ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ระบุนำส่งรายได้เข้าคลังต่ำกว่าเป้าเนื่องจากค่าเงินบาทผันผวน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยถึงกรณีที่ ก.คลังระบุว่า ธปท. นำส่งรายได้เข้าคลังเพื่อใช้ในการแก้ไขหนี้ของกองทุนเพื่อ
การฟื้นฟูฯ ต่ำกว่าเป้าหมายการนำส่งเดิมที่กำหนดไว้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเป็นเงินที่ขาดไปประมาณ 39,000 ล้านบาท
ซึ่งจะทำให้การชำระหนี้พันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ ต้องยืดเวลาออกไปอีก 10 ปีนั้น ธปท. ยืนยันว่าจะสามารถชำระหนี้ได้
ภายใน 29 ปี ที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน แม้ว่าปีนี้จะนำส่งรายได้น้อย แต่เป็นเพราะอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็ง
ค่าขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องปรกติที่บางปีอาจจะมีรายได้ต่ำกว่าเป้าประมาณการบ้าง แต่บางปีอาจจะสูงกว่าประมาณ
การก็เฉลี่ยกันไป ด้าน นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การที่ประมาณรายได้ไม่เป็นไปตามที่
คาดไว้เพราะค่าเงินบาทมีความผันผวน ประกอบกับเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่า แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกับการชำระ
คืนพันธบัตร เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงกำหนดการชำระคืน และตามปรกติจะออกพันธบัตรใหม่แทนพันธบัตรเก่า ทำให้ไม่
จำเป็นต้องใช้เงินในการชำระพันธบัตรอายุ 5 ปี หรือ 7 ปี ที่ออกไปทั้งหมด จะไปจ่ายจริงในช่วงใกล้ ๆ 29 ปีที่
คาดไว้ ทำให้ยังมีเวลานำส่งรายได้อีกมาก (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ไทยอาจจะยอมให้ต่างชาติรุกภาคการเงินไทยในเวลา 0-10 ปี แหล่งข่าวจากคณะเจรจาเอฟที
เอ ไทย — สรอ. ภาคการเงิน เปิดเผยว่า คณะทำงานฝ่ายไทยและ สรอ. จะมีการประชุมร่วมกันรอบต่อไปใน
วันที่ 20-24 มี.ค.นี้ ก่อนที่จะมีการประชุมรอบที่ 7 อย่างเป็นทางการ โดยฝ่ายไทยได้มีการกำหนดท่าทีและกรอบ
ยืดหยุ่นในข้อเสนอที่พอจะยอมรับได้ไว้แล้ว โดยกรอบการเจรจามีอยู่ 4 ประเด็น คือ 1) ข้อเสนอของ สรอ. ที่
ต้องการให้ธุรกิจการเงินสามารถทำได้อย่างเสรี (Cross-Border) ซึ่งฝ่ายไทยจะยินยอมในส่วนของธุรกิจ
หลักทรัพย์ 2) ข้อเสนอของฝ่าย สรอ. ต้องการเข้าถือหุ้น 100% ในสถาบันการเงินไทย ซึ่งในประเด็นนี้ไทยจะ
กำหนดกรอบระยะเวลาในการยินยอมคือ 0-10 ปี โดยจะวางขั้นตอนการยินยอมไว้เป็นขั้นเวลา เช่น สัดส่วนการ
ถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 25 แล้วค่อยขยับเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกินร้อยละ 49 ซึ่งในประเด็นนี้ทาง ธปท. เตรียมที่จะแก้ไข
กฎหมาย พรบ.การธนาคารพาณิชย์ เพื่อรองรับไว้แล้ว หลังจากนั้น จึงจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 100% 3) ฝ่าย สรอ.
ต้องการให้บุคคลต่างด้าวเข้ามาทำงานในธุรกิจการเงินของไทยได้ ซึ่งฝ่ายไทยมีจุดยืนอนุญาตให้ตามสัดส่วนของการ
ถือหุ้นของต่างชาติในสถาบันการเงินนั้น ๆ และ 4) ฝ่าย สรอ. ต้องการให้สถาบันการเงินเปิดสาขาในไทยได้
โดยไม่จำกัดจำนวน ซึ่งประเด็นนี้ฝ่ายไทยจะยินยอม แต่จะมีการกำหนดกรอบระยะเวลาคือ ให้อยู่ในระยะเวลา
0-10 ปี ทั้งนี้ คณะทำงานฝ่ายไทยเชื่อว่าภาคธุรกิจการเงินมีความพร้อมในการเปิดเสรีมากกว่าภาคธุรกิจอื่น
เนื่องจากภาคการเงินมีบุคลากรที่มีการศึกษา มีความรู้ และสามารถปรับตัวเข้ากับกระแสการแข่งขันของโลกได้
อย่างรวดเร็ว ดังนั้น เชื่อว่าการเข้ามาของทุนต่างชาติจะเป็นตัวกดดันให้สถาบันการเงินไทยสามารถปรับตัวรับได้
อย่างรวดเร็ว โดยมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วจากช่วงวิกฤตการเงินเมื่อปี 2540 อย่างไรก็ตาม คณะทำงานฝ่ายยัง
มีการสงวนในบางประเด็น เช่น จะมีการระบุในข้อตกลงว่าการเจรจาทั้งหมดจะไม่รวมถึงธุรกรรมใหม่ที่ยังไม่
เกิดขึ้นในอนาคต โดยจะสงวนสิทธิให้ฝ่ายไทยเป็นผู้กำหนดแนวทางในการกำกับดูแล ในขณะที่นโยบายของรัฐบาล
ยังคงยืนยันว่าภายหลังการเปิดเสรีการเงิน ประเทศไทยจะยังคงมีสถาบันการเงินที่มีคนไทยถือหุ้นใหญ่ และมีสถาบัน
การเงินเฉพาะกิจเพื่อไว้สำหรับรับมือกับปัญหาวิกฤตในประเทศได้ (มติชน)
3. สินเชื่อสิ้นปี 48 มียอดรวมกว่า 5.68 ล้านล้านบาท รายงานข่าวจาก ธปท. ระบุว่า ยอดรวม
เงินให้สินเชื่อรวมของสถาบันการเงิน ณ สิ้นปี 48 อยู่ที่ 5,681,451 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน
452,246 ล้านบาท เป็นการให้สินเชื่อของ ธ.พาณิชย์ในประเทศ 5,101,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 381,613 ล้านบาท
และเป็นสินเชื่อของธนาคารต่างประเทศ 580,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70,633 ล้านบาท โดยภาคการผลิตเป็น
ธุรกิจที่ได้รับสินเชื่อมากที่สุด 1,525,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 82,112 ล้านบาท ตาม
มาด้วยสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่ขยายตัวเป็น 1,022,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของ
ปีก่อน 196,279 ล้านบาท แยกเป็นสินเชื่อเพื่อการซื้อที่ดิน 40,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,151 ล้านบาท สินเชื่อ
เพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัย 586,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78,857 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อการเช่าซื้อรถยนต์และ
รถจักรยานยนต์ 111,037 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 104,266 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการขายส่ง ขาย
ปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ จักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน มีจำนวน 944,756 ล้านบาท เพิ่ม
ขึ้นจากปีก่อน 34,052 ล้านบาท (โพสต์ทูเดย์)
4. ก.คลังมีนโยบายปรับลดอัตราภาษีศุลกากรสินค้านำเข้า นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัด ก.คลัง ใน
ฐานะประธานคณะกรรมการปรับโครงสร้างภาษี เปิดเผยว่า ก.คลังมีนโยบายที่จะลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้า
นำเข้า เพื่อให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนการผลิตลดลง โดยยอมลดสัดส่วนการจัดเก็บรายได้ของศุลกากร จากปัจจุบันที่มี
สัดส่วนในการจัดเก็บรายได้ประมาณร้อยละ 8-9 ของวงเงิน งปม. ในแต่ละปี จะลดลงเหลือร้อยละ 4-5 เท่านั้น
โดยหลักการของการปรับปรุงโครงสร้างภาษีครั้งนี้จะพิจารณาถึงรายได้ที่ต้องเพียงพอกับรายจ่าย โดยจะต้องจัดเป็น
งปม.สมดุล เพราะไม่ต้องการให้เกิดการขาดดุลทั้งบัญชีเดินสะพัดและ งปม. ดังนั้น การปรับลดอัตราภาษีศุลกากร
ลงโดยให้มีสัดส่วนรายได้ในระดับร้อยละ 4-5 ของวงเงิน งปม. จะต้องพิจารณาถึงแนวทางในการเพิ่มรายได้ของ
กรมสรรพสามิตและกรมสรรพากรเพิ่มเติม นอกจากนี้ ภายในปีหน้า ก.คลังจะปรับลดภาษีนำเข้าของอุตสาหกรรม
เหล็กและปิโตรเคมี เพื่อลดต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมภายในประเทศ (ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ชะลอตัวลงโดยขยายตัวเพียงร้อยละ 0.3
ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 แต่คาดว่า ธ.กลางยุโรปจะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนหน้า รายงานจาก
บรัสเซลส์ เมื่อ 14 ก.พ.49 Eurostat ซึ่งเป็นสนง.สถิติกลางของยุโรปรายงาน ประมาณการเบื้องต้นอัตราการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิก 12 ประเทศที่ใช้
เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักจากตัวเลขที่ได้จาก 6 ประเทศสมาชิกประกอบด้วย เยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์
ออสเตรียและฟินแลนด์ว่าชะลอตัวลงโดยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.3 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ
0.6 ในไตรมาสก่อน อย่างไรก็ดี หากเทียบต่อปีแล้วเศรษฐกิจของ Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ต่อปีใน
ไตรมาสสุดท้ายปี 48 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.6 ต่อปีในไตรมาสก่อน ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ นักการเมืองและ
ธ.กลางยุโรปเห็นพ้องต้องกันว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในไตรมาสสุดท้ายปี 48 เป็นเพียงชั่วคราวและคาดว่า
เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ นักเศรษฐศาสตร์จึงคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะยังคง
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.5 ต่อปีตามที่ตลาดคาดไว้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อจาก
ราคาน้ำมันและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อ (รอยเตอร์)
2. สินค้าคงคลังภาคธุรกิจของ สรอ.ในเดือน ธ.ค.49 เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 0.7
เทียบต่อเดือน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 14 ก.พ.49 ก.พาณิชย์ สรอ. เปิดเผยว่า สินค้าคงคลังภาคธุรกิจของ
สรอ.ในเดือน ธ.ค.49 เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.7 เทียบต่อเดือน ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าสินค้าคงคลัง
ที่ผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่งและผู้ผลิตจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือน พ.ย.48
(ตัวเลขหลังทบทวนแล้ว) และหากเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 ทั้งนี้ มีสาเหตุสำคัญจากสินค้าคงคลังหมวดรถยนต์
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.9 เนื่องจากเดือน พ.ย.48 สินค้าคงคลังหมวดรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ขณะที่ยอดขาย
รถยนต์ในเดือน ธ.ค.48 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.2 อย่างไรก็ตาม ยอดขายของภาคธุรกิจในเดือน ธ.ค.48
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 1.2 เทียบต่อเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปี และหากเทียบต่อปีเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 7.0 ขณะที่อัตราส่วนสินค้าคงคลังต่อยอดขาย ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดถึงช่วงเวลาที่สินค้าอยู่ในคลังก่อนจำหน่าย
ลดลงอยู่ที่ 1.25 เดือน ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเท่ากับเมื่อเดือน ต.ค.48 นอกจากนี้ สินค้าคงคลังประเภทขายปลีกใน
เดือน ธ.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ขณะที่ยอดขายปลีกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.3 (รอยเตอร์)
3. ธุรกิจล้มละลายของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.6 รายงาน
จากโตเกียว เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 49 Tokyo Shoko Research เปิดเผยว่า จำนวนธุรกิจล้มละลายของญี่ปุ่นใน
เดือน ม.ค. มีจำนวน 1,049 แห่ง เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.6 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน
เป็นเดือนที่ 4 ขณะที่ยอดหนี้สินรวมทั้งสิ้นลดลงต่ำสุดเป็นอันดับที่ 3 ในรอบ 10 ปี ส่งสัญญานว่าการฟื้นตัวของ
เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังดำเนินอยู่ โดยยอดหนี้สินรวมลดลงร้อยละ 2.8 จากปีก่อน อยู่ที่ระดับ 604.36 พัน ล. เยน
(5.13 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.) สาเหตุจากธุรกิจที่ล้มละลายส่วนใหญ่มีหนี้สินน้อยกว่าร้อยล้านเยน โดยธุรกิจขนาด
เล็กที่มีคนงานน้อยกว่า 5 คน ล้มละลายมากกว่าร้อยละ 63 ของยอดธุรกิจล้มละลายในเดือน ม.ค. ทั้งนี้อุปสงค์ใน
ประเทศ และการส่งออกที่แข็งแกร่งในสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีส่วนช่วยกระตุ้นให้
เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัว อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นอาจกระทบต่อธุรกิจขนาดกลาง และเล็กมากกว่าธุรกิจ
ขนาดใหญ่ ซึ่ง Tokyo Shoko Research เห็นว่าการสนับสนุนทางการเงินของรัฐจะสามารถช่วยลดกรณีล้มละลาย
ของธุรกิจลงได้ (รอยเตอร์)
4. ผลสำรวจคาดว่าอัตราว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือน ม.ค.49 จะคงที่อยู่ที่ร้อยละ 3.5 รายงาน
จากโซล เมื่อ 14 ก.พ.49 ผลสำรวจโดยรอยเตอร์คาดว่าอัตราว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือน ม.ค.49 จะคงที่
อยู่ที่ร้อยละ 3.5 เท่ากับเดือน ธ.ค.48 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราว่างงานต่ำสุดในรอบ 21 ปี โดยอัตราว่างงานเคยอยู่
ในระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ร้อยละ 4.0 ในเดือน ก.ย.48 และลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยคาดว่า
เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของความต้องการในประเทศซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของผลผลิตรวมในประเทศหรือ GDP
ทำให้มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นในภาคบริการและการค้าปลีก ในขณะที่การลงทุนของภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นก็ช่วยสร้างงาน
ในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้คาดว่าการบริโภคในประเทศในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4 ต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ
3.2 ต่อปีในปี 48 และหดตัวร้อยละ 0.5 ต่อปีในปี 47 นอกจากนี้รัฐบาลยังมีแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายอีกร้อยละ
10 เพื่อช่วยให้มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นอีก 400,000 ตำแหน่งในปีนี้ซึ่ง ธ.กลางเกาหลีใต้คาดว่าจะช่วยให้อัตราว่าง
งานเฉลี่ยในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.6 จากร้อยละ 3.8 ในปี 48 โดย สนง.สถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้มี
กำหนดจะรายงานอัตราว่างงานในเดือน ม.ค.49 อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 ก.พ.49 เวลา 7.30 น.ตาม
เวลาท้องถิ่น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 ก.พ. 49 14 ก.พ. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อมู
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.327 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.1054/39.3939 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.3 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 727.91/ 18.20 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,000/10,100 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.49 56.7 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 10 ก.พ. 49 26.44*/24.29** 26.44*/24.29** 19.69/14.59 ปตท
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 3 ก.พ. 49
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ระบุนำส่งรายได้เข้าคลังต่ำกว่าเป้าเนื่องจากค่าเงินบาทผันผวน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยถึงกรณีที่ ก.คลังระบุว่า ธปท. นำส่งรายได้เข้าคลังเพื่อใช้ในการแก้ไขหนี้ของกองทุนเพื่อ
การฟื้นฟูฯ ต่ำกว่าเป้าหมายการนำส่งเดิมที่กำหนดไว้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเป็นเงินที่ขาดไปประมาณ 39,000 ล้านบาท
ซึ่งจะทำให้การชำระหนี้พันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ ต้องยืดเวลาออกไปอีก 10 ปีนั้น ธปท. ยืนยันว่าจะสามารถชำระหนี้ได้
ภายใน 29 ปี ที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน แม้ว่าปีนี้จะนำส่งรายได้น้อย แต่เป็นเพราะอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็ง
ค่าขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องปรกติที่บางปีอาจจะมีรายได้ต่ำกว่าเป้าประมาณการบ้าง แต่บางปีอาจจะสูงกว่าประมาณ
การก็เฉลี่ยกันไป ด้าน นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การที่ประมาณรายได้ไม่เป็นไปตามที่
คาดไว้เพราะค่าเงินบาทมีความผันผวน ประกอบกับเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่า แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกับการชำระ
คืนพันธบัตร เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงกำหนดการชำระคืน และตามปรกติจะออกพันธบัตรใหม่แทนพันธบัตรเก่า ทำให้ไม่
จำเป็นต้องใช้เงินในการชำระพันธบัตรอายุ 5 ปี หรือ 7 ปี ที่ออกไปทั้งหมด จะไปจ่ายจริงในช่วงใกล้ ๆ 29 ปีที่
คาดไว้ ทำให้ยังมีเวลานำส่งรายได้อีกมาก (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ไทยอาจจะยอมให้ต่างชาติรุกภาคการเงินไทยในเวลา 0-10 ปี แหล่งข่าวจากคณะเจรจาเอฟที
เอ ไทย — สรอ. ภาคการเงิน เปิดเผยว่า คณะทำงานฝ่ายไทยและ สรอ. จะมีการประชุมร่วมกันรอบต่อไปใน
วันที่ 20-24 มี.ค.นี้ ก่อนที่จะมีการประชุมรอบที่ 7 อย่างเป็นทางการ โดยฝ่ายไทยได้มีการกำหนดท่าทีและกรอบ
ยืดหยุ่นในข้อเสนอที่พอจะยอมรับได้ไว้แล้ว โดยกรอบการเจรจามีอยู่ 4 ประเด็น คือ 1) ข้อเสนอของ สรอ. ที่
ต้องการให้ธุรกิจการเงินสามารถทำได้อย่างเสรี (Cross-Border) ซึ่งฝ่ายไทยจะยินยอมในส่วนของธุรกิจ
หลักทรัพย์ 2) ข้อเสนอของฝ่าย สรอ. ต้องการเข้าถือหุ้น 100% ในสถาบันการเงินไทย ซึ่งในประเด็นนี้ไทยจะ
กำหนดกรอบระยะเวลาในการยินยอมคือ 0-10 ปี โดยจะวางขั้นตอนการยินยอมไว้เป็นขั้นเวลา เช่น สัดส่วนการ
ถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 25 แล้วค่อยขยับเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกินร้อยละ 49 ซึ่งในประเด็นนี้ทาง ธปท. เตรียมที่จะแก้ไข
กฎหมาย พรบ.การธนาคารพาณิชย์ เพื่อรองรับไว้แล้ว หลังจากนั้น จึงจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 100% 3) ฝ่าย สรอ.
ต้องการให้บุคคลต่างด้าวเข้ามาทำงานในธุรกิจการเงินของไทยได้ ซึ่งฝ่ายไทยมีจุดยืนอนุญาตให้ตามสัดส่วนของการ
ถือหุ้นของต่างชาติในสถาบันการเงินนั้น ๆ และ 4) ฝ่าย สรอ. ต้องการให้สถาบันการเงินเปิดสาขาในไทยได้
โดยไม่จำกัดจำนวน ซึ่งประเด็นนี้ฝ่ายไทยจะยินยอม แต่จะมีการกำหนดกรอบระยะเวลาคือ ให้อยู่ในระยะเวลา
0-10 ปี ทั้งนี้ คณะทำงานฝ่ายไทยเชื่อว่าภาคธุรกิจการเงินมีความพร้อมในการเปิดเสรีมากกว่าภาคธุรกิจอื่น
เนื่องจากภาคการเงินมีบุคลากรที่มีการศึกษา มีความรู้ และสามารถปรับตัวเข้ากับกระแสการแข่งขันของโลกได้
อย่างรวดเร็ว ดังนั้น เชื่อว่าการเข้ามาของทุนต่างชาติจะเป็นตัวกดดันให้สถาบันการเงินไทยสามารถปรับตัวรับได้
อย่างรวดเร็ว โดยมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วจากช่วงวิกฤตการเงินเมื่อปี 2540 อย่างไรก็ตาม คณะทำงานฝ่ายยัง
มีการสงวนในบางประเด็น เช่น จะมีการระบุในข้อตกลงว่าการเจรจาทั้งหมดจะไม่รวมถึงธุรกรรมใหม่ที่ยังไม่
เกิดขึ้นในอนาคต โดยจะสงวนสิทธิให้ฝ่ายไทยเป็นผู้กำหนดแนวทางในการกำกับดูแล ในขณะที่นโยบายของรัฐบาล
ยังคงยืนยันว่าภายหลังการเปิดเสรีการเงิน ประเทศไทยจะยังคงมีสถาบันการเงินที่มีคนไทยถือหุ้นใหญ่ และมีสถาบัน
การเงินเฉพาะกิจเพื่อไว้สำหรับรับมือกับปัญหาวิกฤตในประเทศได้ (มติชน)
3. สินเชื่อสิ้นปี 48 มียอดรวมกว่า 5.68 ล้านล้านบาท รายงานข่าวจาก ธปท. ระบุว่า ยอดรวม
เงินให้สินเชื่อรวมของสถาบันการเงิน ณ สิ้นปี 48 อยู่ที่ 5,681,451 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน
452,246 ล้านบาท เป็นการให้สินเชื่อของ ธ.พาณิชย์ในประเทศ 5,101,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 381,613 ล้านบาท
และเป็นสินเชื่อของธนาคารต่างประเทศ 580,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70,633 ล้านบาท โดยภาคการผลิตเป็น
ธุรกิจที่ได้รับสินเชื่อมากที่สุด 1,525,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 82,112 ล้านบาท ตาม
มาด้วยสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่ขยายตัวเป็น 1,022,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของ
ปีก่อน 196,279 ล้านบาท แยกเป็นสินเชื่อเพื่อการซื้อที่ดิน 40,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,151 ล้านบาท สินเชื่อ
เพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัย 586,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78,857 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อการเช่าซื้อรถยนต์และ
รถจักรยานยนต์ 111,037 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 104,266 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการขายส่ง ขาย
ปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ จักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน มีจำนวน 944,756 ล้านบาท เพิ่ม
ขึ้นจากปีก่อน 34,052 ล้านบาท (โพสต์ทูเดย์)
4. ก.คลังมีนโยบายปรับลดอัตราภาษีศุลกากรสินค้านำเข้า นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัด ก.คลัง ใน
ฐานะประธานคณะกรรมการปรับโครงสร้างภาษี เปิดเผยว่า ก.คลังมีนโยบายที่จะลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้า
นำเข้า เพื่อให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนการผลิตลดลง โดยยอมลดสัดส่วนการจัดเก็บรายได้ของศุลกากร จากปัจจุบันที่มี
สัดส่วนในการจัดเก็บรายได้ประมาณร้อยละ 8-9 ของวงเงิน งปม. ในแต่ละปี จะลดลงเหลือร้อยละ 4-5 เท่านั้น
โดยหลักการของการปรับปรุงโครงสร้างภาษีครั้งนี้จะพิจารณาถึงรายได้ที่ต้องเพียงพอกับรายจ่าย โดยจะต้องจัดเป็น
งปม.สมดุล เพราะไม่ต้องการให้เกิดการขาดดุลทั้งบัญชีเดินสะพัดและ งปม. ดังนั้น การปรับลดอัตราภาษีศุลกากร
ลงโดยให้มีสัดส่วนรายได้ในระดับร้อยละ 4-5 ของวงเงิน งปม. จะต้องพิจารณาถึงแนวทางในการเพิ่มรายได้ของ
กรมสรรพสามิตและกรมสรรพากรเพิ่มเติม นอกจากนี้ ภายในปีหน้า ก.คลังจะปรับลดภาษีนำเข้าของอุตสาหกรรม
เหล็กและปิโตรเคมี เพื่อลดต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมภายในประเทศ (ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ชะลอตัวลงโดยขยายตัวเพียงร้อยละ 0.3
ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 แต่คาดว่า ธ.กลางยุโรปจะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนหน้า รายงานจาก
บรัสเซลส์ เมื่อ 14 ก.พ.49 Eurostat ซึ่งเป็นสนง.สถิติกลางของยุโรปรายงาน ประมาณการเบื้องต้นอัตราการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิก 12 ประเทศที่ใช้
เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักจากตัวเลขที่ได้จาก 6 ประเทศสมาชิกประกอบด้วย เยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์
ออสเตรียและฟินแลนด์ว่าชะลอตัวลงโดยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.3 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ
0.6 ในไตรมาสก่อน อย่างไรก็ดี หากเทียบต่อปีแล้วเศรษฐกิจของ Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ต่อปีใน
ไตรมาสสุดท้ายปี 48 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.6 ต่อปีในไตรมาสก่อน ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ นักการเมืองและ
ธ.กลางยุโรปเห็นพ้องต้องกันว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในไตรมาสสุดท้ายปี 48 เป็นเพียงชั่วคราวและคาดว่า
เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ นักเศรษฐศาสตร์จึงคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะยังคง
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.5 ต่อปีตามที่ตลาดคาดไว้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อจาก
ราคาน้ำมันและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อ (รอยเตอร์)
2. สินค้าคงคลังภาคธุรกิจของ สรอ.ในเดือน ธ.ค.49 เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 0.7
เทียบต่อเดือน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 14 ก.พ.49 ก.พาณิชย์ สรอ. เปิดเผยว่า สินค้าคงคลังภาคธุรกิจของ
สรอ.ในเดือน ธ.ค.49 เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.7 เทียบต่อเดือน ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าสินค้าคงคลัง
ที่ผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่งและผู้ผลิตจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือน พ.ย.48
(ตัวเลขหลังทบทวนแล้ว) และหากเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 ทั้งนี้ มีสาเหตุสำคัญจากสินค้าคงคลังหมวดรถยนต์
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.9 เนื่องจากเดือน พ.ย.48 สินค้าคงคลังหมวดรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ขณะที่ยอดขาย
รถยนต์ในเดือน ธ.ค.48 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.2 อย่างไรก็ตาม ยอดขายของภาคธุรกิจในเดือน ธ.ค.48
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 1.2 เทียบต่อเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปี และหากเทียบต่อปีเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 7.0 ขณะที่อัตราส่วนสินค้าคงคลังต่อยอดขาย ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดถึงช่วงเวลาที่สินค้าอยู่ในคลังก่อนจำหน่าย
ลดลงอยู่ที่ 1.25 เดือน ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเท่ากับเมื่อเดือน ต.ค.48 นอกจากนี้ สินค้าคงคลังประเภทขายปลีกใน
เดือน ธ.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ขณะที่ยอดขายปลีกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.3 (รอยเตอร์)
3. ธุรกิจล้มละลายของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.6 รายงาน
จากโตเกียว เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 49 Tokyo Shoko Research เปิดเผยว่า จำนวนธุรกิจล้มละลายของญี่ปุ่นใน
เดือน ม.ค. มีจำนวน 1,049 แห่ง เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.6 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน
เป็นเดือนที่ 4 ขณะที่ยอดหนี้สินรวมทั้งสิ้นลดลงต่ำสุดเป็นอันดับที่ 3 ในรอบ 10 ปี ส่งสัญญานว่าการฟื้นตัวของ
เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังดำเนินอยู่ โดยยอดหนี้สินรวมลดลงร้อยละ 2.8 จากปีก่อน อยู่ที่ระดับ 604.36 พัน ล. เยน
(5.13 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.) สาเหตุจากธุรกิจที่ล้มละลายส่วนใหญ่มีหนี้สินน้อยกว่าร้อยล้านเยน โดยธุรกิจขนาด
เล็กที่มีคนงานน้อยกว่า 5 คน ล้มละลายมากกว่าร้อยละ 63 ของยอดธุรกิจล้มละลายในเดือน ม.ค. ทั้งนี้อุปสงค์ใน
ประเทศ และการส่งออกที่แข็งแกร่งในสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีส่วนช่วยกระตุ้นให้
เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัว อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นอาจกระทบต่อธุรกิจขนาดกลาง และเล็กมากกว่าธุรกิจ
ขนาดใหญ่ ซึ่ง Tokyo Shoko Research เห็นว่าการสนับสนุนทางการเงินของรัฐจะสามารถช่วยลดกรณีล้มละลาย
ของธุรกิจลงได้ (รอยเตอร์)
4. ผลสำรวจคาดว่าอัตราว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือน ม.ค.49 จะคงที่อยู่ที่ร้อยละ 3.5 รายงาน
จากโซล เมื่อ 14 ก.พ.49 ผลสำรวจโดยรอยเตอร์คาดว่าอัตราว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือน ม.ค.49 จะคงที่
อยู่ที่ร้อยละ 3.5 เท่ากับเดือน ธ.ค.48 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราว่างงานต่ำสุดในรอบ 21 ปี โดยอัตราว่างงานเคยอยู่
ในระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ร้อยละ 4.0 ในเดือน ก.ย.48 และลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยคาดว่า
เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของความต้องการในประเทศซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของผลผลิตรวมในประเทศหรือ GDP
ทำให้มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นในภาคบริการและการค้าปลีก ในขณะที่การลงทุนของภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นก็ช่วยสร้างงาน
ในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้คาดว่าการบริโภคในประเทศในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4 ต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ
3.2 ต่อปีในปี 48 และหดตัวร้อยละ 0.5 ต่อปีในปี 47 นอกจากนี้รัฐบาลยังมีแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายอีกร้อยละ
10 เพื่อช่วยให้มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นอีก 400,000 ตำแหน่งในปีนี้ซึ่ง ธ.กลางเกาหลีใต้คาดว่าจะช่วยให้อัตราว่าง
งานเฉลี่ยในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.6 จากร้อยละ 3.8 ในปี 48 โดย สนง.สถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้มี
กำหนดจะรายงานอัตราว่างงานในเดือน ม.ค.49 อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 ก.พ.49 เวลา 7.30 น.ตาม
เวลาท้องถิ่น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 ก.พ. 49 14 ก.พ. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อมู
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.327 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.1054/39.3939 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.3 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 727.91/ 18.20 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,000/10,100 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.49 56.7 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 10 ก.พ. 49 26.44*/24.29** 26.44*/24.29** 19.69/14.59 ปตท
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 3 ก.พ. 49
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--