จากนั้นเมื่อเวลา 13.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงข้อเสนอของนักวิชาการและหลายๆฝ่าย ต้องยอมรับว่าข้อเสนอเกือบทั้งหมดมีโจทย์ใหญ่เรื่องตัวนายกฯ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและปัญหาที่ค้างคาใจประชาชนยังไม่ได้รับการแก้ไขด้วยการเลือกตั้ง แต่มีความพยายามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำให้การเลือกตั้งหรือการใช้กระบวนการของศาลไม่เป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะประชาชนจำนวนมากที่ยังเรียกร้องหรือชุมนุมอยู่ เนื่องจากปัญหายังไม่ได้หมดไป นอกจากนี้ในการปราศรัย นายกฯไม่ได้ชี้แจงประเด็นที่ถูกสงสัยจริงๆ และพยายามสร้างความรู้สึกว่าถอยหรือจะยอม แต่ไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งจะเห็นว่าบรรดานักวิชาการที่ออกมาเสนอแนะกลับถูกตอบโต้อย่างรุนแรง ทั้งที่เป็นความปราถนาดีของแต่ละฝ่ายที่พยายามเสนอทางออกให้สังคม
ต่อข้อซักถามที่ว่า นายกฯควรตอบรับข้อเสนอของนักวิชาการอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นว่า นายกฯไม่จำเป็นต้องตอบรับข้อเสนอของใคร เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายกฯ แต่พ.ต.ท.ทักษิณน่าลองพิจารณาดูว่าทำไมจึงต้องมีข้อเสนอต่างๆมากมายและในข้อเสนอเกือบทั้งหมดจึงต้องมีเงื่อนไขเกี่ยวกับตัวท่าน ซึ่งจะรับหรือไม่ก็ตามแต่อย่างน้อยควรฉุกคิดและทบทวนดูว่าจะแก้ปัญหาตรงไหน แต่ที่ผ่านมานายกฯไม่เคยถอยอะไรเลย และไม่เคยพิจารณาสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างจริงจังและใช้วิธีท้าทายในเรื่องหากได้คะแนนเลือกตั้งไม่ถึง 50% ก็จะไม่รับตำแหน่งนายกฯแล้วให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรือง เลขาธิการพรรคไทยรักไทยหรือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยแทน ซึ่งตนอยากย้อนถามว่าแล้วปัญหาแก้ได้หรือไม่ โดยพยายามให้คนคิดต่อว่าแล้วใครจะเป็นนายกฯแทน แล้วคนเหล่านี้นายกฯสั่งได้หรือไม่ นอกจากนี้การปฏิรูปการเมืองก็ไม่มีความชัดเจน
“พรรคไทยรักไทยในสภาชุดที่แล้ว ลำพังเพียงพรรคเดียวมี 377 เสียง สามารถเขียนรัฐธรรมนูญได้ตามใจชอบ แต่กลับไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วมายุบสภา ยังจะมาบอกว่าจะกลับไปแก้รัฐธรรมนูญทั้งที่อำนาจอำนาจเต็มอยู่แล้วก่อนประกาศยุบสภา ดังนั้น นายกฯจึงไม่ได้ถอย แค่พูดให้ประชาชนเกิดความเข้าใจว่าถอย ซึ่งเป็นแค่การพูดบนเวทีเท่านั้น ไม่มีการปฏิบัติจริง โดยเบี่ยงเบนไปจากประเด็นหลักที่ประเทศชาติต้องหาคำตอบในวันนี้เกี่ยวกับตัวนายกฯทั้งหมด และในที่สุดที่บอกว่าจะเปิดใจแต่ไม่มีอะไรเลย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีหลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งโดยเฉพาะการกระทำผิดกฏหมายและคำวินิจฉัยของกกต. ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปทางการเมือง เพราะว่าแม้มีพรรคการเมืองใหญ่ลงสมัครพรรคเดียว แต่การกระทำที่ท้าทายกฏหมายเลือกตั้งยังมีตลอด โดยคำปราศรัยของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมามีหลายช่วง รวมทั้งวิธีการโฆษณาหรือจัดการปราศรัยมีเรื่องการใช้อำนาจรัฐเข้าไปคาบเกี่ยวซึ่งมีเรื่องบอกว่าพรรคไทยรักไทยไม่ได้เกรงกลัวต่อกฏหมายเลือกตั้งด้วย
ส่วนกรณีที่พรรคไทยรักไทยระบุว่านายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาของนายอภิสิทธิ์ ได้นำเสนอทางออกเพิ่มเสริมความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายค้านนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อเสนอของนายสุรพล ไม่ได้มุ่งเน้นเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายใด แต่เป็นความเห็นว่าน่าจะมีทางออก ซึ่งเป็นความปราถนาดี แต่เป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จะรับไว้พิจารณา ข้อเสนอดังกล่าวมีหลายขั้นตอนเพียงแต่บังเอิญขั้นตอนแรกอยู่ที่นายกฯ ทั้งนี้นายสุรพลเป็นคนที่ใส่ใจปัญหาของบ้านเมืองและให้ข้อคิดทางกฏหมาย ไม่ใช่เฉพาะตนหรือพรรคใด พรรคหนึ่ง เพราะในสมัยที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายสุรพลก็ยังเคยมาเป็นกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคความหวังใหม่และพรรคชาติพัฒนา และแสดงความคิดเห็นอย่างนี้มาโดยตลอด นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งว่าพรรคไทยรักไทยจะไม่ฟังเสียงใครทั้งสิ้นและพยายามหาวิธีการลดความน่าเชื่อถือ ป้ายสี แบ่งข้าง ขีดเส้นตลอดเวลา
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยระบุว่าหากการชุมนุมเกิดความรุนแรงขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องมีส่วนรับผิดชอบนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าฝ่ายค้านจะลงสมัครเลือกตั้งหรือไม่ เพราะหากฝ่ายค้านลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แต่การชุมนุมของประชาชนที่ท้องสนามหลวงก็ยังมีอยู่ เพราะเป็นการชุมนุมกันในเรื่องความชอบธรรมของตัวนายกฯ อย่างไรก็ตามจุดยืนของฝ่ายค้านก็เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดของสังคมโดยไม่ยอมจำนนต่อการเลือกตั้งมาเป็นสาระ และเอาภาษีของประชาชนมาฟอกตัวหนีการตรวจสอบทุจริต ทั้งนี้เวลานี้เรื่องประเด็นการเลือกตั้งเป็นประเด็นรอง เหตุการณ์ต่างๆกำลังพิสูจน์เรื่องที่พรรคพูดว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของปัญหา หรือแม้แต่ประเด็นที่ฝ่ายค้านจะลงรับสมัครเลือกตั้งหรือไม่ ไม่ใช่สาระของปัญหา แต่ปัญหาที่รอคำตอบ และการแก้ไขอยู่ที่เรื่องของตัวนายกฯ
เมื่อมีคำถามว่า จะหาทางออกอย่างไรในเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมลาออก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องการลาออกหรือไม่ลาออก เพราะการยอมรับปัญหายังไม่เกิด เนื่องจากปัญหาก็คือตัวนายกฯเองยังไม่ทราบว่าจริยธรรมคืออะไร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 มี.ค. 2549--จบ--
ต่อข้อซักถามที่ว่า นายกฯควรตอบรับข้อเสนอของนักวิชาการอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นว่า นายกฯไม่จำเป็นต้องตอบรับข้อเสนอของใคร เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายกฯ แต่พ.ต.ท.ทักษิณน่าลองพิจารณาดูว่าทำไมจึงต้องมีข้อเสนอต่างๆมากมายและในข้อเสนอเกือบทั้งหมดจึงต้องมีเงื่อนไขเกี่ยวกับตัวท่าน ซึ่งจะรับหรือไม่ก็ตามแต่อย่างน้อยควรฉุกคิดและทบทวนดูว่าจะแก้ปัญหาตรงไหน แต่ที่ผ่านมานายกฯไม่เคยถอยอะไรเลย และไม่เคยพิจารณาสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างจริงจังและใช้วิธีท้าทายในเรื่องหากได้คะแนนเลือกตั้งไม่ถึง 50% ก็จะไม่รับตำแหน่งนายกฯแล้วให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรือง เลขาธิการพรรคไทยรักไทยหรือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยแทน ซึ่งตนอยากย้อนถามว่าแล้วปัญหาแก้ได้หรือไม่ โดยพยายามให้คนคิดต่อว่าแล้วใครจะเป็นนายกฯแทน แล้วคนเหล่านี้นายกฯสั่งได้หรือไม่ นอกจากนี้การปฏิรูปการเมืองก็ไม่มีความชัดเจน
“พรรคไทยรักไทยในสภาชุดที่แล้ว ลำพังเพียงพรรคเดียวมี 377 เสียง สามารถเขียนรัฐธรรมนูญได้ตามใจชอบ แต่กลับไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วมายุบสภา ยังจะมาบอกว่าจะกลับไปแก้รัฐธรรมนูญทั้งที่อำนาจอำนาจเต็มอยู่แล้วก่อนประกาศยุบสภา ดังนั้น นายกฯจึงไม่ได้ถอย แค่พูดให้ประชาชนเกิดความเข้าใจว่าถอย ซึ่งเป็นแค่การพูดบนเวทีเท่านั้น ไม่มีการปฏิบัติจริง โดยเบี่ยงเบนไปจากประเด็นหลักที่ประเทศชาติต้องหาคำตอบในวันนี้เกี่ยวกับตัวนายกฯทั้งหมด และในที่สุดที่บอกว่าจะเปิดใจแต่ไม่มีอะไรเลย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีหลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งโดยเฉพาะการกระทำผิดกฏหมายและคำวินิจฉัยของกกต. ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปทางการเมือง เพราะว่าแม้มีพรรคการเมืองใหญ่ลงสมัครพรรคเดียว แต่การกระทำที่ท้าทายกฏหมายเลือกตั้งยังมีตลอด โดยคำปราศรัยของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมามีหลายช่วง รวมทั้งวิธีการโฆษณาหรือจัดการปราศรัยมีเรื่องการใช้อำนาจรัฐเข้าไปคาบเกี่ยวซึ่งมีเรื่องบอกว่าพรรคไทยรักไทยไม่ได้เกรงกลัวต่อกฏหมายเลือกตั้งด้วย
ส่วนกรณีที่พรรคไทยรักไทยระบุว่านายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาของนายอภิสิทธิ์ ได้นำเสนอทางออกเพิ่มเสริมความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายค้านนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อเสนอของนายสุรพล ไม่ได้มุ่งเน้นเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายใด แต่เป็นความเห็นว่าน่าจะมีทางออก ซึ่งเป็นความปราถนาดี แต่เป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จะรับไว้พิจารณา ข้อเสนอดังกล่าวมีหลายขั้นตอนเพียงแต่บังเอิญขั้นตอนแรกอยู่ที่นายกฯ ทั้งนี้นายสุรพลเป็นคนที่ใส่ใจปัญหาของบ้านเมืองและให้ข้อคิดทางกฏหมาย ไม่ใช่เฉพาะตนหรือพรรคใด พรรคหนึ่ง เพราะในสมัยที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายสุรพลก็ยังเคยมาเป็นกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคความหวังใหม่และพรรคชาติพัฒนา และแสดงความคิดเห็นอย่างนี้มาโดยตลอด นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งว่าพรรคไทยรักไทยจะไม่ฟังเสียงใครทั้งสิ้นและพยายามหาวิธีการลดความน่าเชื่อถือ ป้ายสี แบ่งข้าง ขีดเส้นตลอดเวลา
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยระบุว่าหากการชุมนุมเกิดความรุนแรงขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องมีส่วนรับผิดชอบนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าฝ่ายค้านจะลงสมัครเลือกตั้งหรือไม่ เพราะหากฝ่ายค้านลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แต่การชุมนุมของประชาชนที่ท้องสนามหลวงก็ยังมีอยู่ เพราะเป็นการชุมนุมกันในเรื่องความชอบธรรมของตัวนายกฯ อย่างไรก็ตามจุดยืนของฝ่ายค้านก็เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดของสังคมโดยไม่ยอมจำนนต่อการเลือกตั้งมาเป็นสาระ และเอาภาษีของประชาชนมาฟอกตัวหนีการตรวจสอบทุจริต ทั้งนี้เวลานี้เรื่องประเด็นการเลือกตั้งเป็นประเด็นรอง เหตุการณ์ต่างๆกำลังพิสูจน์เรื่องที่พรรคพูดว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของปัญหา หรือแม้แต่ประเด็นที่ฝ่ายค้านจะลงรับสมัครเลือกตั้งหรือไม่ ไม่ใช่สาระของปัญหา แต่ปัญหาที่รอคำตอบ และการแก้ไขอยู่ที่เรื่องของตัวนายกฯ
เมื่อมีคำถามว่า จะหาทางออกอย่างไรในเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมลาออก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องการลาออกหรือไม่ลาออก เพราะการยอมรับปัญหายังไม่เกิด เนื่องจากปัญหาก็คือตัวนายกฯเองยังไม่ทราบว่าจริยธรรมคืออะไร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 มี.ค. 2549--จบ--