ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 5.0 นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท.
เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่
ร้อยละ 5 ต่อปี ต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยไตรมาส 3 ขยายตัว
ร้อยละ 4.7 ซึ่งเป็นผลจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลก
ที่อาจจะกลับมาปรับตัวสูงขึ้นได้อีก ทำให้มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับปัจจุบันเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ทั้งนี้ กนง. ต้องติดตาม
การลงทุนภาคเอกชนเป็นประเด็นสำคัญ เพราะในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาการใช้จ่ายในประเทศปรับลดลง โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่
ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.9 ทั้งที่การส่งออกขยายตัวได้ดี อีกทั้งมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งต้องรอดูข้อมูลอีกระยะหนึ่งว่าการ
ลงทุนจะชะลอตัวจนเป็นความเสี่ยงที่จะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากจนเกินไปหรือไม่ เพื่อตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินได้อย่าง
เหมาะสม ส่วนข้อเสนอที่ต้องการให้ ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดแรงกดดันของค่าเงินบาทนั้น ไม่ควรมองปัญหาเพียงระยะสั้น
หากปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงก็จะส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงต่ำลงด้วย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของไทยไม่ได้ต่างจาก
ในภูมิภาคและ สรอ. มากนัก (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. เตรียมออกพันธบัตรเพื่อใช้ดูแลสภาพคล่องในระบบให้เหมาะสม นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน
ธปท. กล่าวว่า ธปท. อยู่ระหว่างรอการอนุมัติวงเงินออกพันธบัตรจาก ก.คลัง เพื่อใช้ในการดูแลสภาพคล่องในระบบให้เหมาะสมและให้
อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต้องการ เนื่องจากต่อไป ธปท. จะใช้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 1 วัน เป็นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายแทนปัจจุบันที่ใช้อัตราดอกเบี้ยอาร์/พี ระยะ 14 วัน ซึ่งในภาวะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก ธปท.
จำเป็นต้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป จึงต้องเข้าซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. ไว้จำนวนมาก ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องออกพันธบัตร
เพื่อดูดซับเงินบาทที่มีอยู่ในตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อดูแลดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในเป้าหมายเช่นกัน (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
3. ราคายางพาราตกต่ำต่อเนื่องกระทบภาวะเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวระหว่างงาน
สัมมนาในหัวข้อ เศรษฐกิจไทยภาคใต้กระแสการเปลี่ยนแปลง ว่า ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้นับจากนี้เป็นต้นไปจะต้องจับตาปัญหาราคายางพารา
ตกต่ำจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ 100 บาท เหลือเพียง 40-50 บาท ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่อย่างมาก
เนื่องจากยางพาราเป็นสินค้าออกหลักที่สำคัญของภาคใต้ ราคาที่ตกต่ำลงจึงส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจโดยตรง ที่สำคัญราคาที่เป็นอยู่ใน
ปัจจุบันจะต่อเนื่องไปถึงอนาคตด้วย สาเหตุมาจากความต้องการของตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะจีนที่เป็นผู้ใช้ยางพารามากที่สุดในอันดับต้นของ
โลกได้ลดปริมาณการซื้อลง นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือขณะนี้ปริมาณพื้นที่ปลูกยางพารามีมากขึ้น ทั้งพื้นที่ปลูกในประเทศไทยและเพื่อนบ้านของไทย
รวมถึงจีนก็ขยายพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็ว ทำให้คาดว่าในไม่กี่ปีข้างหน้าปริมาณผลผลิตยางพาราของโลกจะเพิ่มขึ้นอีกมากและกดดันให้ราคายางพารา
ตกต่ำลง ดังนั้น ไทยจึงต้องเร่งปรับตัวโดยเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบแทนการส่งออกในรูปของยางดิบและยางแผ่น (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ค่าเงินบาทผันผวนอาจทำให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ได้ตามเป้าหมาย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม. และ รมว.พาณิชย์
เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้เป็นผลมาจากมีเงินทุนระยะสั้นไหลเข้าในประเทศมาก โดยมองว่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าในระยะสั้น
แต่เมื่อ ธปท. เข้ามาดูแลน่าจะทำให้เงินทุนเหล่านี้ไหลออกและส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ ซึ่งความผันผวนของค่าเงินบาทเป็นปัจจัยเสี่ยง
สำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจเติบโตไม่ได้ตามประมาณการที่ร้อยละ 4-5 เพราะส่งผลกระทบต่อการบริหารภาคธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะ
ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน มีความยากลำบากในการปรับตัวเพราะปรับแข็งค่าขึ้นเร็ว อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจปีนี้น่าจะขยายตัว
ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 5 และปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 4-5 สำหรับการส่งออกปี 50 ก.พาณิชย์ตั้งเป้าไว้ร้อยละ 10.0 — 12.5
ซึ่งน่าจะส่งออกได้ตามเป้า ปัจจัยหลักอยู่ที่การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ สรอ. ที่คาดว่าจะเติบโตน้อยกว่าปีนี้และจะเป็นปัจจัยหลัก
ที่ส่งผลต่อการส่งออกของไทยอย่างมากด้วย ขณะที่ยังมีโครงการขนาดใหญ่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้ขยายตัวได้ (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายปลีกของ สรอ.ที่เพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย.49 แสดงสัญญาณความแข็งแกร่ง รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 13 ธ.ค.49
ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของ สรอ.ในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.49 เหนือความคาดหมายของ
นักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่ายอดขายปลีกจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือนก่อนหน้า สำหรับยอดขายปลีกเมื่อไม่รวม
ยอดขายรถยนต์และพลังงาน ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการใช้จ่ายครัวเรือนที่แม่นยำกว่า เพิ่มขึ้นเช่นกันร้อยละ 0.9 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.49
ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ทั้งนี้ ตัวเลขการขายปลีกที่เพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย.49 เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้น สรอ.ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งส่งผลให้
เงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร ขณะที่ราคา พธบ.กลับลดลง เนื่องจากบรรดาผู้ค้ามีการคาดการณ์ว่า ธ.กลาง สรอ.อาจ
ลดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอาจยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็วๆ นี้ (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.75 รายงานจาก Hamburg เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 49
นาย Axel Weber ประธานธ.กลางเยอรมนี คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวราวร้อยละ 2.75 และมีความเป็นไปได้ว่าจะสูงกว่านั้น
ทั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ในรอบเดือนที่ธ.กลางปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยูโรโซน
นอกจากนั้นยังเน้นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระดับนี้ไปจนถึงปีหน้าแม้ว่ามาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราใหม่จะเริ่มใช้ในเดือน ม.ค. ปีหน้า
ก็ตาม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าจะส่งผลให้การบริโภคลดลง ซึ่งนาย Axel Weber เห็นว่าในปีหน้าการขยายตัวจะมีอย่างต่อเนื่องแต่อยู่ในอัตรา
ที่ชะลอลง ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของ DIW ที่คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีจะชะลอตัวลงอย่างมากในปีหน้าเนื่องจากอุปสงค์
จากต่างประเทศลดลง สำหรับการคลังของเยอรมนีนั้น ธ.กลางคาดว่าจะขาดดุลงปมในปี 49. ราวร้อยละ 2.0 ของ GDP ใกล้เคียงกับการ
คาดการณ์ของ Peer Steinbrueck รมว.คลังที่คาดไว้ว่าจะขาดดุลร้อยละ 2.1 และการขาดดุลจะลดลงอีกในปีหน้า เนื่องจากมีการปฎิรูป
ตลาดแรงงานและส่วนอื่นๆ (รอยเตอร์)
3. คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในปี 50 จะชะลอตัวลง รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 13 ธ.ค.49 DIW ซึ่งเป็นสถาบัน
วิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ 1 ใน 6 แห่งของเยอรมนีคาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมไม่รวมภาคการก่อสร้างของเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 5.3 ในปี 49
หลังจากขยายตัวร้อยละ 3.3 ในปี 48 และคาดว่าผลผลิตจะชะลอตัวลงในปี 50 โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 2.4 ทั้งนี้เป็นผลจากความต้องการ
จากต่างประเทศในปีนี้ที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ก่อนที่ความต้องการจะชะลอตัวในปี 50 ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ สรอ.
ในขณะที่ IfW ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำอีกแห่งคาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะชะลอตัวลงเล็กน้อยโดยขยายตัวร้อยละ 2.1 หลังจากคาดว่าจะ
ขยายตัวประมาณร้อยละ 2.6 ในปี 49 (รอยเตอร์)
4. รอยเตอร์ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปีงบประมาณ 49/50 ลดเหลือร้อยละ 1.9 รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 13 ธ.ค.49 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวหลังปรับตัวเลขด้วยอัตรา
เงินเฟ้อแล้วร้อยละ 1.9 ในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.50 นี้ ลดลงจากร้อยละ 2.4 ในการสำรวจครั้งที่แล้ว ทั้งนี้เป็นผล
จากการที่รัฐบาลปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ปี 49 ที่ผ่านมา โดยภาพรวมเศรษฐกิจในความเห็นของ
นักเศรษฐศาสตร์จากผลสำรวจโดยรอยเตอร์ยังคงเดิมเหมือนผลสำรวจครั้งก่อน การปรับลดประมาณการการขยายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อประกอบกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ชะลอตัวลง ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค.49
นี้ทั้งนี้รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2.1 ในปีงบประมาณ 49/50 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.50 และขยายตัวร้อยละ 2.0
ในปีงบประมาณ 50/51 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.50 เช่นเดียวกับรอยเตอร์ที่คาดว่าเศรษฐกิจในปีงบประมาณหน้าจะขยายตัวหลังปรับตัวเลข
ด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วร้อยละ 2.0 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 ธ.ค. 49 13 ธ.ค. 49 31 ม.ค. 49
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.296 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.0947/35.3833 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 734.98/12.95 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,450/10,550 10,500/10,600 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.63 57.29 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม เมื่อ 2 ธ.ค. 49 ** ปรับเพิ่ม เมื่อ 7 ธ.ค. 49 26.09*/23.74** 26.09*/23.74** 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 5.0 นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท.
เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่
ร้อยละ 5 ต่อปี ต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยไตรมาส 3 ขยายตัว
ร้อยละ 4.7 ซึ่งเป็นผลจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลก
ที่อาจจะกลับมาปรับตัวสูงขึ้นได้อีก ทำให้มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับปัจจุบันเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ทั้งนี้ กนง. ต้องติดตาม
การลงทุนภาคเอกชนเป็นประเด็นสำคัญ เพราะในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาการใช้จ่ายในประเทศปรับลดลง โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่
ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.9 ทั้งที่การส่งออกขยายตัวได้ดี อีกทั้งมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งต้องรอดูข้อมูลอีกระยะหนึ่งว่าการ
ลงทุนจะชะลอตัวจนเป็นความเสี่ยงที่จะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากจนเกินไปหรือไม่ เพื่อตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินได้อย่าง
เหมาะสม ส่วนข้อเสนอที่ต้องการให้ ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดแรงกดดันของค่าเงินบาทนั้น ไม่ควรมองปัญหาเพียงระยะสั้น
หากปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงก็จะส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงต่ำลงด้วย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของไทยไม่ได้ต่างจาก
ในภูมิภาคและ สรอ. มากนัก (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท. เตรียมออกพันธบัตรเพื่อใช้ดูแลสภาพคล่องในระบบให้เหมาะสม นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน
ธปท. กล่าวว่า ธปท. อยู่ระหว่างรอการอนุมัติวงเงินออกพันธบัตรจาก ก.คลัง เพื่อใช้ในการดูแลสภาพคล่องในระบบให้เหมาะสมและให้
อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต้องการ เนื่องจากต่อไป ธปท. จะใช้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 1 วัน เป็นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายแทนปัจจุบันที่ใช้อัตราดอกเบี้ยอาร์/พี ระยะ 14 วัน ซึ่งในภาวะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก ธปท.
จำเป็นต้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป จึงต้องเข้าซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. ไว้จำนวนมาก ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องออกพันธบัตร
เพื่อดูดซับเงินบาทที่มีอยู่ในตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อดูแลดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในเป้าหมายเช่นกัน (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
3. ราคายางพาราตกต่ำต่อเนื่องกระทบภาวะเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวระหว่างงาน
สัมมนาในหัวข้อ เศรษฐกิจไทยภาคใต้กระแสการเปลี่ยนแปลง ว่า ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้นับจากนี้เป็นต้นไปจะต้องจับตาปัญหาราคายางพารา
ตกต่ำจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ 100 บาท เหลือเพียง 40-50 บาท ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่อย่างมาก
เนื่องจากยางพาราเป็นสินค้าออกหลักที่สำคัญของภาคใต้ ราคาที่ตกต่ำลงจึงส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจโดยตรง ที่สำคัญราคาที่เป็นอยู่ใน
ปัจจุบันจะต่อเนื่องไปถึงอนาคตด้วย สาเหตุมาจากความต้องการของตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะจีนที่เป็นผู้ใช้ยางพารามากที่สุดในอันดับต้นของ
โลกได้ลดปริมาณการซื้อลง นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือขณะนี้ปริมาณพื้นที่ปลูกยางพารามีมากขึ้น ทั้งพื้นที่ปลูกในประเทศไทยและเพื่อนบ้านของไทย
รวมถึงจีนก็ขยายพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็ว ทำให้คาดว่าในไม่กี่ปีข้างหน้าปริมาณผลผลิตยางพาราของโลกจะเพิ่มขึ้นอีกมากและกดดันให้ราคายางพารา
ตกต่ำลง ดังนั้น ไทยจึงต้องเร่งปรับตัวโดยเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบแทนการส่งออกในรูปของยางดิบและยางแผ่น (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ค่าเงินบาทผันผวนอาจทำให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ได้ตามเป้าหมาย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม. และ รมว.พาณิชย์
เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้เป็นผลมาจากมีเงินทุนระยะสั้นไหลเข้าในประเทศมาก โดยมองว่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าในระยะสั้น
แต่เมื่อ ธปท. เข้ามาดูแลน่าจะทำให้เงินทุนเหล่านี้ไหลออกและส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ ซึ่งความผันผวนของค่าเงินบาทเป็นปัจจัยเสี่ยง
สำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจเติบโตไม่ได้ตามประมาณการที่ร้อยละ 4-5 เพราะส่งผลกระทบต่อการบริหารภาคธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะ
ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน มีความยากลำบากในการปรับตัวเพราะปรับแข็งค่าขึ้นเร็ว อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจปีนี้น่าจะขยายตัว
ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 5 และปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 4-5 สำหรับการส่งออกปี 50 ก.พาณิชย์ตั้งเป้าไว้ร้อยละ 10.0 — 12.5
ซึ่งน่าจะส่งออกได้ตามเป้า ปัจจัยหลักอยู่ที่การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ สรอ. ที่คาดว่าจะเติบโตน้อยกว่าปีนี้และจะเป็นปัจจัยหลัก
ที่ส่งผลต่อการส่งออกของไทยอย่างมากด้วย ขณะที่ยังมีโครงการขนาดใหญ่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้ขยายตัวได้ (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายปลีกของ สรอ.ที่เพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย.49 แสดงสัญญาณความแข็งแกร่ง รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 13 ธ.ค.49
ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของ สรอ.ในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.49 เหนือความคาดหมายของ
นักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่ายอดขายปลีกจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือนก่อนหน้า สำหรับยอดขายปลีกเมื่อไม่รวม
ยอดขายรถยนต์และพลังงาน ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการใช้จ่ายครัวเรือนที่แม่นยำกว่า เพิ่มขึ้นเช่นกันร้อยละ 0.9 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.49
ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ทั้งนี้ ตัวเลขการขายปลีกที่เพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย.49 เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้น สรอ.ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งส่งผลให้
เงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร ขณะที่ราคา พธบ.กลับลดลง เนื่องจากบรรดาผู้ค้ามีการคาดการณ์ว่า ธ.กลาง สรอ.อาจ
ลดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอาจยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็วๆ นี้ (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.75 รายงานจาก Hamburg เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 49
นาย Axel Weber ประธานธ.กลางเยอรมนี คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวราวร้อยละ 2.75 และมีความเป็นไปได้ว่าจะสูงกว่านั้น
ทั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ในรอบเดือนที่ธ.กลางปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยูโรโซน
นอกจากนั้นยังเน้นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระดับนี้ไปจนถึงปีหน้าแม้ว่ามาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราใหม่จะเริ่มใช้ในเดือน ม.ค. ปีหน้า
ก็ตาม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าจะส่งผลให้การบริโภคลดลง ซึ่งนาย Axel Weber เห็นว่าในปีหน้าการขยายตัวจะมีอย่างต่อเนื่องแต่อยู่ในอัตรา
ที่ชะลอลง ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของ DIW ที่คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีจะชะลอตัวลงอย่างมากในปีหน้าเนื่องจากอุปสงค์
จากต่างประเทศลดลง สำหรับการคลังของเยอรมนีนั้น ธ.กลางคาดว่าจะขาดดุลงปมในปี 49. ราวร้อยละ 2.0 ของ GDP ใกล้เคียงกับการ
คาดการณ์ของ Peer Steinbrueck รมว.คลังที่คาดไว้ว่าจะขาดดุลร้อยละ 2.1 และการขาดดุลจะลดลงอีกในปีหน้า เนื่องจากมีการปฎิรูป
ตลาดแรงงานและส่วนอื่นๆ (รอยเตอร์)
3. คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในปี 50 จะชะลอตัวลง รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 13 ธ.ค.49 DIW ซึ่งเป็นสถาบัน
วิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ 1 ใน 6 แห่งของเยอรมนีคาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมไม่รวมภาคการก่อสร้างของเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 5.3 ในปี 49
หลังจากขยายตัวร้อยละ 3.3 ในปี 48 และคาดว่าผลผลิตจะชะลอตัวลงในปี 50 โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 2.4 ทั้งนี้เป็นผลจากความต้องการ
จากต่างประเทศในปีนี้ที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ก่อนที่ความต้องการจะชะลอตัวในปี 50 ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ สรอ.
ในขณะที่ IfW ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำอีกแห่งคาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะชะลอตัวลงเล็กน้อยโดยขยายตัวร้อยละ 2.1 หลังจากคาดว่าจะ
ขยายตัวประมาณร้อยละ 2.6 ในปี 49 (รอยเตอร์)
4. รอยเตอร์ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปีงบประมาณ 49/50 ลดเหลือร้อยละ 1.9 รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 13 ธ.ค.49 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวหลังปรับตัวเลขด้วยอัตรา
เงินเฟ้อแล้วร้อยละ 1.9 ในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.50 นี้ ลดลงจากร้อยละ 2.4 ในการสำรวจครั้งที่แล้ว ทั้งนี้เป็นผล
จากการที่รัฐบาลปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ปี 49 ที่ผ่านมา โดยภาพรวมเศรษฐกิจในความเห็นของ
นักเศรษฐศาสตร์จากผลสำรวจโดยรอยเตอร์ยังคงเดิมเหมือนผลสำรวจครั้งก่อน การปรับลดประมาณการการขยายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อประกอบกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ชะลอตัวลง ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค.49
นี้ทั้งนี้รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2.1 ในปีงบประมาณ 49/50 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.50 และขยายตัวร้อยละ 2.0
ในปีงบประมาณ 50/51 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.50 เช่นเดียวกับรอยเตอร์ที่คาดว่าเศรษฐกิจในปีงบประมาณหน้าจะขยายตัวหลังปรับตัวเลข
ด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วร้อยละ 2.0 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 ธ.ค. 49 13 ธ.ค. 49 31 ม.ค. 49
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.296 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.0947/35.3833 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 734.98/12.95 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,450/10,550 10,500/10,600 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.63 57.29 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม เมื่อ 2 ธ.ค. 49 ** ปรับเพิ่ม เมื่อ 7 ธ.ค. 49 26.09*/23.74** 26.09*/23.74** 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--