วันนี้ (1 ต.ค.49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)ได้ประกาศร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ไปแล้วในวันนี้ว่า ประการแรก น่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีจาก คปค. ที่ทำตามคำมั่นสัญญาที่ไว้ว่า ในระยะเวลา 2 สัปดาห์จะให้มีรัฐธรรมนูญชั่วคราวและมีนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องยอมรับว่าในอดีตคณะที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารหลายคณะไม่ได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่พูดไว้กับประชาชนจนทำให้ประชาชนไม่พอใจ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า สำหรับเนื้อหาสาระในรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น มีหลายส่วนหลายตอนที่ต้องดูรายละเอียดเพื่อจะดูว่า การดำเนินการเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร แต่โดยหลักการทั่วไปต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราวถือเป็นหลักในการบริหารประเทศในช่วง 1 ปีข้างหน้าก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับจริง
“ฉะนั้น ช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สิ่งที่ รธน.ฉบับนี้กำหนด คือ คนที่เข้ามาบริหารประเทศดำเนินการให้เกิดความปกติสุขในบ้านเมือง” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า ประการที่ 2 รธน.ที่ใช้ชั่วคราวควรจะมีส่วนในการทำให้ปัญหาต่างๆ ของประเทศคลี่คลายไป และที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสิทธิเสรีภาพใน รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พยายามที่จะคงเรื่องสิทธิเสรีภาพต่างจาก รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ในอดีตของคณะปฏิวัติรัฐประหาร แต่ก็ต้องไปดูตามข้อเท็จจริงว่าสามารถปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหน
“ผมคิดว่า ต้องไม่มีความพยายามที่จะใช้อำนาจใดที่ รัฐธรรมนูญให้ไว้เกินขอบเขต อำนาจที่จะมาใช้ต้องเป็นอำนาจที่ใช้ถูกต้องชอบธรรมมากกว่าที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขต”
ต่อข้อถามว่า กรณีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ทุกฝ่ายคงทราบดีว่าเป็นใคร โดยคิดว่าในสถานการณ์ปัจจุบันก็ต้องถือว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้ที่มีความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามารถ ประสบการณ์ที่มีค่อนข้างหลากหลาย และหัวใจสำคัญคือเป็นผู้มีคุณธรรม และมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์
“ต้องยอมรับว่า พล.อ.สุรยุทธ์เป็นทหารของกองทัพที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารประชาธิปไตย คุณสมบัติของ พล.สุรยุทธ์ในอดีตน่าจะทำให้เกิดความสบายใจได้ในระดับหนึ่งว่า จะสามารถนำประเทศชาติบ้านเมืองได้ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี อย่างที่รับปากไว้” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ดี ก็ควรดูกันต่อไปว่า เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกฯ แล้วจะยังยึดแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรมได้ต่อไปหรือไม่อย่างไร ตนถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดีจาก คปค.จัดให้มีนายกฯ ตามที่รับปากไว้ ที่สำคัญคุณสมบัติของ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำให้เข้ารับตำแหน่งนายกฯ คือ การได้รับความไว้พระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีพอที่จะการันตีได้พอสมควรว่า จะเป็นบุคคลที่ไม่ทำให้ประชาชนไม่รู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องของคุณสมบัติ
ส่วนกรณีที่ภารกิจของ คปค.หลังจากที่มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเฉพาะกาล 1 ปี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า คปค.ยังต้องมาภาระหน้าที่ร่วมกับคณะรัฐบาลชุดใหม่ 3 — 4 เรื่องสำคัญดังนี้
1.การสร้างความสมานฉันท์และผลักดันสันติให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
2.การเข้าไปจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาซึ่งเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมืองไทย และหลายๆปัญหาก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ คปค.ต้องเข้ามายึดอำนาจเพื่อที่จะเข้ามาจัดการปัญหาต่างๆ
3.จะต้องมีการบริหารเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าไปได้ โดยไม่มีผลกระทบใดๆเกิดขึ้น อย่างเรื่องการส่งออกก็ควรจะเดินหน้าต่อไป การท่องเที่ยวถือว่าเป็นปัจจัยในการดึงรายได้ให้กับประเทศควรเดินหน้าต่อไป รววมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
และ 4. การปฏิรูปการเมืองจาก รธน.ชั่วคราวทำให้เห็นขั้นตอนได้มาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งมีภาระหน้าที่ทำคลอด รธน.ฉบับใหม่ การปฏิรูปการเมือง รวมทั้งเนื้อหาสาระต่างๆรวมทั้งการคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องทำให้เกิดขึ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์มีความเห็นว่า ช่วง 1 ปีนับจากนี้ไป นายกฯและ ครม.ชุดใหม่จะมีส่วนสำคัญในการสร้างพื้นฐานเพื่อที่จะป้องกันปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 4 -5 ปีที่ผ่านมาไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก นอกจากจะแก้ปัญหา 4 ข้อแล้วเพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
“ต้องยอมรับการยึดอำนาจการรัฐประหารทุกครั้งต้องถือว่าเป็นต้นทุนที่สูงของสังคม ในเมื่อต้องใช้ต้นทุนที่สูง สังคมไทยซึ่งประกอบด้วยประเทศชาติบ้านเมืองประชาชนคนไทย ผมคิดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงต้องคุ้มค่ากับต้นทุนที่เสียไปอย่างมากในเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้รับผลที่คุ้มค่าจากต้นทุนที่สังคมต้องสูญเสียไปในครั้งนี้ ผมคิดว่า นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาต่างๆแล้วอาจจะเป็นการซ้ำเติมทำให้ปัญหาขึ้นมาอีก และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากลายคนก็เจ็บปวดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น คนที่มาทำการรัฐประหารก็เจ็บปวด รัฐบาลชุดที่แล้วก็เจ็บปวดเหมือนกัน ผมในฐานะที่เป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยก็รู้สึกเจ็บปวด” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า แต่คงไม่มีใครอยากเจ็บปวดตลอดไป จึงอยากจะให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบแปลงความเจ็บปวดนี้ให้เป็นพลัง สร้างสรรค์สังคมไทยให้เดินหน้าน่าจะดีกว่า โดยคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง
สำหรับข้อถามที่ว่า หลังจากที่ คปค.ได้ประกาศฉบับที่ 27 ซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์โดยตรงซึ่งเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมือง 5 พรรค โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า พรรคไม่ได้หวั่นไหวต่อประกาศของ คปค.ที่เพิ่มขึ้นว่าให้เพิกถอนของกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จะถูกยุบพรรค ทั้งนี้เพราะพรรคเชื่อมั่นว่า พรรคไม่ได้กระทำความผิดใดๆถึงขั้นยุบพรรคการเมืองได้
“ยิ่งถ้าย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจน พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยไปร้องเรียนให้ยุบพรรคการเมืองใด แต่การยื่นเรื่องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการกระทำเพื่อแก้เกี้ยวของพรรคที่ต้องการให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนปีนี้เป็นการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม เมื่อพบว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม พรรคฯ ก็แจ้งไปที่ กกต.ทราบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายในขณะนั้น หลังจากนั้นก็มีผู้ร้องเรียนให้มายุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยข้อหาต่างๆมากมาย ซึ่งหลายๆข้อหาก็ถูกตัดออกไป เหลือไม่กี่ข้อ ก่อนที่จะมีการยุบศาลรัฐธรรมนูญไป” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอยืนยันว่าไม่หวั่นไหว เพราะพรรคฯ เชื่อมั่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ผิดอะไรถึงขั้นยุบพรรค และพร้อมที่จะไปชี้แจงเหตุผล ต่อใครก็ตาม หรือองค์กรใดที่จะทำหน้าที่พิจารณาในเรื่องการยุบพรรค
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ต.ค. 2549--จบ--
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า สำหรับเนื้อหาสาระในรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น มีหลายส่วนหลายตอนที่ต้องดูรายละเอียดเพื่อจะดูว่า การดำเนินการเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร แต่โดยหลักการทั่วไปต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราวถือเป็นหลักในการบริหารประเทศในช่วง 1 ปีข้างหน้าก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับจริง
“ฉะนั้น ช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สิ่งที่ รธน.ฉบับนี้กำหนด คือ คนที่เข้ามาบริหารประเทศดำเนินการให้เกิดความปกติสุขในบ้านเมือง” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า ประการที่ 2 รธน.ที่ใช้ชั่วคราวควรจะมีส่วนในการทำให้ปัญหาต่างๆ ของประเทศคลี่คลายไป และที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสิทธิเสรีภาพใน รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พยายามที่จะคงเรื่องสิทธิเสรีภาพต่างจาก รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ในอดีตของคณะปฏิวัติรัฐประหาร แต่ก็ต้องไปดูตามข้อเท็จจริงว่าสามารถปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหน
“ผมคิดว่า ต้องไม่มีความพยายามที่จะใช้อำนาจใดที่ รัฐธรรมนูญให้ไว้เกินขอบเขต อำนาจที่จะมาใช้ต้องเป็นอำนาจที่ใช้ถูกต้องชอบธรรมมากกว่าที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขต”
ต่อข้อถามว่า กรณีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ทุกฝ่ายคงทราบดีว่าเป็นใคร โดยคิดว่าในสถานการณ์ปัจจุบันก็ต้องถือว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้ที่มีความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามารถ ประสบการณ์ที่มีค่อนข้างหลากหลาย และหัวใจสำคัญคือเป็นผู้มีคุณธรรม และมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์
“ต้องยอมรับว่า พล.อ.สุรยุทธ์เป็นทหารของกองทัพที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารประชาธิปไตย คุณสมบัติของ พล.สุรยุทธ์ในอดีตน่าจะทำให้เกิดความสบายใจได้ในระดับหนึ่งว่า จะสามารถนำประเทศชาติบ้านเมืองได้ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี อย่างที่รับปากไว้” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ดี ก็ควรดูกันต่อไปว่า เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกฯ แล้วจะยังยึดแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรมได้ต่อไปหรือไม่อย่างไร ตนถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดีจาก คปค.จัดให้มีนายกฯ ตามที่รับปากไว้ ที่สำคัญคุณสมบัติของ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำให้เข้ารับตำแหน่งนายกฯ คือ การได้รับความไว้พระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีพอที่จะการันตีได้พอสมควรว่า จะเป็นบุคคลที่ไม่ทำให้ประชาชนไม่รู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องของคุณสมบัติ
ส่วนกรณีที่ภารกิจของ คปค.หลังจากที่มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเฉพาะกาล 1 ปี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า คปค.ยังต้องมาภาระหน้าที่ร่วมกับคณะรัฐบาลชุดใหม่ 3 — 4 เรื่องสำคัญดังนี้
1.การสร้างความสมานฉันท์และผลักดันสันติให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
2.การเข้าไปจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาซึ่งเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมืองไทย และหลายๆปัญหาก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ คปค.ต้องเข้ามายึดอำนาจเพื่อที่จะเข้ามาจัดการปัญหาต่างๆ
3.จะต้องมีการบริหารเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าไปได้ โดยไม่มีผลกระทบใดๆเกิดขึ้น อย่างเรื่องการส่งออกก็ควรจะเดินหน้าต่อไป การท่องเที่ยวถือว่าเป็นปัจจัยในการดึงรายได้ให้กับประเทศควรเดินหน้าต่อไป รววมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
และ 4. การปฏิรูปการเมืองจาก รธน.ชั่วคราวทำให้เห็นขั้นตอนได้มาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งมีภาระหน้าที่ทำคลอด รธน.ฉบับใหม่ การปฏิรูปการเมือง รวมทั้งเนื้อหาสาระต่างๆรวมทั้งการคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องทำให้เกิดขึ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์มีความเห็นว่า ช่วง 1 ปีนับจากนี้ไป นายกฯและ ครม.ชุดใหม่จะมีส่วนสำคัญในการสร้างพื้นฐานเพื่อที่จะป้องกันปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 4 -5 ปีที่ผ่านมาไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก นอกจากจะแก้ปัญหา 4 ข้อแล้วเพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
“ต้องยอมรับการยึดอำนาจการรัฐประหารทุกครั้งต้องถือว่าเป็นต้นทุนที่สูงของสังคม ในเมื่อต้องใช้ต้นทุนที่สูง สังคมไทยซึ่งประกอบด้วยประเทศชาติบ้านเมืองประชาชนคนไทย ผมคิดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงต้องคุ้มค่ากับต้นทุนที่เสียไปอย่างมากในเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้รับผลที่คุ้มค่าจากต้นทุนที่สังคมต้องสูญเสียไปในครั้งนี้ ผมคิดว่า นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาต่างๆแล้วอาจจะเป็นการซ้ำเติมทำให้ปัญหาขึ้นมาอีก และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากลายคนก็เจ็บปวดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น คนที่มาทำการรัฐประหารก็เจ็บปวด รัฐบาลชุดที่แล้วก็เจ็บปวดเหมือนกัน ผมในฐานะที่เป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยก็รู้สึกเจ็บปวด” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า แต่คงไม่มีใครอยากเจ็บปวดตลอดไป จึงอยากจะให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบแปลงความเจ็บปวดนี้ให้เป็นพลัง สร้างสรรค์สังคมไทยให้เดินหน้าน่าจะดีกว่า โดยคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง
สำหรับข้อถามที่ว่า หลังจากที่ คปค.ได้ประกาศฉบับที่ 27 ซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์โดยตรงซึ่งเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมือง 5 พรรค โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า พรรคไม่ได้หวั่นไหวต่อประกาศของ คปค.ที่เพิ่มขึ้นว่าให้เพิกถอนของกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จะถูกยุบพรรค ทั้งนี้เพราะพรรคเชื่อมั่นว่า พรรคไม่ได้กระทำความผิดใดๆถึงขั้นยุบพรรคการเมืองได้
“ยิ่งถ้าย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจน พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยไปร้องเรียนให้ยุบพรรคการเมืองใด แต่การยื่นเรื่องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการกระทำเพื่อแก้เกี้ยวของพรรคที่ต้องการให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนปีนี้เป็นการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม เมื่อพบว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม พรรคฯ ก็แจ้งไปที่ กกต.ทราบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายในขณะนั้น หลังจากนั้นก็มีผู้ร้องเรียนให้มายุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยข้อหาต่างๆมากมาย ซึ่งหลายๆข้อหาก็ถูกตัดออกไป เหลือไม่กี่ข้อ ก่อนที่จะมีการยุบศาลรัฐธรรมนูญไป” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอยืนยันว่าไม่หวั่นไหว เพราะพรรคฯ เชื่อมั่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ผิดอะไรถึงขั้นยุบพรรค และพร้อมที่จะไปชี้แจงเหตุผล ต่อใครก็ตาม หรือองค์กรใดที่จะทำหน้าที่พิจารณาในเรื่องการยุบพรรค
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ต.ค. 2549--จบ--