หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ เชื่อประชุมร่วมแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้คงไม่มีปัญหา ปชป. ตั้งใจและพร้อมร่วมประชุม เผย เตรียมรายละเอียดอภิปรายครอบคลุมทุกด้าน พร้อมเรียกร้องความชัดเจนในการกำหนดรูปแบบการอภิปราย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดสภาอภิปรายทั่วไป เรื่องปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันที่ 30-31 มีนาคม 2548ว่า การประชุมคงไม่มีปัญหา เพราะพรรคประชาธิปัตย์ตั้งใจและพร้อมจะร่วมประชุม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของการประชุมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 มี.ค.2548)เป็นการแสดงออกต่อท่าทีของประธาน(นายโภคิน พลกุล) ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะในการประชุมครั้งนั้น ดังนั้นการประชุมในวันพุธและพฤหัสบดีนี้คงไม่มีปัญหา
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ข้อเสนอแนะที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมให้รัฐบาลนั้น เรียบร้อยแล้ว เพราะมีการทำงานอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง จนกระทั่งถึงเตรียมการอภิปรายนโยบาย ซึ่งเราไม่มีโอกาสอภิปราย เพราะฉะนั้นครั้งนี้ก็จะลงรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งผู้อภิปรายจะมีทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ระบบบัญชีรายชื่อ และส.ส.ในพื้นที่ เพราะเป็นปัญหาที่ต้องมองให้ครบในทุกๆด้าน ทั้งด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การศึกษา และความมั่นคง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการเสนอว่าควรเพิ่มวันอภิปรายเป็น 3 วัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน)คงได้พูดคุยกัน แต่ต้องมีความชัดเจน เพราะการประชุมครั้งนี้ไม่ใช่แค่ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่มีปัญหาความยากจนด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องมีความชัดเจนว่าจะกำหนดรูปแบบของการอภิปรายอย่างไร ส่วนข้อมูลเรื่องความมั่นคง เรื่องไหนที่มีความละเอียดอ่อน อาจทำความเสียหาย หรือไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ก็น่าจะประชุมลับได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประธานคณะกรรมการกลางองค์การ Nadhiatul Ulama (NU) ซึ่งเป็นองค์การศาสนาอิสลามที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียจะเดินทางมาเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 27 มี.ค.-1 เม.ย.48 โดยในระหว่างการเยือนประเทศไทยครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานเอ็นยูเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท นอกจากนั้น ประธานเอ็นยูมีกำหนดการที่จะลงพื้นที่ภาคใต้นั้น รัฐบาลควรจะมีท่าทีอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า คงจะตรงกับที่ตนเคยเสนอแนะไปว่า เรื่องของการต่างประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญ การใช้มาตรการทางการทูต การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการคลี่คลายปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องติดตามและดูแลให้เกิดขึ้น ขณะนี้ต้องเดินหน้าหลายๆทาง ทางใดที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ รัฐบาลก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า รายชื่อคณะกรรมการสมานฉันท์ที่ช่วงแรกมีชื่อของนายชวน หลีกภัยด้วย แต่สุดท้ายไม่มี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เข้าใจว่าเป็นเรื่องข่าว ซึ่งนายอานันท์ ปัญญารชุน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ได้ประสานมาเพื่อให้ทราบว่า โครงสร้าง ลักษณะการทำงานจะเป็นอย่างไร พร้อมทั้งบอกว่าท่านจะเป็นผู้เลือกกรรมการเอง รวมทั้งในส่วนคนของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ซึ่งพรรคยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และเชื่อว่าสมาชิกทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจในเรื่องการเลือกตัวบุคคลจึงเป็นเรื่องของประธานฯ ซึ่งท่านก็ให้สัมภาษณ์ว่าลักษณะของกรรมการที่ท่านอยากให้เข้าไปจะมีเหตุผลเฉพาะตัวบุคคล เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาอะไร เป็นเรื่องที่ประธานจะตัดสินใจเอง และพรรคก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจแค่ไหนกับกรรมการชุดนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กรรมการชุดนี้มีบุคคลที่หลากหลายที่จะไปเสริมการทำงานของหน่วยงานต่างๆได้ สิ่งสำคัญคือการทำงานที่จะระดมความคิดเห็นและเชื่อมโยงเข้ากับการทำงานของหน่วยงานของรัฐ เพราะกรรมการชุดนี้คงไม่ใช่ผู้ปฏิบัติหรือมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ซึ่งผู้ปฏิบัติหรือมีอำนาจในการกำหนดนโยบายก็คือกลไกของรัฐบาล ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าการเชื่อมโยงกลับมาที่กรรมการเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นรัฐบาลควรให้ความมั่นใจกับทุกฝ่ายว่าจะใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากกรรมการชุดนี้ พร้อมเห็นว่าการเปิดข้อมูลตากใบ กรือเซะ และความคืบหน้าการหายตัวของทนายสมชาย ลีนะไพจิตร เป็นจุดสำคัญที่จะคลี่คลายความคลางแคลงใจของคนในพื้นที่ได้ดี ถ้าหากรัฐบาลสามารถที่จะแสดงออกในแง่ของความโปร่งใสและความจริงใจ เพื่อนำไปสู่การแสดงออกถึงความรับผิดชอบและการเยียวยาน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะการเปิดเผยไม่ใช่การตำหนิติเตียน แต่เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า เราให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนในพื้นที่ และเป็นการช่วยส่งสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนไป
‘เราอย่าไปคิดว่าปัญหามันจะจบลงง่ายๆสั้นๆ และการที่เราอาจจะปรับเปลี่ยนแนวทางและเดินไปข้างหน้ามันยังต้องมีอุปสรรค เพราะเราต้องยอมรับว่ายังมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเค้าไม่ประสงค์ดี ตรงนี้อยู่ที่ความมั่นคง ความแน่วแน่ ความอดทน อย่าไปหวั่นไหวจนเกินไป สิ่งสำคัญที่สุดคือมวลชน ถ้ามวลชนส่วนใหญ่เข้ามาช่วยรัฐในการสร้างสันติสุข นั่นคือตัววัด แต่ถ้าความร่วมมือไม่เกิด แสดงให้เห็นว่ายังมีช่องว่างอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการดึงมวลชนให้มาช่วยกับทุกฝ่าย เป็นเป้าหมายหลัก’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดสภาอภิปรายทั่วไป เรื่องปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันที่ 30-31 มีนาคม 2548ว่า การประชุมคงไม่มีปัญหา เพราะพรรคประชาธิปัตย์ตั้งใจและพร้อมจะร่วมประชุม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของการประชุมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 มี.ค.2548)เป็นการแสดงออกต่อท่าทีของประธาน(นายโภคิน พลกุล) ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะในการประชุมครั้งนั้น ดังนั้นการประชุมในวันพุธและพฤหัสบดีนี้คงไม่มีปัญหา
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ข้อเสนอแนะที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมให้รัฐบาลนั้น เรียบร้อยแล้ว เพราะมีการทำงานอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง จนกระทั่งถึงเตรียมการอภิปรายนโยบาย ซึ่งเราไม่มีโอกาสอภิปราย เพราะฉะนั้นครั้งนี้ก็จะลงรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งผู้อภิปรายจะมีทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ระบบบัญชีรายชื่อ และส.ส.ในพื้นที่ เพราะเป็นปัญหาที่ต้องมองให้ครบในทุกๆด้าน ทั้งด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การศึกษา และความมั่นคง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการเสนอว่าควรเพิ่มวันอภิปรายเป็น 3 วัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน)คงได้พูดคุยกัน แต่ต้องมีความชัดเจน เพราะการประชุมครั้งนี้ไม่ใช่แค่ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่มีปัญหาความยากจนด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องมีความชัดเจนว่าจะกำหนดรูปแบบของการอภิปรายอย่างไร ส่วนข้อมูลเรื่องความมั่นคง เรื่องไหนที่มีความละเอียดอ่อน อาจทำความเสียหาย หรือไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ก็น่าจะประชุมลับได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประธานคณะกรรมการกลางองค์การ Nadhiatul Ulama (NU) ซึ่งเป็นองค์การศาสนาอิสลามที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียจะเดินทางมาเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 27 มี.ค.-1 เม.ย.48 โดยในระหว่างการเยือนประเทศไทยครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานเอ็นยูเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท นอกจากนั้น ประธานเอ็นยูมีกำหนดการที่จะลงพื้นที่ภาคใต้นั้น รัฐบาลควรจะมีท่าทีอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า คงจะตรงกับที่ตนเคยเสนอแนะไปว่า เรื่องของการต่างประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญ การใช้มาตรการทางการทูต การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการคลี่คลายปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องติดตามและดูแลให้เกิดขึ้น ขณะนี้ต้องเดินหน้าหลายๆทาง ทางใดที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ รัฐบาลก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า รายชื่อคณะกรรมการสมานฉันท์ที่ช่วงแรกมีชื่อของนายชวน หลีกภัยด้วย แต่สุดท้ายไม่มี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เข้าใจว่าเป็นเรื่องข่าว ซึ่งนายอานันท์ ปัญญารชุน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ได้ประสานมาเพื่อให้ทราบว่า โครงสร้าง ลักษณะการทำงานจะเป็นอย่างไร พร้อมทั้งบอกว่าท่านจะเป็นผู้เลือกกรรมการเอง รวมทั้งในส่วนคนของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ซึ่งพรรคยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และเชื่อว่าสมาชิกทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจในเรื่องการเลือกตัวบุคคลจึงเป็นเรื่องของประธานฯ ซึ่งท่านก็ให้สัมภาษณ์ว่าลักษณะของกรรมการที่ท่านอยากให้เข้าไปจะมีเหตุผลเฉพาะตัวบุคคล เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาอะไร เป็นเรื่องที่ประธานจะตัดสินใจเอง และพรรคก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจแค่ไหนกับกรรมการชุดนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กรรมการชุดนี้มีบุคคลที่หลากหลายที่จะไปเสริมการทำงานของหน่วยงานต่างๆได้ สิ่งสำคัญคือการทำงานที่จะระดมความคิดเห็นและเชื่อมโยงเข้ากับการทำงานของหน่วยงานของรัฐ เพราะกรรมการชุดนี้คงไม่ใช่ผู้ปฏิบัติหรือมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ซึ่งผู้ปฏิบัติหรือมีอำนาจในการกำหนดนโยบายก็คือกลไกของรัฐบาล ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าการเชื่อมโยงกลับมาที่กรรมการเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นรัฐบาลควรให้ความมั่นใจกับทุกฝ่ายว่าจะใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากกรรมการชุดนี้ พร้อมเห็นว่าการเปิดข้อมูลตากใบ กรือเซะ และความคืบหน้าการหายตัวของทนายสมชาย ลีนะไพจิตร เป็นจุดสำคัญที่จะคลี่คลายความคลางแคลงใจของคนในพื้นที่ได้ดี ถ้าหากรัฐบาลสามารถที่จะแสดงออกในแง่ของความโปร่งใสและความจริงใจ เพื่อนำไปสู่การแสดงออกถึงความรับผิดชอบและการเยียวยาน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะการเปิดเผยไม่ใช่การตำหนิติเตียน แต่เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า เราให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนในพื้นที่ และเป็นการช่วยส่งสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนไป
‘เราอย่าไปคิดว่าปัญหามันจะจบลงง่ายๆสั้นๆ และการที่เราอาจจะปรับเปลี่ยนแนวทางและเดินไปข้างหน้ามันยังต้องมีอุปสรรค เพราะเราต้องยอมรับว่ายังมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเค้าไม่ประสงค์ดี ตรงนี้อยู่ที่ความมั่นคง ความแน่วแน่ ความอดทน อย่าไปหวั่นไหวจนเกินไป สิ่งสำคัญที่สุดคือมวลชน ถ้ามวลชนส่วนใหญ่เข้ามาช่วยรัฐในการสร้างสันติสุข นั่นคือตัววัด แต่ถ้าความร่วมมือไม่เกิด แสดงให้เห็นว่ายังมีช่องว่างอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการดึงมวลชนให้มาช่วยกับทุกฝ่าย เป็นเป้าหมายหลัก’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 มี.ค. 2548--จบ--
-ดท-