ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ผู้ว่าการ ธปท.ชี้แจงยังไม่ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่ง นรม. ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลัง
จากที่เดินทางจากสิงคโปร์ถึงสนามบินดอนเมืองวานนี้ (20 ก.ย.) ว่า ตนยังไม่ได้รับการทาบทามให้เป็น นรม.จากใครทั้งสิ้น และไม่ทราบด้วย
ว่าตนเป็นหนึ่งในผู้ที่อาจจะได้รับการทาบทามให้เป็น นรม. โดยในช่วงที่ผ่านมา ได้ไปประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ที่
ประเทศสิงคโปร์ และขณะนี้ยังไม่ได้คิดว่าหากได้รับการทาบทามจริงแล้วจะตัดสินใจอย่างไร นอกจากนี้ ได้กล่าวถึงผลกระทบจากเหตุการณ์รัฐ
ประหารในครั้งนี้ด้วยว่า ไม่น่าจะกระทบกับการลงทุนรวมถึงความเชื่อมั่นมากนัก เนื่องจากเท่าที่เห็นการนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศ เช่น
ซีเอ็นเอ็น ภาพที่ออกมาไม่เลวร้ายมากนัก และสื่อต่างประเทศยังกล่าวด้วยว่าเป็นการยึดอำนาจที่เรียบร้อยที่สุดเพราะไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้น
และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ประชาชนยอมรับ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่รู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบกับการลงทุน (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท.ยืนยันเงินบาทที่อ่อนค่าลงเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวของ
ค่าเงินบาทในช่วงรอยต่อข้ามคืนที่เกิดเหตุการณ์การยึดอำนาจ 19 ก.ย.49 ซึ่งในตลาดนิวยอร์ก เงินบาทได้อ่อนค่าลงประมาณ 60 สตางค์ จาก
37.28 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. มาอยู่ที่ 37.95 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ว่าเป็นการอ่อนค่าเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยหลังจากเหตุการณ์มีความ
ชัดเจน ในช่วงเช้าของวันที่ 20 ก.ย.49 ค่าเงินบาทก็กลับมาแข็งค่าขึ้น ซึ่งยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงแต่อย่างใด (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน)
3. ธปท.เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ดีตามที่เคยคาดการณ์ ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ได้ประชุมผู้บริหารของ ธปท.
ในช่วงบ่ายวันที่ 20 ก.ย.49 เพื่อประเมินภาวะผลกระทบทางเศรษฐกิจว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากเดิม เนื่องจาก
สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งก่อนหน้านี้มีการมองว่าจะฉุดการลงทุนภาคเอกชนจะมีความแน่นอนมากขึ้น ประกอบกับการอนุมัติ
งบประมาณปี 50 ก็น่าจะทำได้เร็วขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะทำให้มีรัฐบาลได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ในด้านการส่งออกและการบริโภค
ภาคเอกชนก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ และเชื่อว่าอัตราการขยายตัวของจีดีพีปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 4.5% ตามที่เคยคาดไว้ นอกจากนี้ ธปท.ยังไม่พบว่า
มีการโอนเงินออกนอกประเทศอย่างผิดปกติแต่อย่างใด (ไทยโพสต์, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, มติชน, โลกวันนี้)
4. สถาบันการเงินเปิดดำเนินการตามปกติตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้หารือกับเลขาธิการคณะ
ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ได้รับอนุญาตให้ ธปท.เปิดดำเนินการตามปกติได้ตั้งแต่วันนี้ (21 ก.ย.) เป็นต้นไป และอนุญาตให้
ประกาศให้สถาบันการเงินทุกแห่งในประเทศเปิดทำการตามปกติตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.ด้วย รวมทั้งอนุญาตให้สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ
เปิดการซื้อขายและดำเนินธุรกรรมเงินบาทได้ตั้งแต่เวลา 17.00 น. วันที่ 20 ก.ย. โดยกำหนดการชำระเงินตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. เนื่องจาก
เงินบาทมีการเคลื่อนไหวที่มีเสถียรภาพแล้ว จึงเห็นว่าควรเปิดให้มีการซื้อขายเงินบาทตามปกติ และเชื่อว่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าลง แต่หากกัก
ธุรกรรมไว้อาจจะยิ่งทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและเทขายเงินบาทได้ (โลกวันนี้, มติชน)
5. สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศติดตามสถานการณ์ประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่คณะ
ปฏิรูปการปกครองฯ ทำการยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่าง
ประเทศหลายแห่ง ต่างทำการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด โดยบริษัทจัดอันดับความเน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส
(เอสแอนด์พี) ระบุว่า หากไทยไม่สามารถกลับสู่ระบบการปกครองโดยพลเรือนภายใต้ประชาธิปไตยได้โดยเร็ว อาจทำให้การกำหนดนโยบาย
ทางการคลังของประเทศหยุดชะงัก และทำลายบรรยากาศในการลงทุน ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะทำให้ไทยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุน ซึ่ง
ปัจจุบันอันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของไทยอยู่ที่ BBB+ ขณะที่อันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทอยู่ที่ A ทั้งนี้
เอสแอนด์พีได้จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่เฝ้าระวังความน่าเชื่อถือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ด้านสถาบันจัดอันดับฟิตช์เรตติ้งส์ แถลงว่า มีความ
เป็นไปได้ที่จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยจากปัจจุบันที่ให้อันดับเครดิตด้านการออกตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของไทยอยู่ที่ BBB+
และอันดับเครดิตด้านการออกตราสารหนี้สกุลเงินบาทอยู่ที่ A เช่นกัน หากสถานการณ์ทางการเมืองของไทยมีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ส่วน
บริษัทมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า การยึดอำนาจการปกครองที่เกิดขึ้น อาจไม่ส่งผลกระทบทันทีต่ออันดับความน่าเชื่อถือ
โดยขณะนี้ยังถือว่าเร็วเกินไปที่จะระบุว่าการยึดอำนาจจะส่งผลกระทบในด้านลบต่อภาวะเศรษฐกิจและต่อระบบสถาบันการเงินของไทย ซึ่งมูดี้ส์จะ
มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป (ไทยโพสต์, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเยอรมนีในเดือน ก.ย.49 ลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี รายงานจากเมนเฮม์ เมื่อ
19 ก.ย.49 ผลสำรวจความคาดหวังเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้าประจำเดือน ก.ย.49 จากผลสำรวจความเห็นของ
นักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบันในเยอรมนีจำนวน 307 คนโดย ZEW ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำแห่งหนึ่งของเยอรมนีปรากฎว่าความ
เชื่อมั่นลดลงมาอยู่ที่ระดับ -22.2 จากระดับ -5.6 ในเดือน ส.ค.49 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี และอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ผลสำรวจ
รอยเตอร์คาดไว้ที่ระดับ — 7.8 ทั้งนี้เป็นผลมาจากความวิตกกังวลว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจของ สรอ. แนวโน้มอัตรา
ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะสูงขึ้นจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB และการขึ้นอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคอีกร้อยละ
3.0 เป็นร้อยละ 19.0 ในต้นปี 50 ซึ่งคาดว่าจะทำให้การใช้จ่ายในประเทศชะลอตัวลง ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปี 49 จะขยายตัว
ประมาณร้อยละ 2.0 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่ปี 43 ก่อนที่จะชะลอตัวลงในปี 50 จากการขึ้นอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคและการส่งออกที่
คาดว่าจะชะลอตัวลงดังกล่าวข้างต้น (รอยเตอร์)
2. ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เทียบต่อปี ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 19 ก.ย.49 สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เทียบต่อปี และหาก
เทียบต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ขณะที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์ 35 คนโดยรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และ 0.1 เมื่อ
เทียบต่อปีและต่อเดือนตามลำดับ สำหรับดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (ซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงาน) ในเดือน ส.ค.49 ไม่เปลี่ยนแปลงจาก
เดือนก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบต่อปี ทั้งนี้ ในเดือน ก.ค.49 ดัชนีราคาผู้ผลิต
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบต่อปี (รอยเตอร์)
3. ยอดขายปลีกของห้างใน สรอ.ลดลงร้อยละ 1.1 ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 ก.ย.49 รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 19 ก.ย.49
ผลสำรวจยอดขายรายสัปดาห์ของห้างดิสเคานต์สโตร์ ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกที่มีหลายสาขารายใหญ่ทั่วประเทศโดยสภาศูนย์การค้าระหว่าง
ประเทศหรือ ICSC พบว่ายอดขายปลีกของห้างดังกล่าวลดลงร้อยละ 1.1 ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 ก.ย.49 หลังจากลดลงร้อยละ 0.3 ใน
สัปดาห์ก่อน ทั้งนี้คาดว่าเป็นผลมาจากการร่วมระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ 11 ก.ย.44 โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายอดขายในวันที่ 11 ก.ย. ของ
ทุกปีจะอยู่ในระดับต่ำกว่าวันอื่นในสัปดาห์ อย่างไรก็ดี หากเทียบกับสัปดาห์เดียวกันของปี 48 แล้วยอดขายยังขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ดีคือร้อยละ
4.9 ต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ต่อปีในสัปดาห์ก่อน โดย ICSC คาดว่ายอดขายทั้งเดือน ก.ย.49 จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.5 ต่อเดือน
(รอยเตอร์)
4. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 95.5 เทียบต่อปี รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่
21 ก.ย.49 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเดือน ส.ค.49 จำนวน 200.5 พันล้านเยน (1.71 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพิ่มขึ้นร้อยละ 95.5 จากปีก่อน
โดยมีปัจจัยบวกจากการส่งออกสินค้าประเภทรถยนต์และเหล็กไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก โดยการส่งสินค้าออกไป สรอ.
ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 และจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 จากปีก่อน ทั้งนี้ มูลค่าของสินค้าออกประเภทรถยนต์ที่ส่งไปยัง สรอ. ขยาย
ตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.3 ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2540 ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขเกินดุลการค้าทั้งหมดจะอยู่ที่
451 พันล้านเยน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 340 แต่การที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
ทำให้ยอดเกินดุลต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
นักวิเคราะห์ยืนยันว่าการส่งออกไป สรอ. และเอเชียยังคงขยายตัวต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ยังคงเป็นไปในเชิงบวก
ทั้งนี้ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 จากปีก่อน ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 สำหรับตัวเลขเมื่อเทียบต่อเดือน ก.คลัง
เปิดเผยว่าการเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 12.8 จากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 685.8 พันล้านเยน (5.84 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ด้าน
นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนคาดว่าการขยายตัวของการส่งออกจะเสียสมดุลในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจของ สรอ. ชะลอตัว
แม้ว่าการส่งออกไปจีนและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ จะยังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องแต่อัตรา
การเติบโตจะชะลอตัวลง โดยจีดีพีช่วงเดือน เม.ย. — มิ.ย. ขยายตัวร้อยละ 1.0 เทียบต่อปี ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 (รอยเตอร์)
5. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ร้อยละ 3.3 เทียบต่อปี รายงานจาก
มาเลเซีย เมื่อ 20 ก.ย.49รัฐบาลมาเลเซีย เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เทียบต่อปี
ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 6 เดือน (ก.พ.49) และต่ำกว่าที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ขณะที่
เมื่อเทียบต่อเดือนลดลงร้อยละ 0.1 (ตัวเลขก่อนปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียเคยเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ 4.8
ในเดือน มี.ค.49 นับเป็นอัตราเพิ่มสูงที่สุดตั้งแต่เดือน ม.ค.42 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 ก.ย. 49 19 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.305 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.1248/37.4184 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.09922 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 702.56/16.69 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,250/10,350 10,300/10,400 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 56.08 60.02 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์
เมื่อ 14 ก.ย. 49 ** * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 19 ก.ย. 49 26.39*/25.34** 26.39*/25.34** 27.24/24.69 ปตท.
-ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ผู้ว่าการ ธปท.ชี้แจงยังไม่ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่ง นรม. ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลัง
จากที่เดินทางจากสิงคโปร์ถึงสนามบินดอนเมืองวานนี้ (20 ก.ย.) ว่า ตนยังไม่ได้รับการทาบทามให้เป็น นรม.จากใครทั้งสิ้น และไม่ทราบด้วย
ว่าตนเป็นหนึ่งในผู้ที่อาจจะได้รับการทาบทามให้เป็น นรม. โดยในช่วงที่ผ่านมา ได้ไปประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ที่
ประเทศสิงคโปร์ และขณะนี้ยังไม่ได้คิดว่าหากได้รับการทาบทามจริงแล้วจะตัดสินใจอย่างไร นอกจากนี้ ได้กล่าวถึงผลกระทบจากเหตุการณ์รัฐ
ประหารในครั้งนี้ด้วยว่า ไม่น่าจะกระทบกับการลงทุนรวมถึงความเชื่อมั่นมากนัก เนื่องจากเท่าที่เห็นการนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศ เช่น
ซีเอ็นเอ็น ภาพที่ออกมาไม่เลวร้ายมากนัก และสื่อต่างประเทศยังกล่าวด้วยว่าเป็นการยึดอำนาจที่เรียบร้อยที่สุดเพราะไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้น
และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ประชาชนยอมรับ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่รู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบกับการลงทุน (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท.ยืนยันเงินบาทที่อ่อนค่าลงเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวของ
ค่าเงินบาทในช่วงรอยต่อข้ามคืนที่เกิดเหตุการณ์การยึดอำนาจ 19 ก.ย.49 ซึ่งในตลาดนิวยอร์ก เงินบาทได้อ่อนค่าลงประมาณ 60 สตางค์ จาก
37.28 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. มาอยู่ที่ 37.95 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ว่าเป็นการอ่อนค่าเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยหลังจากเหตุการณ์มีความ
ชัดเจน ในช่วงเช้าของวันที่ 20 ก.ย.49 ค่าเงินบาทก็กลับมาแข็งค่าขึ้น ซึ่งยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงแต่อย่างใด (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน)
3. ธปท.เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ดีตามที่เคยคาดการณ์ ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ได้ประชุมผู้บริหารของ ธปท.
ในช่วงบ่ายวันที่ 20 ก.ย.49 เพื่อประเมินภาวะผลกระทบทางเศรษฐกิจว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากเดิม เนื่องจาก
สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งก่อนหน้านี้มีการมองว่าจะฉุดการลงทุนภาคเอกชนจะมีความแน่นอนมากขึ้น ประกอบกับการอนุมัติ
งบประมาณปี 50 ก็น่าจะทำได้เร็วขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะทำให้มีรัฐบาลได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ในด้านการส่งออกและการบริโภค
ภาคเอกชนก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ และเชื่อว่าอัตราการขยายตัวของจีดีพีปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 4.5% ตามที่เคยคาดไว้ นอกจากนี้ ธปท.ยังไม่พบว่า
มีการโอนเงินออกนอกประเทศอย่างผิดปกติแต่อย่างใด (ไทยโพสต์, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, มติชน, โลกวันนี้)
4. สถาบันการเงินเปิดดำเนินการตามปกติตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้หารือกับเลขาธิการคณะ
ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ได้รับอนุญาตให้ ธปท.เปิดดำเนินการตามปกติได้ตั้งแต่วันนี้ (21 ก.ย.) เป็นต้นไป และอนุญาตให้
ประกาศให้สถาบันการเงินทุกแห่งในประเทศเปิดทำการตามปกติตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.ด้วย รวมทั้งอนุญาตให้สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ
เปิดการซื้อขายและดำเนินธุรกรรมเงินบาทได้ตั้งแต่เวลา 17.00 น. วันที่ 20 ก.ย. โดยกำหนดการชำระเงินตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. เนื่องจาก
เงินบาทมีการเคลื่อนไหวที่มีเสถียรภาพแล้ว จึงเห็นว่าควรเปิดให้มีการซื้อขายเงินบาทตามปกติ และเชื่อว่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าลง แต่หากกัก
ธุรกรรมไว้อาจจะยิ่งทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและเทขายเงินบาทได้ (โลกวันนี้, มติชน)
5. สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศติดตามสถานการณ์ประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่คณะ
ปฏิรูปการปกครองฯ ทำการยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่าง
ประเทศหลายแห่ง ต่างทำการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด โดยบริษัทจัดอันดับความเน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส
(เอสแอนด์พี) ระบุว่า หากไทยไม่สามารถกลับสู่ระบบการปกครองโดยพลเรือนภายใต้ประชาธิปไตยได้โดยเร็ว อาจทำให้การกำหนดนโยบาย
ทางการคลังของประเทศหยุดชะงัก และทำลายบรรยากาศในการลงทุน ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะทำให้ไทยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุน ซึ่ง
ปัจจุบันอันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของไทยอยู่ที่ BBB+ ขณะที่อันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทอยู่ที่ A ทั้งนี้
เอสแอนด์พีได้จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่เฝ้าระวังความน่าเชื่อถือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ด้านสถาบันจัดอันดับฟิตช์เรตติ้งส์ แถลงว่า มีความ
เป็นไปได้ที่จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยจากปัจจุบันที่ให้อันดับเครดิตด้านการออกตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของไทยอยู่ที่ BBB+
และอันดับเครดิตด้านการออกตราสารหนี้สกุลเงินบาทอยู่ที่ A เช่นกัน หากสถานการณ์ทางการเมืองของไทยมีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ส่วน
บริษัทมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า การยึดอำนาจการปกครองที่เกิดขึ้น อาจไม่ส่งผลกระทบทันทีต่ออันดับความน่าเชื่อถือ
โดยขณะนี้ยังถือว่าเร็วเกินไปที่จะระบุว่าการยึดอำนาจจะส่งผลกระทบในด้านลบต่อภาวะเศรษฐกิจและต่อระบบสถาบันการเงินของไทย ซึ่งมูดี้ส์จะ
มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป (ไทยโพสต์, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเยอรมนีในเดือน ก.ย.49 ลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี รายงานจากเมนเฮม์ เมื่อ
19 ก.ย.49 ผลสำรวจความคาดหวังเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้าประจำเดือน ก.ย.49 จากผลสำรวจความเห็นของ
นักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบันในเยอรมนีจำนวน 307 คนโดย ZEW ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำแห่งหนึ่งของเยอรมนีปรากฎว่าความ
เชื่อมั่นลดลงมาอยู่ที่ระดับ -22.2 จากระดับ -5.6 ในเดือน ส.ค.49 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี และอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ผลสำรวจ
รอยเตอร์คาดไว้ที่ระดับ — 7.8 ทั้งนี้เป็นผลมาจากความวิตกกังวลว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจของ สรอ. แนวโน้มอัตรา
ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะสูงขึ้นจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB และการขึ้นอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคอีกร้อยละ
3.0 เป็นร้อยละ 19.0 ในต้นปี 50 ซึ่งคาดว่าจะทำให้การใช้จ่ายในประเทศชะลอตัวลง ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปี 49 จะขยายตัว
ประมาณร้อยละ 2.0 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่ปี 43 ก่อนที่จะชะลอตัวลงในปี 50 จากการขึ้นอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคและการส่งออกที่
คาดว่าจะชะลอตัวลงดังกล่าวข้างต้น (รอยเตอร์)
2. ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เทียบต่อปี ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 19 ก.ย.49 สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เทียบต่อปี และหาก
เทียบต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ขณะที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์ 35 คนโดยรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และ 0.1 เมื่อ
เทียบต่อปีและต่อเดือนตามลำดับ สำหรับดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (ซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงาน) ในเดือน ส.ค.49 ไม่เปลี่ยนแปลงจาก
เดือนก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบต่อปี ทั้งนี้ ในเดือน ก.ค.49 ดัชนีราคาผู้ผลิต
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบต่อปี (รอยเตอร์)
3. ยอดขายปลีกของห้างใน สรอ.ลดลงร้อยละ 1.1 ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 ก.ย.49 รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 19 ก.ย.49
ผลสำรวจยอดขายรายสัปดาห์ของห้างดิสเคานต์สโตร์ ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกที่มีหลายสาขารายใหญ่ทั่วประเทศโดยสภาศูนย์การค้าระหว่าง
ประเทศหรือ ICSC พบว่ายอดขายปลีกของห้างดังกล่าวลดลงร้อยละ 1.1 ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 ก.ย.49 หลังจากลดลงร้อยละ 0.3 ใน
สัปดาห์ก่อน ทั้งนี้คาดว่าเป็นผลมาจากการร่วมระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ 11 ก.ย.44 โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายอดขายในวันที่ 11 ก.ย. ของ
ทุกปีจะอยู่ในระดับต่ำกว่าวันอื่นในสัปดาห์ อย่างไรก็ดี หากเทียบกับสัปดาห์เดียวกันของปี 48 แล้วยอดขายยังขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ดีคือร้อยละ
4.9 ต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ต่อปีในสัปดาห์ก่อน โดย ICSC คาดว่ายอดขายทั้งเดือน ก.ย.49 จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.5 ต่อเดือน
(รอยเตอร์)
4. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 95.5 เทียบต่อปี รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่
21 ก.ย.49 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเดือน ส.ค.49 จำนวน 200.5 พันล้านเยน (1.71 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพิ่มขึ้นร้อยละ 95.5 จากปีก่อน
โดยมีปัจจัยบวกจากการส่งออกสินค้าประเภทรถยนต์และเหล็กไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก โดยการส่งสินค้าออกไป สรอ.
ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 และจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 จากปีก่อน ทั้งนี้ มูลค่าของสินค้าออกประเภทรถยนต์ที่ส่งไปยัง สรอ. ขยาย
ตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.3 ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2540 ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขเกินดุลการค้าทั้งหมดจะอยู่ที่
451 พันล้านเยน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 340 แต่การที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
ทำให้ยอดเกินดุลต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
นักวิเคราะห์ยืนยันว่าการส่งออกไป สรอ. และเอเชียยังคงขยายตัวต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ยังคงเป็นไปในเชิงบวก
ทั้งนี้ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 จากปีก่อน ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 สำหรับตัวเลขเมื่อเทียบต่อเดือน ก.คลัง
เปิดเผยว่าการเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 12.8 จากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 685.8 พันล้านเยน (5.84 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ด้าน
นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนคาดว่าการขยายตัวของการส่งออกจะเสียสมดุลในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจของ สรอ. ชะลอตัว
แม้ว่าการส่งออกไปจีนและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ จะยังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องแต่อัตรา
การเติบโตจะชะลอตัวลง โดยจีดีพีช่วงเดือน เม.ย. — มิ.ย. ขยายตัวร้อยละ 1.0 เทียบต่อปี ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 (รอยเตอร์)
5. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ร้อยละ 3.3 เทียบต่อปี รายงานจาก
มาเลเซีย เมื่อ 20 ก.ย.49รัฐบาลมาเลเซีย เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เทียบต่อปี
ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 6 เดือน (ก.พ.49) และต่ำกว่าที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ขณะที่
เมื่อเทียบต่อเดือนลดลงร้อยละ 0.1 (ตัวเลขก่อนปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียเคยเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ 4.8
ในเดือน มี.ค.49 นับเป็นอัตราเพิ่มสูงที่สุดตั้งแต่เดือน ม.ค.42 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 ก.ย. 49 19 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.305 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.1248/37.4184 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.09922 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 702.56/16.69 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,250/10,350 10,300/10,400 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 56.08 60.02 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์
เมื่อ 14 ก.ย. 49 ** * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 19 ก.ย. 49 26.39*/25.34** 26.39*/25.34** 27.24/24.69 ปตท.
-ธนาคารแห่งประเทศไทย--