กรุงเทพ--29 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันพุธที่ 27 ธ.ค. 2549 นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่างๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. กำหนดการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 12
ตามที่ฟิลิปปินส์ได้เลื่อนการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 12 ออกไปจากวันที่ 10-13 ธ.ค. 49 เนื่องด้วยเกรงจะได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น Utor นั้น ขณะนี้ ฝ่ายฟิลิปปินส์ได้ยืนยันกำหนดการประชุมใหม่แล้วเป็นระหว่างวันที่ 10-15 ม.ค. 50 ที่เมืองเซบูเช่นเดิม ซึ่งเป็นวันที่ได้รับการเห็นชอบจากประเทศอาเซียน ประเทศคู่เจรจา และประเทศที่จะเข้าร่วมในการประชุมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง East Asia Summit แล้ว
การประชุมจะเริ่มจากระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค. และตามด้วยระดับรัฐมนตรี ส่วนการประชุมระดับผู้นำจะมีระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค.โดยมีทั้งการประชุมอาเซียน และอาเซียน + 3 กับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย หลังจากนั้น จะมีการประชุม East Asia Summit (EAS) ซึ่งนอกจากประเทศอาเซียนแล้ว ก็มีจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เข้าร่วม
นอกจากนั้น คงจะมีการประชุมคู่ขนานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประชุมผู้นำ ACMEC เป็นต้น สำหรับการประชุม ASEAN Summit จะคงใช้ theme เดิม คือ “One Caring and Sharing Community” (ประชาคมที่ห่วงใยและแบ่งปัน) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเร่งรัดให้เกิดประชาคมอาเซียนโดยเร็วและมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เชื่อว่า การประชุมจะประสบผลความสำเร็จด้วยดี และนำไปสู่การรวมตัวที่แข็งแกร่งของอาเซียน
2. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของไทยเข้าไปช่วยเหลือประชาชนพม่า
กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนงบประมาณแก่คณะแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางด้านหู คอ จมูก รวมทั้งพยาบาลและเจ้าหน้าที่ จำนวน 18 จากมูลนิธิหู คอ จมูกชนบท นำโดย น.พ. สุนทร อันตรเสน โรงพยาบาลราชวิถี เดินทางเข้าไปให้การรักษาประชาชนชาวพม่าในพื้นที่เมือง Pakokku (พาโกกุ) และเมือง Meiktila (เม็กติลา) ในภาคมัณฑะเลย์ และที่กรุงย่างกุ้ง ในช่วงวันที่ 1-2 ธ.ค.49 โดยได้ช่วยเหลือผู้ป่วยชาวพม่าที่มารับการตรวจรักษาทั้งสิ้น 1,629 ราย แยกเป็นการรักษา 1,360 ราย ผ่าตัด 119 ราย ตรวจการได้ยิน 150 ราย และมอบเครื่องช่วยฟังแก่ผู้ป่วยอีก 21 ราย และยังมีการมอบยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์มูลค่า 11,000.- ดอลลาร์สหรัฐฯ แก่โรงพยาบาลหู คอ จมูก ในกรุงย่างกุ้งด้วย
การปฏิบัติงานของหน่วยแพทย์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 8 ที่คณะแพทย์ชาวไทยทางด้านหู คอ จมูก ได้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนชาวพม่า ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่นี้มีส่วนช่วยกระชับความสัมพันธ์และมีส่วนช่วยเหลือแก่ประชาชนพม่าโดยตรงในด้านสาธารณสุขและสุขภาพอนามัย จึงได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้ เป็นเงิน 1.9 ล้านบาทจากงบประมาณของกรมเอเชียตะวันออก
3. การประกาศข้อแนะนำสำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปเนปาล
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ ได้ออกประกาศข้อแนะนำสำหรับคนไทยที่ประสงค์จะเดินทางไปเนปาลในช่วงเดือนธันวาคม 2549 — มกราคม 2550 ว่า อาจต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากสถานการณ์การประท้วงรัฐบาลโดยกลุ่ม Maoist ทั้งนี้ ขอให้คนไทยที่ประสงค์จะเดินทางไปเนปาลติดตามข่าวสถานการณ์ในเนปาลได้ทางเว็บไซด์www.thaiembassy.org/kathmandu หรือwww.nepalnews.com เนื่องจากสถานการณ์ในเนปาลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
4. สกญ. ณ นครเซี่ยเหมิน ช่วยเหลือบริษัทไทยประสบปัญหาธุรกิจที่เมืองหนิงเต๋อ ประเทศจีน
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้รับหนังสือขอบคุณจากนายหลักชัย กิตติพล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทยที่ไปร่วมลงทุนกับฝ่ายจีนมากกว่า 30 ล้านหยวน และได้มีปัญหาวุ่นวายจากกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีที่ได้ใช้กำลังเข้าปิดล้อมคลังแก๊สของบริษัทฯ ทางสกญฯ จึงได้ประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมณฑล เพื่อให้ความช่วยเหลือ และทาง สกญ.ฯ ได้เดินทางไปให้ความช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุด้วย ซึ่งในที่สุด เหตุการณ์ได้คลี่คลายไปในทางที่ดี เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การคุ้มครองดูแลผลประโยชน์ของคนไทยในต่างประเทศเป็นภารกิจหลักประการหนึ่งของ สอท./ สกญ.ทั่วโลก ซึ่งกระทรวงฯ ได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด
5. รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงงบประมาณฯ ของเบลเยี่ยมมาจัดพิธีสมรสที่ภูเก็ต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โดยเอกอัครราชทูตดอน ปรมัตถ์วินัย ได้รายงานว่า รองนายกรัฐมนตรี Freya Van den Bossche ของเบลเยี่ยม ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงงบประมาณและคุ้มครองผู้บริโภคด้วย มีกำหนดจะเข้าพิธีมงคลสมรสในวันที่ 29 ธ.ค.49 กับนาย Dennis Van De Weghe และได้เลือกที่จะเดินทางมาจัดงานแต่งงานที่จังหวัดภูเก็ต โดยได้ขอให้ สอทฯ กรุงบรัสเซลส์ช่วยประสานติดต่อจังหวัดภูเก็ตเพื่อเตรียมการต้อนรับ ซึ่งทางจังหวัดฯ มีความยินดีอย่างมากที่บุคคลสำคัญ
ได้เลือกจังหวัดภูเก็ตให้เป็นสถานที่จัดงาน โดยผู้ว่าฯ จะมาดูแลและจะไปส่งคู่บ่าวสาวที่สนามบินในวันกลับ และมอบหมายให้รองผู้ว่าฯ เป็นผู้ให้การต้อนรับในวันที่เดินทางมาถึง
นอกจากนั้น จะมีการจัดพิธีพุทธด้วย เป็นพิธีสงฆ์ มีการถวายสังฆทาน ณ วัดไชยธาราราม(วัดฉลอง) อันเป็นวัดที่มีชื่อเสียงของภูเก็ต และจะมีแขกผู้มีเกียรติจากทางเบลเยี่ยมเข้าร่วมประมาณ 40 คน อาทิ องคมนตรีในสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเบลเยี่ยม และผู้ว่าราชการจังหวัด Limbourg เป็นต้น และรองนายกฯ เบลเยี่ยมได้เชิญท่านทูตดอนฯ ไปร่วมงานที่ภูเก็ตด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเนื่องจากรองนายกรัฐมนตรี Van den Bossche ซึ่งเป็นชาวเบลเยี่ยมเชื้อสายเฟลมมิช เป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสังกัดพรรค Socialist Progressive Alternative (SPA) ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่ออายุ 28 ปี และได้รับการยอมรับว่า ประสบความสำเร็จในงานบริหารงบประมาณ และเป็นที่จับตาว่าเป็นนักการเมืองเบลเยี่ยมที่อนาคตไกล
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะส่งดอกไม้แสดงความยินดีแก่คู่บ่าวสาวด้วย
6. เพลิงไหม้โรงแรมในเมืองมักกะห์
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 49 ได้เกิดเพลิงไหม้ที่โรงแรมในมักกะห์ โดยทางกระทรวงฯ ได้ตรวจสอบกับ สกญ.ณเมืองเจดดาห์แล้ว ไม่มีคนไทยที่ไปร่วมพิธีฮัจญ์ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต แต่น่าสนใจตรงที่ว่าตึก Dar Al Gaza ที่เกิดเพลิงไหม้ เดิมเป็นตึกที่กำหนดจะใช้เป็นที่พักสำหรับผู้แสวงบุญชาวไทย แต่บังเอิญเกิดปัญหาเรื่องการทำสัญญาการเช่าตึกและเจ้าของตึกได้ให้ทางการเยเมนเช่า ส่วนผู้แสวงบุญชาวไทยได้ไปพัก ณ สถานที่อื่นๆ แทน จึงไม่ได้รับความกระทบกระเทือน
7. แผ่นดินไหวในไต้หวัน
เมื่อ 26 ธ.ค.49 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.1 ริกเตอร์ ที่เมือง Hengchun เขต Pingtung ทางภาคตะวันตกฉียงใต้ของไต้หวันประมาณ 23 ก.ม. ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 42 คน แต่ไม่มีคนไทยเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ประเด็นคำถาม
1) กำหนดการเดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์ของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้พลเอกสนธิฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ไปเยี่ยมพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียในเทศการฮัจญ์ พลเอกสนธิฯ ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม และมีความคุ้นเคยกับพี่น้องชาวไทยมุสลิม อยู่ในฐานะที่จะพูดคุยกับพี่น้องมุสลิมต่างชาติให้เข้าใจสถานการณ์ของไทย และความพยายามของรัฐในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ พลเอกสนธิฯ กำหนดจะ
เดินทางวันที่ 28 ธ.ค. 49 และจะมีการพบปะกับบุคคลสำคัญของฝ่ายซาอุดิอาระเบีย และพี่น้องชาวไทยมุสลิมด้วย นอกจากนั้น พลเอกสนธิฯ อุปทูต ณ กรุงริยาด และผู้แทนฮัจญ์ที่เป็นทางการของไทย จะได้เข้าร่วมการพระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันที่พระราชวังในเมืองมินนาด้วย
2) เกาหลีเหนือขายทองคำให้ไทย
การที่ไทยซื้อทองจากเกาหลีเหนือเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค.จำนวน 500 และ 800 กิโลกรัมนั้น เป็นการดำเนินการตามปกติภายใต้กฎหมาย และมีข้อมูลชัดเจนทางเว็บไซต์ของกรมศุลกากร และการซื้อขายเกิดขึ้นก่อนที่จะคณะมนตรีความมั่นคงจะออกข้อมติเกี่ยวกับการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 14 ต.ค.49 ดังนั้น การดำเนินการในเรื่องนี้จึงคงไม่เกี่ยวกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคง
ไทยมีท่าทีมาตั้งแต่ต้นภายหลังที่คณะมนตรีความมั่นคงได้ออกข้อมติ 1718 ว่า ไทยจะให้ความร่วมมือและดำเนินการตามพันธกรณีทุกประการ โดยได้เสนอเรื่องไปที่คณะรัฐมนตรีเพื่อสั่งการไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงการต่างประเทศได้ประชุมกับส่วนราชการต่างๆ แล้ว เพื่อให้มีการปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่งคงในเรื่องนี้แล้ว
3) ท่าทีของไทยต่อข้อมติ UN เรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน
ตามที่สหประชาชาติได้ออกข้อมติ 1737 เรื่องการคว่ำบาตรอิหร่านเมื่อ 23 ธ.ค.49 ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ จะดำเนินการตามพันธกรณีตามข้อมตินั้น และไทยก็ได้แสดงท่าทีมาโดยตลอด ว่า ต้องการให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาเจรจากัน เพื่อจะให้ได้ข้อยุติอย่างสร้างสรรค์โดยสันติวิธีและไม่ต้องการให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาค ไทยมีความกังวลใจที่เหตุการณ์ยังไม่ได้รับการแก้ไข และเข้าใจดีในฐานะที่ไทยก็เป็นภาคีของ NPT (Nuclear Non Proliferation Treaty) ซึ่งไม่ประสงค์ที่จะให้มีการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ แต่ในแง่สิทธิของการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติก็เป็นที่ยอมรับกันได้ แต่ว่าในพันธกรณีตาม NPT และ IAEA Additional Protocol แล้ว ไทยคงต้องให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ IAEA (International Atomic Energy Agency) ที่จะเข้าไปช่วยดูแลพิสูจน์ยืนยันด้วยความโปร่งใสและให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวันพุธที่ 27 ธ.ค. 2549 นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุม กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่างๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. กำหนดการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 12
ตามที่ฟิลิปปินส์ได้เลื่อนการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 12 ออกไปจากวันที่ 10-13 ธ.ค. 49 เนื่องด้วยเกรงจะได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น Utor นั้น ขณะนี้ ฝ่ายฟิลิปปินส์ได้ยืนยันกำหนดการประชุมใหม่แล้วเป็นระหว่างวันที่ 10-15 ม.ค. 50 ที่เมืองเซบูเช่นเดิม ซึ่งเป็นวันที่ได้รับการเห็นชอบจากประเทศอาเซียน ประเทศคู่เจรจา และประเทศที่จะเข้าร่วมในการประชุมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง East Asia Summit แล้ว
การประชุมจะเริ่มจากระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค. และตามด้วยระดับรัฐมนตรี ส่วนการประชุมระดับผู้นำจะมีระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค.โดยมีทั้งการประชุมอาเซียน และอาเซียน + 3 กับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย หลังจากนั้น จะมีการประชุม East Asia Summit (EAS) ซึ่งนอกจากประเทศอาเซียนแล้ว ก็มีจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เข้าร่วม
นอกจากนั้น คงจะมีการประชุมคู่ขนานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประชุมผู้นำ ACMEC เป็นต้น สำหรับการประชุม ASEAN Summit จะคงใช้ theme เดิม คือ “One Caring and Sharing Community” (ประชาคมที่ห่วงใยและแบ่งปัน) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเร่งรัดให้เกิดประชาคมอาเซียนโดยเร็วและมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เชื่อว่า การประชุมจะประสบผลความสำเร็จด้วยดี และนำไปสู่การรวมตัวที่แข็งแกร่งของอาเซียน
2. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของไทยเข้าไปช่วยเหลือประชาชนพม่า
กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนงบประมาณแก่คณะแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางด้านหู คอ จมูก รวมทั้งพยาบาลและเจ้าหน้าที่ จำนวน 18 จากมูลนิธิหู คอ จมูกชนบท นำโดย น.พ. สุนทร อันตรเสน โรงพยาบาลราชวิถี เดินทางเข้าไปให้การรักษาประชาชนชาวพม่าในพื้นที่เมือง Pakokku (พาโกกุ) และเมือง Meiktila (เม็กติลา) ในภาคมัณฑะเลย์ และที่กรุงย่างกุ้ง ในช่วงวันที่ 1-2 ธ.ค.49 โดยได้ช่วยเหลือผู้ป่วยชาวพม่าที่มารับการตรวจรักษาทั้งสิ้น 1,629 ราย แยกเป็นการรักษา 1,360 ราย ผ่าตัด 119 ราย ตรวจการได้ยิน 150 ราย และมอบเครื่องช่วยฟังแก่ผู้ป่วยอีก 21 ราย และยังมีการมอบยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์มูลค่า 11,000.- ดอลลาร์สหรัฐฯ แก่โรงพยาบาลหู คอ จมูก ในกรุงย่างกุ้งด้วย
การปฏิบัติงานของหน่วยแพทย์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 8 ที่คณะแพทย์ชาวไทยทางด้านหู คอ จมูก ได้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนชาวพม่า ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่นี้มีส่วนช่วยกระชับความสัมพันธ์และมีส่วนช่วยเหลือแก่ประชาชนพม่าโดยตรงในด้านสาธารณสุขและสุขภาพอนามัย จึงได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้ เป็นเงิน 1.9 ล้านบาทจากงบประมาณของกรมเอเชียตะวันออก
3. การประกาศข้อแนะนำสำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปเนปาล
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ ได้ออกประกาศข้อแนะนำสำหรับคนไทยที่ประสงค์จะเดินทางไปเนปาลในช่วงเดือนธันวาคม 2549 — มกราคม 2550 ว่า อาจต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากสถานการณ์การประท้วงรัฐบาลโดยกลุ่ม Maoist ทั้งนี้ ขอให้คนไทยที่ประสงค์จะเดินทางไปเนปาลติดตามข่าวสถานการณ์ในเนปาลได้ทางเว็บไซด์www.thaiembassy.org/kathmandu หรือwww.nepalnews.com เนื่องจากสถานการณ์ในเนปาลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
4. สกญ. ณ นครเซี่ยเหมิน ช่วยเหลือบริษัทไทยประสบปัญหาธุรกิจที่เมืองหนิงเต๋อ ประเทศจีน
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้รับหนังสือขอบคุณจากนายหลักชัย กิตติพล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทยที่ไปร่วมลงทุนกับฝ่ายจีนมากกว่า 30 ล้านหยวน และได้มีปัญหาวุ่นวายจากกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีที่ได้ใช้กำลังเข้าปิดล้อมคลังแก๊สของบริษัทฯ ทางสกญฯ จึงได้ประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมณฑล เพื่อให้ความช่วยเหลือ และทาง สกญ.ฯ ได้เดินทางไปให้ความช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุด้วย ซึ่งในที่สุด เหตุการณ์ได้คลี่คลายไปในทางที่ดี เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การคุ้มครองดูแลผลประโยชน์ของคนไทยในต่างประเทศเป็นภารกิจหลักประการหนึ่งของ สอท./ สกญ.ทั่วโลก ซึ่งกระทรวงฯ ได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด
5. รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงงบประมาณฯ ของเบลเยี่ยมมาจัดพิธีสมรสที่ภูเก็ต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โดยเอกอัครราชทูตดอน ปรมัตถ์วินัย ได้รายงานว่า รองนายกรัฐมนตรี Freya Van den Bossche ของเบลเยี่ยม ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงงบประมาณและคุ้มครองผู้บริโภคด้วย มีกำหนดจะเข้าพิธีมงคลสมรสในวันที่ 29 ธ.ค.49 กับนาย Dennis Van De Weghe และได้เลือกที่จะเดินทางมาจัดงานแต่งงานที่จังหวัดภูเก็ต โดยได้ขอให้ สอทฯ กรุงบรัสเซลส์ช่วยประสานติดต่อจังหวัดภูเก็ตเพื่อเตรียมการต้อนรับ ซึ่งทางจังหวัดฯ มีความยินดีอย่างมากที่บุคคลสำคัญ
ได้เลือกจังหวัดภูเก็ตให้เป็นสถานที่จัดงาน โดยผู้ว่าฯ จะมาดูแลและจะไปส่งคู่บ่าวสาวที่สนามบินในวันกลับ และมอบหมายให้รองผู้ว่าฯ เป็นผู้ให้การต้อนรับในวันที่เดินทางมาถึง
นอกจากนั้น จะมีการจัดพิธีพุทธด้วย เป็นพิธีสงฆ์ มีการถวายสังฆทาน ณ วัดไชยธาราราม(วัดฉลอง) อันเป็นวัดที่มีชื่อเสียงของภูเก็ต และจะมีแขกผู้มีเกียรติจากทางเบลเยี่ยมเข้าร่วมประมาณ 40 คน อาทิ องคมนตรีในสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเบลเยี่ยม และผู้ว่าราชการจังหวัด Limbourg เป็นต้น และรองนายกฯ เบลเยี่ยมได้เชิญท่านทูตดอนฯ ไปร่วมงานที่ภูเก็ตด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเนื่องจากรองนายกรัฐมนตรี Van den Bossche ซึ่งเป็นชาวเบลเยี่ยมเชื้อสายเฟลมมิช เป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสังกัดพรรค Socialist Progressive Alternative (SPA) ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่ออายุ 28 ปี และได้รับการยอมรับว่า ประสบความสำเร็จในงานบริหารงบประมาณ และเป็นที่จับตาว่าเป็นนักการเมืองเบลเยี่ยมที่อนาคตไกล
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะส่งดอกไม้แสดงความยินดีแก่คู่บ่าวสาวด้วย
6. เพลิงไหม้โรงแรมในเมืองมักกะห์
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 49 ได้เกิดเพลิงไหม้ที่โรงแรมในมักกะห์ โดยทางกระทรวงฯ ได้ตรวจสอบกับ สกญ.ณเมืองเจดดาห์แล้ว ไม่มีคนไทยที่ไปร่วมพิธีฮัจญ์ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต แต่น่าสนใจตรงที่ว่าตึก Dar Al Gaza ที่เกิดเพลิงไหม้ เดิมเป็นตึกที่กำหนดจะใช้เป็นที่พักสำหรับผู้แสวงบุญชาวไทย แต่บังเอิญเกิดปัญหาเรื่องการทำสัญญาการเช่าตึกและเจ้าของตึกได้ให้ทางการเยเมนเช่า ส่วนผู้แสวงบุญชาวไทยได้ไปพัก ณ สถานที่อื่นๆ แทน จึงไม่ได้รับความกระทบกระเทือน
7. แผ่นดินไหวในไต้หวัน
เมื่อ 26 ธ.ค.49 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.1 ริกเตอร์ ที่เมือง Hengchun เขต Pingtung ทางภาคตะวันตกฉียงใต้ของไต้หวันประมาณ 23 ก.ม. ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 42 คน แต่ไม่มีคนไทยเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ประเด็นคำถาม
1) กำหนดการเดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์ของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้พลเอกสนธิฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ไปเยี่ยมพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียในเทศการฮัจญ์ พลเอกสนธิฯ ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม และมีความคุ้นเคยกับพี่น้องชาวไทยมุสลิม อยู่ในฐานะที่จะพูดคุยกับพี่น้องมุสลิมต่างชาติให้เข้าใจสถานการณ์ของไทย และความพยายามของรัฐในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ พลเอกสนธิฯ กำหนดจะ
เดินทางวันที่ 28 ธ.ค. 49 และจะมีการพบปะกับบุคคลสำคัญของฝ่ายซาอุดิอาระเบีย และพี่น้องชาวไทยมุสลิมด้วย นอกจากนั้น พลเอกสนธิฯ อุปทูต ณ กรุงริยาด และผู้แทนฮัจญ์ที่เป็นทางการของไทย จะได้เข้าร่วมการพระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันที่พระราชวังในเมืองมินนาด้วย
2) เกาหลีเหนือขายทองคำให้ไทย
การที่ไทยซื้อทองจากเกาหลีเหนือเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค.จำนวน 500 และ 800 กิโลกรัมนั้น เป็นการดำเนินการตามปกติภายใต้กฎหมาย และมีข้อมูลชัดเจนทางเว็บไซต์ของกรมศุลกากร และการซื้อขายเกิดขึ้นก่อนที่จะคณะมนตรีความมั่นคงจะออกข้อมติเกี่ยวกับการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 14 ต.ค.49 ดังนั้น การดำเนินการในเรื่องนี้จึงคงไม่เกี่ยวกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคง
ไทยมีท่าทีมาตั้งแต่ต้นภายหลังที่คณะมนตรีความมั่นคงได้ออกข้อมติ 1718 ว่า ไทยจะให้ความร่วมมือและดำเนินการตามพันธกรณีทุกประการ โดยได้เสนอเรื่องไปที่คณะรัฐมนตรีเพื่อสั่งการไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงการต่างประเทศได้ประชุมกับส่วนราชการต่างๆ แล้ว เพื่อให้มีการปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่งคงในเรื่องนี้แล้ว
3) ท่าทีของไทยต่อข้อมติ UN เรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน
ตามที่สหประชาชาติได้ออกข้อมติ 1737 เรื่องการคว่ำบาตรอิหร่านเมื่อ 23 ธ.ค.49 ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ จะดำเนินการตามพันธกรณีตามข้อมตินั้น และไทยก็ได้แสดงท่าทีมาโดยตลอด ว่า ต้องการให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาเจรจากัน เพื่อจะให้ได้ข้อยุติอย่างสร้างสรรค์โดยสันติวิธีและไม่ต้องการให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาค ไทยมีความกังวลใจที่เหตุการณ์ยังไม่ได้รับการแก้ไข และเข้าใจดีในฐานะที่ไทยก็เป็นภาคีของ NPT (Nuclear Non Proliferation Treaty) ซึ่งไม่ประสงค์ที่จะให้มีการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ แต่ในแง่สิทธิของการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติก็เป็นที่ยอมรับกันได้ แต่ว่าในพันธกรณีตาม NPT และ IAEA Additional Protocol แล้ว ไทยคงต้องให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ IAEA (International Atomic Energy Agency) ที่จะเข้าไปช่วยดูแลพิสูจน์ยืนยันด้วยความโปร่งใสและให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-