แท็ก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สนั่น ขจรประศาสน์
สุเทพ เทือกสุบรรณ
พรรคประชาธิปัตย์
บรรหาร ศิลปอาชา
พรรคฝ่ายค้านประกาศจุดยืนทางการเมือง โดยจะไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในครั้งนี้ โดยผู้ที่ร่วมประกาศจุดยืน ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ส่วนแกนนำที่ไปร่วมด้วย คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนของพรรคชาติไทย ประกอบด้วย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรค
พรรคร่วม 3 พรรคคือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน และพรรคชาติไทย มีหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ หัวหน้าพรรคมหาชน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสตร์ ใช้เวลาเวลาหารือประมาณ 30 นาที
หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้แถลงข่าวร่วมกับนายบรรหาร และพล.ต.สนั่น เพื่อยืนยันว่าจะไม่ส่งผู้สมัครส.ส.ลงรับเลือกตั้งและจะไม่เข้าร่วมในการประชุมกับพรรคไทยรักไทยในเวลา 18.00 น.
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หลังจากที่มีการยุบสภาเกิดขึ้นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมือง และปรึกษาหารือกันตลอด เราได้มีการแถลงตรงกัน ว่า การยุบสภาไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศที่ถูกต้อง ซึ่งเราจะต้องพยายามหาวิธีการช่วยหาทางออกให้กับประเทศภายใต้ปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อวานเราได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า แนวทางที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ และป้องกันวิกฤตที่จะเกิดขึ้นคือการผลักดันให้เกิดการปฎิรูปการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม คือ จะต้องมีผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นกลางอย่างแท้จริงในการดำเนินการ หรือในการนำการปฎิรูป โดยกระบวนการของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เมื่อจะต้องมีผู้ที่มีความเป็นกลางมาดำเนินการปฎิรูปทางการเมืองแล้ว จำเป็นต้องให้ฝ่ายการเมืองได้แสดงเจตนารมย์ ร่วมกันชัดเจน โดยสัตยาบันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะทำให้กระบวนการนี้เกิดขึ้น ซึ่งกระบวนการที่ชัดเจนที่สุดคือขอให้ 4 พรรคการเมืองที่มีส.ส.ในสภาที่ผ่านมาได้แสดงเจตนารมย์ร่วมกัน
นายอภิสิทธิ์ วันนี้เป็นที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่ได้มีเจตนาที่จะตอบสนองต่อเจตนารมย์ของทั้ง 3 พรรคการเมือง โดยได้ไปดำเนินการเบี่ยงเบน ไปจากประเด็นที่เข้าไปสู่หัวใจของปัญหาในการแก้วิกฤต และไปสร้างกระบวนการอื่นซึ่งมีแต่ความไม่แน่นอนและมีแต่ความยุ่งยากที่ไม่อาจตอบสนองได้ ว่าจะมีการปฎิรูปทางการเมืองอย่างจริงจัง และไม่มีสัตยาบัน ใช้คำว่าคงจะอย่างนั้นหลังจากการเลือกตั้งทั้งหมดจึงไม่สามารถตอบโจทย์ที่เป็นปัญหาของสังคมได้ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน จึงได้ปรึกษาหารือกันแล้ว และเห็นพ้องต้องกันว่า 1.ทั้ง 3 พรรค จะไม่ร่วมในการประชุมที่มีการเชิญโดยพรรคไทยรักไทยในเวลา 18.00 น.และ 2. ทั้ง 3 พรรคจะไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้ ทั้งหมดเป็นข้อสรุปในการหารือ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เนื่องจากมีความพยายามบิดเบือนและสร้างความสับสน กับประชาชนต่อกรณีไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการดำเนินการสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญทุกประการ โดยเฉพาะมาตรา 328ของรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดกรอบของตรากฎหมายพรรคการเมืองไว้เป็นหลักการ ซึ่งกฎหมายพรรคการเมืองต้องยึดถือ ซึ่งในหลักการของมาตรา 328 (2)ได้บัญญัติชัดเจนว่ามิให้นำเหตุที่พรรคการเมืองไม่ส่งสมาชิกรับเลือกตั้ง หรือเหตุที่ไม่มีสมาชิกพรรคการเมืองได้รับเลือกตั้งมาเป็นเหตุให้ต้องเลิก หรือยุบพรรคการเมือง ตนยึดหลักตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ยึดตามระบบทักษิณ ส่วนเหตุผลแต่ละพรรคจะไปขยายความที่หลัง
เมื่อถามว่า นายกฯอาจจะสับสนกับข้อเสนอของพรรคชาติไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ยังต่างกันจึงทำให้เกิดความสับสน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าสับสนก็คุยกับเราได้ ไม่ใช่ใช้วิธีนี้ แต่ละพรรคตัดสินใจภายใต้การรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ บนพื้นฐานที่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติในระยะยาว และขอยืนยันว่าเชื่อมั่นว่าทั้ง 3 พรรคไม่มีความมุ่งร้ายต่อบ้านเมืองแน่นอนและดำเนินการทุกอย่างอยุ่ในกรอบรัฐธรรมนูญ
ต่อข้อซักถามที่ว่า คำพูดตรงไหนของพรรคไทยรักไทยที่มองว่าไม่จริงใจบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คำพูดของนายกฯมีตรงไหนที่จริงใจบ้าง ตนไม่ทราบทราบแต่คำพูดของนายกฯเช่นไม่มียุบสภาถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ เชื่อถือได้ไหม ประเด็นหลักที่เราเสนอไปจริงๆเราก็ให้เกียรติท่าน แต่สมมุติฐานสำคัญที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้นำในการปฏิรูปการเมืองได้เลย เพราะข้อเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองทั้งหมด เกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน เราจึงบอกว่าท่านจำเป็นต้องเข้ามาปรึกษาหารือกับคนอื่น เพื่อที่จะช่วยว่าหากท่านยังมีเจตนาที่จะแก้ไขปัญหาที่สร้างขึ้นมาเองจะต้องมาดำเนินการบนหลักการที่พวกตนได้เสนอไป คือมีบุคคลที่เป็นกลางมาเป็นผู้นำในการปฎิรูปทางการเมือง แต่ที่นายกฯได้ทำคือตอกย้ำระบอบทักษิณ คือเบี่ยงเบนข้อเสนอ สร้างความสับสน และจัดฉาก จัดกระบวนการขึ้นมา ซึ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองในที่สุด ส่วนพรรคไทยรักไทยจะไม่ส่งสมัครเลือกตั้งก็ได้ ตนไม่ว่า แต่เรียนว่าเรายืนยันว่าการตัดสินใจครั้งนี้เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยและเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ ถ้าให้ตนเปรียบง่าย ๆ ถ้าเมื่อก่อนนี้ระบอบประชาธิปไตย เปรียบเหมือนร่างกาย เดิมภัยที่คุกคามมันมาจากส่วนอื่น ก็ต่อสู้กันไป แต่วันนี้ภัยที่คุกคามประชาธิปไตยเปรียบเสมือนเป็นมะเร็งที่เข้ามาแทรกอยู่ จึงต้องใช้วิธีการอื่นในการรักษาระบบนี้ไว้ให้ได้
เมื่อถามว่าเหตุใดวันแรกจึงไม่ตัดสินใจส่งผู้สมัคร แต่กลับเปลี่ยนใจมาเป็นสัตยาบัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวยืนยันว่าไม่มีเลี้ยวไปไหน ไม่มีการกลับไปกลับมาตั้งแต่ต้น ท่านไปดูคำแถลงของพวกตนทั้ง 3 วันว่ามีความขัดแย้งกันตรงไหนช่วยบอกที มีอันเดียวอาจจะไม่ตรงคือเดิมว่า จะให้คำตอบเมื่อวานว่าจะส่งหรือไม่ส่ง แต่ขอเลื่อนมาวันนี้
เมื่อถามต่อว่า กกต.บอกว่าจะใช้ข้อหาเป็นปฎิปักษ์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ให้กกต.ไปอ่านรัฐธรรมนูญอย่าไปฟังคนอื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากอีกฝ่ายพยายามที่จะหาทางให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นให้ได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่แปลกใจที่จะมีความพยายามแบบนี้เพราะนั้นคือส่วนหนึ่งของระบบทักษิณ
เมื่อถามว่าจะไปพบกับนายกฯหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีเหตุผล แต่หากนายกฯจะมาพบตนก็มาพบได้ แต่สายไปนิดหนึ่ง และพร้อมจะลงไปชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ และจะต้องปรึกษาหารือกันต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรกับเจตนาของนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก็ชัดเจน และนี่คือการตอกย้ำพฤติกรรมที่ท่านทำมาโดยตลอด 5 ปี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 ก.พ. 2549--จบ--
พรรคร่วม 3 พรรคคือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน และพรรคชาติไทย มีหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ หัวหน้าพรรคมหาชน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสตร์ ใช้เวลาเวลาหารือประมาณ 30 นาที
หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้แถลงข่าวร่วมกับนายบรรหาร และพล.ต.สนั่น เพื่อยืนยันว่าจะไม่ส่งผู้สมัครส.ส.ลงรับเลือกตั้งและจะไม่เข้าร่วมในการประชุมกับพรรคไทยรักไทยในเวลา 18.00 น.
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หลังจากที่มีการยุบสภาเกิดขึ้นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมือง และปรึกษาหารือกันตลอด เราได้มีการแถลงตรงกัน ว่า การยุบสภาไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศที่ถูกต้อง ซึ่งเราจะต้องพยายามหาวิธีการช่วยหาทางออกให้กับประเทศภายใต้ปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อวานเราได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า แนวทางที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ และป้องกันวิกฤตที่จะเกิดขึ้นคือการผลักดันให้เกิดการปฎิรูปการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม คือ จะต้องมีผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นกลางอย่างแท้จริงในการดำเนินการ หรือในการนำการปฎิรูป โดยกระบวนการของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เมื่อจะต้องมีผู้ที่มีความเป็นกลางมาดำเนินการปฎิรูปทางการเมืองแล้ว จำเป็นต้องให้ฝ่ายการเมืองได้แสดงเจตนารมย์ ร่วมกันชัดเจน โดยสัตยาบันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะทำให้กระบวนการนี้เกิดขึ้น ซึ่งกระบวนการที่ชัดเจนที่สุดคือขอให้ 4 พรรคการเมืองที่มีส.ส.ในสภาที่ผ่านมาได้แสดงเจตนารมย์ร่วมกัน
นายอภิสิทธิ์ วันนี้เป็นที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่ได้มีเจตนาที่จะตอบสนองต่อเจตนารมย์ของทั้ง 3 พรรคการเมือง โดยได้ไปดำเนินการเบี่ยงเบน ไปจากประเด็นที่เข้าไปสู่หัวใจของปัญหาในการแก้วิกฤต และไปสร้างกระบวนการอื่นซึ่งมีแต่ความไม่แน่นอนและมีแต่ความยุ่งยากที่ไม่อาจตอบสนองได้ ว่าจะมีการปฎิรูปทางการเมืองอย่างจริงจัง และไม่มีสัตยาบัน ใช้คำว่าคงจะอย่างนั้นหลังจากการเลือกตั้งทั้งหมดจึงไม่สามารถตอบโจทย์ที่เป็นปัญหาของสังคมได้ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน จึงได้ปรึกษาหารือกันแล้ว และเห็นพ้องต้องกันว่า 1.ทั้ง 3 พรรค จะไม่ร่วมในการประชุมที่มีการเชิญโดยพรรคไทยรักไทยในเวลา 18.00 น.และ 2. ทั้ง 3 พรรคจะไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้ ทั้งหมดเป็นข้อสรุปในการหารือ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เนื่องจากมีความพยายามบิดเบือนและสร้างความสับสน กับประชาชนต่อกรณีไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการดำเนินการสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญทุกประการ โดยเฉพาะมาตรา 328ของรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดกรอบของตรากฎหมายพรรคการเมืองไว้เป็นหลักการ ซึ่งกฎหมายพรรคการเมืองต้องยึดถือ ซึ่งในหลักการของมาตรา 328 (2)ได้บัญญัติชัดเจนว่ามิให้นำเหตุที่พรรคการเมืองไม่ส่งสมาชิกรับเลือกตั้ง หรือเหตุที่ไม่มีสมาชิกพรรคการเมืองได้รับเลือกตั้งมาเป็นเหตุให้ต้องเลิก หรือยุบพรรคการเมือง ตนยึดหลักตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ยึดตามระบบทักษิณ ส่วนเหตุผลแต่ละพรรคจะไปขยายความที่หลัง
เมื่อถามว่า นายกฯอาจจะสับสนกับข้อเสนอของพรรคชาติไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ยังต่างกันจึงทำให้เกิดความสับสน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าสับสนก็คุยกับเราได้ ไม่ใช่ใช้วิธีนี้ แต่ละพรรคตัดสินใจภายใต้การรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ บนพื้นฐานที่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติในระยะยาว และขอยืนยันว่าเชื่อมั่นว่าทั้ง 3 พรรคไม่มีความมุ่งร้ายต่อบ้านเมืองแน่นอนและดำเนินการทุกอย่างอยุ่ในกรอบรัฐธรรมนูญ
ต่อข้อซักถามที่ว่า คำพูดตรงไหนของพรรคไทยรักไทยที่มองว่าไม่จริงใจบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คำพูดของนายกฯมีตรงไหนที่จริงใจบ้าง ตนไม่ทราบทราบแต่คำพูดของนายกฯเช่นไม่มียุบสภาถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ เชื่อถือได้ไหม ประเด็นหลักที่เราเสนอไปจริงๆเราก็ให้เกียรติท่าน แต่สมมุติฐานสำคัญที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้นำในการปฏิรูปการเมืองได้เลย เพราะข้อเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองทั้งหมด เกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน เราจึงบอกว่าท่านจำเป็นต้องเข้ามาปรึกษาหารือกับคนอื่น เพื่อที่จะช่วยว่าหากท่านยังมีเจตนาที่จะแก้ไขปัญหาที่สร้างขึ้นมาเองจะต้องมาดำเนินการบนหลักการที่พวกตนได้เสนอไป คือมีบุคคลที่เป็นกลางมาเป็นผู้นำในการปฎิรูปทางการเมือง แต่ที่นายกฯได้ทำคือตอกย้ำระบอบทักษิณ คือเบี่ยงเบนข้อเสนอ สร้างความสับสน และจัดฉาก จัดกระบวนการขึ้นมา ซึ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองในที่สุด ส่วนพรรคไทยรักไทยจะไม่ส่งสมัครเลือกตั้งก็ได้ ตนไม่ว่า แต่เรียนว่าเรายืนยันว่าการตัดสินใจครั้งนี้เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยและเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ ถ้าให้ตนเปรียบง่าย ๆ ถ้าเมื่อก่อนนี้ระบอบประชาธิปไตย เปรียบเหมือนร่างกาย เดิมภัยที่คุกคามมันมาจากส่วนอื่น ก็ต่อสู้กันไป แต่วันนี้ภัยที่คุกคามประชาธิปไตยเปรียบเสมือนเป็นมะเร็งที่เข้ามาแทรกอยู่ จึงต้องใช้วิธีการอื่นในการรักษาระบบนี้ไว้ให้ได้
เมื่อถามว่าเหตุใดวันแรกจึงไม่ตัดสินใจส่งผู้สมัคร แต่กลับเปลี่ยนใจมาเป็นสัตยาบัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวยืนยันว่าไม่มีเลี้ยวไปไหน ไม่มีการกลับไปกลับมาตั้งแต่ต้น ท่านไปดูคำแถลงของพวกตนทั้ง 3 วันว่ามีความขัดแย้งกันตรงไหนช่วยบอกที มีอันเดียวอาจจะไม่ตรงคือเดิมว่า จะให้คำตอบเมื่อวานว่าจะส่งหรือไม่ส่ง แต่ขอเลื่อนมาวันนี้
เมื่อถามต่อว่า กกต.บอกว่าจะใช้ข้อหาเป็นปฎิปักษ์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ให้กกต.ไปอ่านรัฐธรรมนูญอย่าไปฟังคนอื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากอีกฝ่ายพยายามที่จะหาทางให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นให้ได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่แปลกใจที่จะมีความพยายามแบบนี้เพราะนั้นคือส่วนหนึ่งของระบบทักษิณ
เมื่อถามว่าจะไปพบกับนายกฯหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีเหตุผล แต่หากนายกฯจะมาพบตนก็มาพบได้ แต่สายไปนิดหนึ่ง และพร้อมจะลงไปชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ และจะต้องปรึกษาหารือกันต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรกับเจตนาของนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก็ชัดเจน และนี่คือการตอกย้ำพฤติกรรมที่ท่านทำมาโดยตลอด 5 ปี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 ก.พ. 2549--จบ--