รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ยกประเด็นการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศไทยที่ยังไม่คืบหน้าขึ้นมาพิจารณา ซึ่งสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ได้แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลไทยยังไม่สามารถสรุปผลการเจรจาให้เป็นรูปธรรมภายในปีนี้ และที่ประชุมได้เสนอให้มีการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) แก่ประเทศไทยทุกรายการพร้อมทั้งเสนอให้สหรัฐฯ หันไปเพิ่มสิทธิจีเอสพีแก่ประเทศกำลังพัฒนาจริงๆ เช่น เวียดนามหรือกลุ่มประเทศในแอฟริกา ทั้งนี้ในเบื้องต้นสหรัฐฯ จะทบทวนการให้สิทธิจีเอสพีแก่ไทยตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 โดยสินค้าที่จะถูกตัดจีเอสพี ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ที่ทำด้วยพลาสติกเนื่องจากในปี 2548 มีมูลค่าการนำเข้าสหรัฐฯ เกินกว่าเพดานที่สหรัฐฯ กำหนด
อธิบดีกรมเจรจาการค้าต่างประเทศ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ ให้ความเห็นว่า เนื่องจากการยุบสภาของไทยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้การเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทย — สหรัฐฯ ต้องชะงักลง อย่างไรก็ตามแม้การเจรจาดังกล่าวยังไม่เดินหน้า แต่ไทยและสหรัฐฯ ก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีด้านอื่นๆ ต่อกันอยู่ ประกอบกับเรื่องการให้สิทธิจีเอสพีแก่สินค้าไทยเป็นคนละประเด็นกับการเจรจาเอฟทีเอ เพราะหลักการให้หรือตัดสิทธิพิเศษที่สหรัฐฯ ให้กับประเทศต่างๆ นั้นจะต้องพิจารณาอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน ในขณะที่การเจรจาเอฟทีเอถือเป็นข้อตกลงที่ทั้งสองประเทศจะเจรจาร่วมกัน เพื่อให้ได้สิทธิที่มากกว่า
ประเด็นวิเคราะห์
ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยสินค้าส่งออก 5 อันดับแรกที่ใช้สิทธิจีเอสพีสหรัฐฯ สูงในปีที่ผ่านมา ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับที่ทำด้วยโลหะมีค่า เครื่องรับโทรทัศน์สี บรรจุภัณฑ์ทำด้วยพลาสติก ยางเรเดียล และเครื่องรูปพรรณอื่นๆ ทำด้วยโลหะเงินซึ่งหากสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษจีเอสพี จะส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออกของประเทศไทยอย่างมากด้วยเหตุนี้ไทยจึงต้องเร่งหามาตรการเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว และจะต้องมุ่งเน้นการขยายตลาดเพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากตลาดสหรัฐฯ
ที่มา: http://www.depthai.go.th