วันนี้ (24 ธ.ค.)นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่า พรรครู้สึกเป็นกังวลว่าการเลือก ส.ส.ร.จะเป็นที่ยอมรับของประชาชนหรือไม่ เพราะถ้าไม่เป็นที่ยอมรับแล้ว จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้นมา ดังนั้น คมช.จะต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในองค์ประกอบของ ส.ส.ร. โดยวิธีเลือกต้องเฉลี่ยให้ครบทั้ง 4 กลุ่ม คือตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเป็นองค์ประกอบที่น่าเชื่อถือได้ และสิ่งที่เป็นห่วงอีกเรื่อง คือการสืบทอดอำนาจของ คมช. ซึ่งจะต้องไม่ปรากฏระบบการสืบทอดอำนาจ และตนเห็นว่าการกำหนดมาเป็นระบบจะเป็นอันตรายยิ่งกว่า
“เวลาพูดถึงเรื่องการสืบทอดอำนาจ เรามักจะนึกถึงตัวบุคคล แต่ผมคิดว่าตรงนี้ยังน้อยกว่าที่จะมีกลไกไปสร้างระบบสืบทอดอำนาจ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก ดังนั้น เราจะจับตาดูต่อไป”นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในการร่างรัฐธรรมนูญยังมีกระบวนการต้องทำประชามติ ภายหลังจากร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นชัดเจนว่า รูปแบบการขอประชามติจะเป็นอย่างไร จะทำเป็นรายมาตรา หรือทำทั้งฉบับ ควรจะต้องมีความชัดเจนเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เพราะการขอประชามติเป็นเรื่องใหม่ หากสามารถทำให้คนเข้าใจตั้งแต่ต้นได้ว่าจะดำเนินการอย่างไร จะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้
นายองอาจ กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่พอใจที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ไปอวยพรปีใหม่ด้วยตัวเอง จึงสั่งตรวจสอบโบกี้รถไฟ 4 ตู้ ในบ้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่เขาใหญ่ ว่า เพิ่งเห็นข่าวเท่านั้น และถ้าหากเป็นจริง ก็อยากให้ พล.อ.ชวลิต ทบทวนว่า หากจะสอบความไม่ชอบมาพากลของใครก็ตาม ขอให้ทำโดยมองเห็นประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่า ที่จะมองประโยชน์ของตนเอง ถ้าหาก พล.อ.ชวลิต จะสอบเรื่องนี้จริง ถือว่าเป็นการดำเนินการเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง มากกว่าประเทศชาติบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม ถ้าเห็นว่าการได้โบกี้รถไฟของนายกรัฐมนตรี ไม่ชอบ ก็เป็นสิทธิของ พล.อ.ชวลิตจะดำเนินการ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะตามเรื่องนี้ต่อหรือไม่นั้น คงต้องดูว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าคงตรวจสอบได้ไม่ยาก
โฆษกพรรคพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สนธิ ได้ไปพูดที่จังหวัดเชียงใหม่ เสนอให้มีการต่ออายุกำนัน ผู้ใหญ่บ้านออกไปจาก 5 ปี เป็น 10 ปี ว่าตนไม่ทราบว่า พล.อ.สนธิ มีจุดประสงค์อะไร แต่ตนเห็นว่าไม่ควรเอากำหนดระยะเวลาในการอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาเป็นเรื่องสำคัญที่จะพิจารณาเบื้องต้น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ขณะนี้มาจากการเลือกตั้ง คิดว่าผู้ที่มาจากการเลือกตั้งถ้าจะอยู่ในอำนาจถึง 10 ปี หน้าจะเป็นเวลาที่นานเกินไประยะเวลาปัจจุบัน 5 ปีหน้าจะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมอยู่แล้ว และอยากให้คำนึงถึงการทำหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านมากกว่า ว่าจะหาทางช่วยกันทำอย่างไรให้กำนันผู้ใหญ่บ้านได้สามารถทำหน้าที่โดยไม่ขัดแย้งกับองค์กรส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทย หรือทำให้กำนันผู้ใหญ่บ้านสามารถทำงานร่วมกับองค์กรปกครองของท้องถิ่นในการทำเพื่อประโยชน์ของพื้นที่ของท้องถิ่นของตำบลของหมู่บ้านได้ดีกว่าที่ผ่านมา คิดว่าตรงนั้นหน้าจะส่วนสำคัญมากกว่าที่จะไปคำนึงถึงระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง คิดว่าเท่าที่ตรวจสอบดูก็ไม่มีตำแหน่งอะไรที่มาจากการเลือกตั้งและก็อยู่ในตำแหน่งกันนานถึง 10 ปีในลักษณะนั้นซึ่งคิดว่าเป็นการอยู่ในระยะเวลาที่นานเกินไปและคงไม่หน้าจะเป็นเนื้อหาสาระ
“ เท่าที่ติดตามในสิ่งที่ท่านพูดถึงในเรื่องนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลชัดเจน อยากให้รัฐบาลไม่มองข้ามการทำหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน แทนที่จะไปดูว่าควรจะอยู่ในตำแหน่งนานกว่า 5 ปี ออกไปถึง 10 ปี มีการวิพากวิจารณ์กันว่าการที่ พลเอกสนธิเสนอต่ออายุกำนันผู้ใหญ่บ้านออกไปจาก 5 ปี เป็น 10 ปีนั้น เพื่อที่จะเอาใจกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อที่จะดึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาเป็นฐานมวลชน มองว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นเป็นฐานของฝ่ายการเมือง อยากจะเรียน พลเอกสนธิในฐานะประธาน คมช. ว่าการพยายามหาเสียงสนับสนุนการทำงาน ควรจะเป็นเสียงสนับสนุนที่เกิดจากในการทำงานของ คมช. หรือรัฐบาลมากกว่าจะสร้างเสียงสนับสนุนเทียมขึ้นมาในลักษณะนี้ ซึ่งคิดว่าจะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ในทิศทางที่เราอยากจะเห็นประเทศชาติเดินไปในทิศทางการเป็นประชาธิปไตยนั้น เรื่องของการกระจ่ายอำนาจไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ยังเป็นหัวใจสำคัญของระบบประชาธิปไตย” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ธ.ค. 2549--จบ--
“เวลาพูดถึงเรื่องการสืบทอดอำนาจ เรามักจะนึกถึงตัวบุคคล แต่ผมคิดว่าตรงนี้ยังน้อยกว่าที่จะมีกลไกไปสร้างระบบสืบทอดอำนาจ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก ดังนั้น เราจะจับตาดูต่อไป”นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในการร่างรัฐธรรมนูญยังมีกระบวนการต้องทำประชามติ ภายหลังจากร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นชัดเจนว่า รูปแบบการขอประชามติจะเป็นอย่างไร จะทำเป็นรายมาตรา หรือทำทั้งฉบับ ควรจะต้องมีความชัดเจนเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เพราะการขอประชามติเป็นเรื่องใหม่ หากสามารถทำให้คนเข้าใจตั้งแต่ต้นได้ว่าจะดำเนินการอย่างไร จะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้
นายองอาจ กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่พอใจที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ไปอวยพรปีใหม่ด้วยตัวเอง จึงสั่งตรวจสอบโบกี้รถไฟ 4 ตู้ ในบ้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่เขาใหญ่ ว่า เพิ่งเห็นข่าวเท่านั้น และถ้าหากเป็นจริง ก็อยากให้ พล.อ.ชวลิต ทบทวนว่า หากจะสอบความไม่ชอบมาพากลของใครก็ตาม ขอให้ทำโดยมองเห็นประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่า ที่จะมองประโยชน์ของตนเอง ถ้าหาก พล.อ.ชวลิต จะสอบเรื่องนี้จริง ถือว่าเป็นการดำเนินการเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง มากกว่าประเทศชาติบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม ถ้าเห็นว่าการได้โบกี้รถไฟของนายกรัฐมนตรี ไม่ชอบ ก็เป็นสิทธิของ พล.อ.ชวลิตจะดำเนินการ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะตามเรื่องนี้ต่อหรือไม่นั้น คงต้องดูว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าคงตรวจสอบได้ไม่ยาก
โฆษกพรรคพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สนธิ ได้ไปพูดที่จังหวัดเชียงใหม่ เสนอให้มีการต่ออายุกำนัน ผู้ใหญ่บ้านออกไปจาก 5 ปี เป็น 10 ปี ว่าตนไม่ทราบว่า พล.อ.สนธิ มีจุดประสงค์อะไร แต่ตนเห็นว่าไม่ควรเอากำหนดระยะเวลาในการอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาเป็นเรื่องสำคัญที่จะพิจารณาเบื้องต้น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ขณะนี้มาจากการเลือกตั้ง คิดว่าผู้ที่มาจากการเลือกตั้งถ้าจะอยู่ในอำนาจถึง 10 ปี หน้าจะเป็นเวลาที่นานเกินไประยะเวลาปัจจุบัน 5 ปีหน้าจะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมอยู่แล้ว และอยากให้คำนึงถึงการทำหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านมากกว่า ว่าจะหาทางช่วยกันทำอย่างไรให้กำนันผู้ใหญ่บ้านได้สามารถทำหน้าที่โดยไม่ขัดแย้งกับองค์กรส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทย หรือทำให้กำนันผู้ใหญ่บ้านสามารถทำงานร่วมกับองค์กรปกครองของท้องถิ่นในการทำเพื่อประโยชน์ของพื้นที่ของท้องถิ่นของตำบลของหมู่บ้านได้ดีกว่าที่ผ่านมา คิดว่าตรงนั้นหน้าจะส่วนสำคัญมากกว่าที่จะไปคำนึงถึงระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง คิดว่าเท่าที่ตรวจสอบดูก็ไม่มีตำแหน่งอะไรที่มาจากการเลือกตั้งและก็อยู่ในตำแหน่งกันนานถึง 10 ปีในลักษณะนั้นซึ่งคิดว่าเป็นการอยู่ในระยะเวลาที่นานเกินไปและคงไม่หน้าจะเป็นเนื้อหาสาระ
“ เท่าที่ติดตามในสิ่งที่ท่านพูดถึงในเรื่องนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลชัดเจน อยากให้รัฐบาลไม่มองข้ามการทำหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน แทนที่จะไปดูว่าควรจะอยู่ในตำแหน่งนานกว่า 5 ปี ออกไปถึง 10 ปี มีการวิพากวิจารณ์กันว่าการที่ พลเอกสนธิเสนอต่ออายุกำนันผู้ใหญ่บ้านออกไปจาก 5 ปี เป็น 10 ปีนั้น เพื่อที่จะเอาใจกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อที่จะดึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาเป็นฐานมวลชน มองว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นเป็นฐานของฝ่ายการเมือง อยากจะเรียน พลเอกสนธิในฐานะประธาน คมช. ว่าการพยายามหาเสียงสนับสนุนการทำงาน ควรจะเป็นเสียงสนับสนุนที่เกิดจากในการทำงานของ คมช. หรือรัฐบาลมากกว่าจะสร้างเสียงสนับสนุนเทียมขึ้นมาในลักษณะนี้ ซึ่งคิดว่าจะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ในทิศทางที่เราอยากจะเห็นประเทศชาติเดินไปในทิศทางการเป็นประชาธิปไตยนั้น เรื่องของการกระจ่ายอำนาจไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ยังเป็นหัวใจสำคัญของระบบประชาธิปไตย” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ธ.ค. 2549--จบ--