นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สรุปผลการดำเนินการบริหารจัดการหนี้ของภาครัฐประจำเดือนมิถุนายน 2549 และในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2549 (ตุลาคม 2548 — มิถุนายน 2549) พร้อมทั้งสถานะหนี้สาธารณะล่าสุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2549 ดังนี้
1. การปรับโครงสร้างหนี้ของภาครัฐ
ด้านต่างประเทศ
กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศโดยการแปลงหนี้เงินกู้ JBIC จากสกุลเงินเยนเป็นหนี้สกุลเงินบาท วงเงินรวม 12,247 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 4,081 ล้านบาท ทำให้สามารถลดต้นทุนเงินกู้สุทธิได้เป็นเงินประมาณ 487 ล้านบาท
1.2 ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2549 : -
(1) ด้านต่างประเทศ
กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศ โดย 1) ชำระคืนก่อนครบกำหนดวงเงินรวม 198.94 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 8,013 ล้านบาท 2) Roll Over เงินกู้ ECP วงเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 7,908 ล้านบาท ซึ่งใช้เป็น Bridge Financing ในการ Refinance เงินกู้ ADB และ IBRD และต่อมาได้กู้เงินในรูปตราสาร FRN วงเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อชำระคืนเงินกู้ ECP ดังกล่าว 3) Refinance เงินกู้ ADB และ IBRD รวม 154 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 5,900 ล้านบาท และ เงินกู้ FRN วงเงิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการออก ECP วงเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และพันธบัตรเงินบาท วงเงิน 24,500 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 654 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 4) แปลงหนี้เงินกู้สกุลเงินเยนเป็นเงินกู้สกุลเงินบาท วงเงิน 19,731 ล้านบาท ผลจากการดำเนินงานดังกล่าว นอกจากจะสามารถลดยอดหนี้คงค้างได้รวม 8,013 ล้านบาท และลดภาระดอกเบี้ยได้รวม 3,725 ล้านบาท แล้ว ยังสามารถปิดความเสี่ยงของหนี้ต่างประเทศได้บางส่วนด้วย
สำหรับรัฐวิสาหกิจได้ชำระคืนหนี้เงินกู้จาก JBIC ก่อนครบกำหนด 14,506 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 4,995 ล้านบาท และ Refinance เงินกู้ JBIC ด้วยเงินบาท 14,754 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 5,000 ล้านบาท และได้ปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศโดยการทำ Swap เงินกู้ต่างประเทศเป็นเงินบาท วงเงินรวม 24,209 ล้านบาท เพื่อปิดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน ผลจากการดำเนินการดังกล่าวทำให้สามารถลดยอดหนี้คงค้างได้รวม 4,995 ล้านบาท และลดภาระดอกเบี้ยในอนาคตได้ 1,290 ล้านบาท
(2) ด้านในประเทศ
กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 10,000 ล้านบาท พันธบัตรเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF1) 50,000 ล้านบาท และ Roll Over หนี้ของรัฐวิสาหกิจรวม 22,900 ล้านบาท
2. การกู้เงินของภาครัฐ
2.1 ในเดือนมิถุนายน 2549 :-
กระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตรเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง (FIDF3) ซึ่งได้รับเงินจากการประมูลพันธบัตรในเดือนนี้ 11,353 ล้านบาท โดยเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ 726 ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษ 10,627 ล้านบาท
สำหรับรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้กู้เงินในประเทศรวม 1,800 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เพื่อลงทุน 1,280 ล้านบาท กู้เงินบาทสมทบ 290 ล้านบาท และกู้เพื่อทดแทนเงินกู้ต่างประเทศ 230 ล้านบาท
2.2 ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2549 :-
ภาครัฐได้กู้เงินรวม 123,644 ล้านบาท เป็นการกู้ของรัฐวิสาหกิจตามแผนก่อหนี้จากต่างประเทศ 9,621 ล้านบาท และการกู้เงินในประเทศ 114,023 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้ของกระทรวงการคลัง 77,520 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 36,503 ล้านบาท
3. การชำระหนี้ของภาครัฐ
3.1 ในเดือนมิถุนายน 2549 :-
กระทรวงการคลังได้ดำเนินการชำระหนี้จากงบประมาณ 11,192 ล้านบาท เป็นการชำระคืนเงินต้น 5,463 ล้านบาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมรวม 5,729 ล้านบาท
3.2 ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2549 :-
กระทรวงการคลังได้ชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากงบประมาณรวม 92,869 ล้านบาท และกองทุนฯ ชำระคืนพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอน 40,000 ล้านบาท
สถานะหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2549
ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2549 มีจำนวน 3,277,910 ล้านบาท หรือร้อยละ 41.65 ของ GDP เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,943,056 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,002,540 ล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 282,314 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 19,785 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 16,121 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 22,211 ล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 18,548 ล้านบาท
หนี้สาธารณะจำแนกได้เป็นหนี้ต่างประเทศ 550,440 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.05 และหนี้ในประเทศ 2,677,470 ล้านบาท หรือร้อยละ 82.95 และเป็นหนี้ระยะยาว 2,638,799 ล้านบาท หรือร้อยละ 81.75 และหนี้ระยะสั้น 589,111 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.25 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง รายละเอียดปรากฏตามตารางที่แนบ ทั้งนี้ หนี้ต่างประเทศที่ลดลงในช่วงนี้เป็นผลจากการ Refinance/ Swap เงินกู้ต่างประเทศบางส่วนเป็นเงินบาทตามภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย ซึ่งแตกต่างจากช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจที่ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศถึงร้อยละ 80 และมีหนี้ในประเทศเพียงร้อยละ 20 ของยอดหนี้คงค้าง ซึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 67/2549 20 กรกฎาคม 49--
1. การปรับโครงสร้างหนี้ของภาครัฐ
ด้านต่างประเทศ
กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศโดยการแปลงหนี้เงินกู้ JBIC จากสกุลเงินเยนเป็นหนี้สกุลเงินบาท วงเงินรวม 12,247 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 4,081 ล้านบาท ทำให้สามารถลดต้นทุนเงินกู้สุทธิได้เป็นเงินประมาณ 487 ล้านบาท
1.2 ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2549 : -
(1) ด้านต่างประเทศ
กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศ โดย 1) ชำระคืนก่อนครบกำหนดวงเงินรวม 198.94 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 8,013 ล้านบาท 2) Roll Over เงินกู้ ECP วงเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 7,908 ล้านบาท ซึ่งใช้เป็น Bridge Financing ในการ Refinance เงินกู้ ADB และ IBRD และต่อมาได้กู้เงินในรูปตราสาร FRN วงเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อชำระคืนเงินกู้ ECP ดังกล่าว 3) Refinance เงินกู้ ADB และ IBRD รวม 154 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 5,900 ล้านบาท และ เงินกู้ FRN วงเงิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการออก ECP วงเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และพันธบัตรเงินบาท วงเงิน 24,500 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 654 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 4) แปลงหนี้เงินกู้สกุลเงินเยนเป็นเงินกู้สกุลเงินบาท วงเงิน 19,731 ล้านบาท ผลจากการดำเนินงานดังกล่าว นอกจากจะสามารถลดยอดหนี้คงค้างได้รวม 8,013 ล้านบาท และลดภาระดอกเบี้ยได้รวม 3,725 ล้านบาท แล้ว ยังสามารถปิดความเสี่ยงของหนี้ต่างประเทศได้บางส่วนด้วย
สำหรับรัฐวิสาหกิจได้ชำระคืนหนี้เงินกู้จาก JBIC ก่อนครบกำหนด 14,506 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 4,995 ล้านบาท และ Refinance เงินกู้ JBIC ด้วยเงินบาท 14,754 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 5,000 ล้านบาท และได้ปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศโดยการทำ Swap เงินกู้ต่างประเทศเป็นเงินบาท วงเงินรวม 24,209 ล้านบาท เพื่อปิดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน ผลจากการดำเนินการดังกล่าวทำให้สามารถลดยอดหนี้คงค้างได้รวม 4,995 ล้านบาท และลดภาระดอกเบี้ยในอนาคตได้ 1,290 ล้านบาท
(2) ด้านในประเทศ
กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 10,000 ล้านบาท พันธบัตรเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF1) 50,000 ล้านบาท และ Roll Over หนี้ของรัฐวิสาหกิจรวม 22,900 ล้านบาท
2. การกู้เงินของภาครัฐ
2.1 ในเดือนมิถุนายน 2549 :-
กระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตรเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง (FIDF3) ซึ่งได้รับเงินจากการประมูลพันธบัตรในเดือนนี้ 11,353 ล้านบาท โดยเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ 726 ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษ 10,627 ล้านบาท
สำหรับรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้กู้เงินในประเทศรวม 1,800 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เพื่อลงทุน 1,280 ล้านบาท กู้เงินบาทสมทบ 290 ล้านบาท และกู้เพื่อทดแทนเงินกู้ต่างประเทศ 230 ล้านบาท
2.2 ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2549 :-
ภาครัฐได้กู้เงินรวม 123,644 ล้านบาท เป็นการกู้ของรัฐวิสาหกิจตามแผนก่อหนี้จากต่างประเทศ 9,621 ล้านบาท และการกู้เงินในประเทศ 114,023 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้ของกระทรวงการคลัง 77,520 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 36,503 ล้านบาท
3. การชำระหนี้ของภาครัฐ
3.1 ในเดือนมิถุนายน 2549 :-
กระทรวงการคลังได้ดำเนินการชำระหนี้จากงบประมาณ 11,192 ล้านบาท เป็นการชำระคืนเงินต้น 5,463 ล้านบาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมรวม 5,729 ล้านบาท
3.2 ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2549 :-
กระทรวงการคลังได้ชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากงบประมาณรวม 92,869 ล้านบาท และกองทุนฯ ชำระคืนพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอน 40,000 ล้านบาท
สถานะหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2549
ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2549 มีจำนวน 3,277,910 ล้านบาท หรือร้อยละ 41.65 ของ GDP เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,943,056 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,002,540 ล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 282,314 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 19,785 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 16,121 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 22,211 ล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 18,548 ล้านบาท
หนี้สาธารณะจำแนกได้เป็นหนี้ต่างประเทศ 550,440 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.05 และหนี้ในประเทศ 2,677,470 ล้านบาท หรือร้อยละ 82.95 และเป็นหนี้ระยะยาว 2,638,799 ล้านบาท หรือร้อยละ 81.75 และหนี้ระยะสั้น 589,111 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.25 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง รายละเอียดปรากฏตามตารางที่แนบ ทั้งนี้ หนี้ต่างประเทศที่ลดลงในช่วงนี้เป็นผลจากการ Refinance/ Swap เงินกู้ต่างประเทศบางส่วนเป็นเงินบาทตามภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย ซึ่งแตกต่างจากช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจที่ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศถึงร้อยละ 80 และมีหนี้ในประเทศเพียงร้อยละ 20 ของยอดหนี้คงค้าง ซึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 67/2549 20 กรกฎาคม 49--