างชาติของนายกรัฐมนตรีที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศเทศในประเทศไทย (FCCT) การชี้แจงต่อผู้นำประเทศอาเซียนและจีนในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีไปเยือนต่างประเทศ การอธิบายต่อผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำของระบบเศรษฐกิจต่างๆ ในการประชุม APEC ซึ่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงฯ ได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และจากการดำเนินการที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร โดยกระทรวงการต่างประเทศจะยังคงมีการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้เพราะกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าการฟื้นฟูความเชื่อมั่นเป็นงานหลัก (priority) ของกระทรวงฯ เช่น การให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะด้านการเมืองและสถานการณ์ภายในประเทศแก่ สอท./สกญ. ซึ่งเป็นด่านหน้าในการติดต่อกับต่างประเทศ รวมทั้งผู้สื่อข่าวเพื่อให้ได้รับทราบรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ท่าทีของหลายประเทศ และของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ถือเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในทางที่ดี ซึ่งกระทรวงฯ ก็ได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะที่จะดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากต่างประเทศด้วย
4. การเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี สปป.ลาวและนายกรัฐมนตรีเวียดนาม
รอง อธ.กรมสารนิเทศแจ้งว่า ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. นี้ นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว และนายเหวียน เติน ซุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม จะเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว มีกำหนดจะเยือนในช่วงระหว่างวันที่ 17-19 ธ.ค. 2549 ส่วนนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ตอบรับคำเชิญของนายกรัฐมนตรีให้มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ในวันที่ 20 ธ.ค. 2549 โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามจะเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 19-21 ธันวาคม 2549 ด้วย
การเยือนไทยของผู้นำ สปป.ลาว และเวียดนามในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก (Official Visit) นับตั้งแต่ผู้นำทั้งสองได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บริหารประเทศเมื่อเดือน มิ.ย. 2549 รวมทั้งยังเป็นการเยือนตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีเพื่อตอบแทนการเยือน สปป.ลาวของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2549 และการเยือนเวียดนามเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2549 โดยในส่วนของนายกรัฐมนตรีลาวนั้น จะได้เดินทางไปชมงานมหกรรมพืชสวนโลก “ราชพฤกษ์ 2549” ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 17 ธ.ค. ด้วยซึ่งทางการลาวได้ให้ความร่วมมือในเรื่องการจัดสวนกลางแจ้ง และการส่งนาฏศิลป์และการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมเข้าร่วมเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีด้วย
การเยือนของผู้นำมิตรประเทศทั้งสองนี้ นอกจากจะสะท้อนถึงมิตรภาพและสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างรัฐบาลและประชาชนสองฝ่ายแล้ว ยังจะได้มีการหารือข้อราชการ ตลอดจนมีการลงนามใน ความตกลงต่างๆ ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับสะพานมิตรภาพ 2 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง East-West Economic Corridor ที่เชื่อมโยงระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม และจะเป็นเส้นทางสายสำคัญทางเศรษฐกิจที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่ภูมิภาคในระยะยาวด้วย
ทั้งนี้ รอง อธ.กรมสารนิเทศ ได้แจ้งด้วยว่า รมช.ต่างประเทศญี่ปุ่น จะเดินทางมาร่วมในพิธีเปิดสะพานดังกล่าวด้วย ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศ partner ที่ได้ให้ความช่วยเหลือในการก่อสร้างสะพานดังกล่าวด้วย
5. การจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองชาวเกาหลีเหนือโดยผิดกฎหมาย
รอง อธ.กรมสารนิเทศแจ้งว่า ชาวเกาหลีเหนือที่ถูกจับกุมทั้ง 59 คน ขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจภูธร อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งจะถูกดำเนินคดีในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และพำนักอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้ด้วยหลักมนุษยธรรมมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ไทยมีข้อกังวลเกี่ยวกับการลักลอบเข้าเมืองของชาวเกาหลีเหนือ ซึ่งในระยะหลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเป็นการดำเนินการในลักษณะที่มีองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้การสนับสนุนซึ่งเป็นการเพิ่มภาระแก่ทางการไทยไม่มีที่สิ้นสุด รัฐบาลไทยจึงจะต้องเพิ่ม ความเข้มงวดในการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองของชาวเกาหลีเหนือและชาวต่างชาติอื่นๆ โดยเน้นการเพิ่มมาตรการการสกัดกั้นตามแนวชายแดน และการดำเนินการทางกฎหมายต่อกลุ่มหรือขบวนการนำพาผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย
ประเด็นคำถาม
ความคืบหน้าของการจัดทำสมุดปกขาว
รอง อธ.กรมสารนิเทศ กล่าวว่า การจัดสมุดปกขาวมีการดำเนินการร่วมกันของหลายหน่วยงาน โดยมีสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหน่วยงานหลัก ซึ่งกระทรวงฯ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคณะทำงาน รวมทั้งการแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-