แท็ก
ตลาดนัด
โคมไฟ สองสไตล์ ขายไอเดียแตกต่างบนความเหมือน
สินค้าฟุ่มเฟือยนั้นมีหลายรายการ ส่วนใหญ่ผู้ซื้อเลือกไว้เป็นของสะสม ด้วยเหตุผลใหญ่คือความชอบ แม้เพียงนำไปตั้งโชว์อยู่ในตู้ก็สร้างความภูมิใจได้แล้ว แต่การตอบสนองเช่นนี้ส่งผลให้หมดเงินไปจำนวนมาก และไม่อาจหาประโยชน์ได้มากนักจากสินค้าเหล่านี้ กระทั่งช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ สินค้าดังกล่าวมีผู้ให้ความสนใจน้อยราย หรืออาจมองข้ามไป แม้กระทั่งกลุ่มนักสะสมกลับนำมาจัดจำหน่าย ตามตลาดนัดเปิดท้ายกับสนนราคาถูกแพงแล้วแต่ชนิดสินค้า ปัจจุบันผู้ชื้อยังคงให้ความสำคัญกับเงินในกระเป๋า จะซื้อหาสินค้าใดสักชิ้นหนึ่ง คิดแล้วคิดอีก ใช่ว่าเขาไม่สนใจใคร่ได้ เพราะความต้องการนั้นมีอยู่ทุกผู้ทุกคน เพียงแต่รอบคอบกับการใช้จ่ายมากขึ้น
สินค้าฟุ่มเฟือยถึงวันนี้ยังคงมีอยู่ในท้องตลาด แต่ผู้ผลิตต่างพัฒนาไอเดียบรรจงเพิ่มเติมประโยชน์ใช้สอยเข้าไปพ่วง เพื่อให้ผู้ซื้อเกิดความประทับใจ และไม่เสียดายเงินเมื่อต้องจับจ่ายเป็นเจ้าของสินค้าใดสักชิ้นหนึ่ง
โคมไฟบ้านหมี
ไอเดียดีจากโมเดล
สองผู้ประกอบการซึ่ง "เส้นทางเศรษฐี" ผ่านไปพบครั้งนี้ เธอคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยของสินค้าฟุ่มเฟือย เมื่อใดลูกค้าตกลงใจเลือกเป็นเจ้าของ รับรองว่าคุ้มค่า ไม่ใช่ตั้งเก็บโชว์ไว้ในตู้กระจกอย่างผ่านมา โคมไฟบ้านหมี กับโคมไฟไหมพรม เป็นสองชิ้นงานของคนสองวัยผลิตออกมาเพื่อจำหน่าย โดยจัดตั้งจำหน่ายอยู่ภายในร้านเดียวกัน ของตลาดนัดตะวันนา ไนท์บาซาร์ (ติดห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ)
เริ่มชิ้นแรก เจ้าของความคิดให้ชื่อว่า "โคมไฟบ้านหมี" ซึ่งนำวัตถุดิบหลักคือกระถางกล้วยไม้ มาทำเป็นตัวบ้าน จากนั้นหาวัสดุอื่นๆ ประกอบการตกแต่ง ให้เกิดเป็นห้องหลากหลายแบบ โดยมีตุ๊กตาหมีตั้งวาง เสมือนเป็นเจ้าของห้องนั้นๆ ถ้าเพียงดังเอ่ยมาคงมองไม่เห็นประโยชน์ใช้สอยนอกเสียจากเป็นสินค้าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่ง แต่ผู้ผลิตกลับนำชุดอุปกรณ์ไฟ ดวงเล็กๆ ขนาด 7 วัตต์ มาติดตั้งให้แสงสว่าง สร้างมูลค่า กระทั่งลูกค้าเกิดความต้องการอยากได้ไว้ครอบครอง
สาวสวยวัยเพียง 22 ปี คุณอรนลิน ชาติบัวทอง ปัจจุบันศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เจ้าของความคิด ผู้ผลิตสินค้าออกมาจำหน่าย ด้วยเพราะได้ไอเดียมาจากความชอบงานด้านประดิษฐ์ และชอบเดินดูสินค้าตามตลาดนัดต่างๆ กระทั่งพบเห็นสินค้าโมเดล ซึ่งทำออกมาเป็นรูปห้องรับแขก ไม่เพียงดูแล้วปล่อยให้ผ่านเลยไป เพราะเธอผู้นี้ นำความคิดมาพัฒนาต่อยอด กระทั่งออกมาเป็นโคมไฟบ้านหมีหลังน้อย
เมื่อความคิดสรุปจะผลิตโคมไฟ สิ่งสำคัญคือวัตถุดิบ ต้องหาแหล่งรองรับ โดยหลักๆ ได้แก่กระถางไม้ ไว้สำหรับปลูกต้นกล้วยไม้รูปทรงต่างๆ กับขนาด 7, 8, 9, 10 นิ้ว ราคาใบละประมาณ 15 บาท เลือกซื้อได้ในตลาดนัดจตุจักร โซนจำหน่ายต้นไม้ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ อาทิ ไม้ไอศกรีม ผ้า ดอกไม้ประดิษฐ์ กระถาง ถ้วยชามขนาดเล็ก กระดาษห่อของขวัญ บัตรโทรศัพท์เติมเงิน อาหารจิ๋ว ฯลฯ หาซื้อได้ในตลาดสำเพ็ง พาหุรัด คลองถม สะพานพุทธ คุณอรนลินว่า วัตถุดิบบางชิ้นมองแล้วอาจไม่มีคุณค่า หรือหาประโยชน์ในการนำมาใช้ไม่ได้ แต่ตนเองมองเห็น นำมาพัฒนาเป็นผลงานสร้างรายได้อย่างดี
นำกระถางต้นไม้
วัสดุเหลือใช้มาทำ
ถามถึงวิธีทำ คุณอรนลินเผยว่า เริ่มแรกนำกระถางกล้วยไม้มาขัดให้หมดเสี้ยน จากนั้นลงแล็กเกอร์ ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วตัดกระดาษห่อของขวัญ กรุด้านในเสมือนเป็นวอลเปเปอร์ ติดประดับขอบด้านบนด้วยผ้าหรือวัสดุอื่นๆ เพื่อเป็นประตู จากนั้นนำไม้ไอศกรีมตัด และติดกาวเชื่อมต่อกลายเป็นชั้นวางของ ชุดโต๊ะเก้าอี้ ตามต้องการ วัสดุต่างๆ มาประดับ แล้วจึงนำตุ๊กตาหมีตั้งวาง สื่อให้รู้ว่าเป็นเจ้าของห้อง สรุปรวมเวลาผลิตราว 20 นาที จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ "เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย จะติดตั้งชุดอุปกรณ์ไฟ และหลอดไฟไว้ด้วย รูปแบบการผลิตพลิกแพลงได้ตามใจลูกค้า บางคนอาจไม่ชอบตุ๊กตาหมี แต่ขอเปลี่ยนเป็นนก เป็ด สัตว์ต่างๆ ตามชื่อของผู้ได้รับ เช่นนี้สามารถทำให้ได้ แต่ขอเวลาในการจัดเตรียมวัสดุประมาณ 1 สัปดาห์" คุณอรนลิน กล่าวเสริม
กับการลงทุนด้วยเงินก้อนแรก 5,000 บาท เพื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นทดลองทำ เริ่มแรกไม่สวยดังใจหวัง แต่ไม่คิดย่อท้อ ฝึกฝนกระทั่งเกิดความชำนาญ นำออกมาจำหน่ายกับสนนราคาเริ่มต้น 199 บาท สูงสุด 550 บาท ซึ่งงบประมาณการลงทุนค่าวัสดุอุปกรณ์เบ็ดเสร็จชิ้นละประมาณ 80 บาท ถึงวันนี้ คุณอรนลินมีรายได้จากไอเดียและการผลิตเป็นเงินประมาณ 30,000-40,000 บาท โดยกลุ่มเป้าหมายใหญ่วัยรุ่น และนับว่าเป็นช่องทางอันดี กับการเลือกตลาดแห่งนี้เป็นสถานที่จัดจำหน่ายสินค้า เพราะลูกค้าตรงตามคาดหวัง
"ถึงวันนี้เปิดร้านจำหน่ายมาได้ 3 ปี ถือว่ายอดขายยังดีอยู่ ลูกค้าทั้งประจำและขาจร สั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งการทำตามลูกค้าถือเป็นจุดเด่น สร้างความพึงพอใจให้เกิดกับผู้ซื้อ ส่วนปัญหาเรื่องคู่แข่ง ก็คงมีบ้างในท้องตลาด แต่งานของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับไอเดีย และการพัฒนา" คุณอรนลิน กล่าวถึงจุดเด่น และคู่แข่งขันทิ้งท้าย
สำหรับผู้สนใจต้องการชมสินค้าโคมไฟบ้านหมี เดินทางไปได้ยังตลาดนัดตะวันนา ไนท์บาซาร์ โซน F ซอย 1 บู๊ธที่ 15 หรือโทรศัพท์หมายเลข (02) 931-2130, (04) 008-8069
โคมไฟไหมพรม
สีหวาน สดใส
เรื่องราวดังจะนำเสนอไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะบอกไว้ข้างต้นแล้วว่าภายในร้านเดียวกันยังมีสินค้าประเภทโคมไฟอีกชิ้นหนึ่งอันเกิดจากมันสมอง แต่สินค้านี้เหมาะสำหรับคุณหนูๆ ทั้งหลาย โดยวัตถุดิบสำคัญได้แก่ไหมพรม สิ่งคู่ผู้หญิง ซึ่งแต่ก่อนยามว่างมักหยิบจับขึ้นมาพร้อมเข็มปัก หรือโครเชต์ เพื่อถักร้อยเป็นรูปแบบต่างๆ ทั้งเสื้อ กระโปรง ถุงเท้าเด็ก กระเป๋า เช่นนี้เป็นต้น
คุณมัณฑนา วงค์ชัย ปัจจุบันอายุ 43 ปี พี่สาวของคุณอรนลิน จบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนวิมุตยารามวิทยาคม เธอเป็นเจ้าของสินค้า "โคมไฟไหมพรม" ซึ่งขณะนี้ผลิตออกมา 7 สี ตามวัน คือ แดง เหลือง ชมพู เขียว ส้ม ฟ้า ม่วง ลักษณะโคมไฟให้ความหวาน โดยแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนบนคือโครง ทำมาจากเหล็ก และส่วนฐานและแกนยึด ซึ่งผลิตด้วยไม้สองชนิดคือ MDF และไม้ยางพารา ทั้งสองส่วนสั่งผลิตจากโรงงาน และแรงงานชาวบ้าน ส่วนไหมพรมนั้นถักร้อยด้วยเข็มโครเชต์ โดยเริ่มแรก คุณมัณฑนาทดลองผลิตด้วยตนเอง นั่นเพราะมีความรู้และชอบงานเย็บปักถักร้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
"ไม่คิดว่าต้องผลิตผลงานด้วยตนเอง เพราะแต่ก่อนถูกใจสินค้าใดจะสั่งซื้อ เลือกซื้อ แล้วนำมาจำหน่าย เคยรับสินค้าประเภทตุ๊กตาจากต่างประเทศมาขาย ราคารับซื้อสูงมาก จึงคิดว่าเมื่อเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ เราควรเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายสินค้าส่งไปยังต่างประเทศคงจะดี แต่ต้องมองตลาดให้เป็น" คำกล่าวของคุณมัณฑนา
คาดหวังส่งไกล
เดินทางไปทั่วโลก
คุณมัณฑนาว่า เมื่อผลิตสินค้ากระทั่งออกมาดี ได้มาตรฐาน จึงมองหาช่องทางจัดจำหน่าย และเพื่อให้สินค้าไปถึงมือชาวต่างชาติ จำเป็นต้องเดินเข้าหาบุคคลกลุ่มนี้ ด้วยการออกงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ หลายแห่ง ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพียง 1 เดือน กับสินค้าผลิตขึ้น เริ่มมีลูกค้าชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเจรจา และกับลูกค้าปลีกยังคงเดินได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มลูกค้าใหญ่ คนทำงานและแม่บ้าน เลือกซื้อสินค้าให้ลูกสาว หรือไม่ก็ซื้อเป็นของขวัญของฝาก
สำหรับราคาขายตั้งไว้ 1,200 บาท แต่ถ้าซื้อจำนวน 6 ชิ้นขึ้นไป ลดเหลือชิ้นละ 900 บาท กับการลงทุนประมาณ 600 บาท ต่อชิ้น "ถึงวันนี้จ้างแรงงานในกรุงเทพฯ เกือบ 20 คน ซึ่งส่วนใหญ่เลือกประกอบเป็นอาชีพเสริม หลังเลิกเรียน และว่างเว้นจากการทำงาน ในแต่ละวันผลิตผลงานได้เกือบ 20 ชิ้น และขณะนี้กลุ่มคนจากวิทยาลัยการอาชีพ ในจังหวัดสระบุรี อีก 10 กว่าคน รับงานไปทำ โดยให้อัตราค่าจ้างชิ้นละ 40 บาท ซึ่งหลักการคัดเลือกแรงงานขอเพียงใจรักในงานเย็บปักถักร้อย สามารถจับเข็มโครเชต์เป็น แต่ไม่ถึงกับชำนาญก็ได้ เพราะลวดลายไม่ยาก เรียนรู้ไม่นานก็ทำเป็น" คุณมัณฑนา เผยถึงแรงงาน
กล่าวถึงอุปกรณ์สำคัญได้แก่ ไหมพรม เข็มโครเชต์ ผ้าลูกไม้ ผ้าตาข่ายชนิดบาง ตุ๊กตาเรซิ่น ผ้าสักหลาด กาว ชุดอุปกรณ์ไฟ เลือกซื้อจากผู้ค้าส่งในตลาดสำเพ็ง ซึ่งในหนึ่งชิ้นงานใช้ไหม 2 สี คือขาวและสีอื่นๆ โดยเลือกตามวัน ส่วนโครงเหล็กทรงกลมสั่งซื้อในราคาชิ้นละ 150 บาท สำหรับฐานไม้ราคา 90 บาท ต่อชิ้น พร้อมพ่นสีสวยงาม โดยส่วนประกอบสองอย่างหลังนี้ต้องสั่งผลิตครั้งละประมาณ 30-50 ชิ้น หมดเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 4-5 หมื่นบาท
"ถึงตอนนี้พยายามทำตลาดเพื่อส่งออก โดยประเทศซึ่งหมายตาไว้อันดับแรกอยู่แถบยุโรป สหรัฐอเมริกา แต่ถ้าเป็นไปได้ก็หวังก้าวไกลไปทั่วโลก ทั้งนี้คงต้องศึกษาลูกค้าแต่ละแห่งด้วย เพื่อพัฒนาสินค้า สำหรับลูกค้าที่สนใจและต้องการให้ผลิตโคมไฟสำหรับตั้งหัวเตียงผู้ใหญ่ เดินทางมาพูดคุยกันได้" คุณมัณฑนา กล่าว
จดลิขสิทธิ์ไว้
ป้องกันภัยคู่แข่ง
คุณมัณฑนากล่าวถึงคู่แข่งว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นรายใดผลิตออกมารูปแบบเดียวกัน และเชื่อว่าถ้ามีผู้ประกอบการคิดผลิตสินค้าขึ้นมาจำหน่าย เขาคงคิดอะไรแตกต่างออกไป เพราะงานฝีมือไม่ใช่ว่าจะลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ อีกทั้งกับสินค้า "โคมไฟไหมพรม" รูปแบบนี้ได้จดลิขสิทธิ์ไว้เรียบร้อยแล้ว
"เรื่องการผลิตถือว่าสำคัญมาก ต้องให้เพียงพอตามความต้องการของท้องตลาด ประการสำคัญควรตรงต่อเวลา แต่ก็มีเหมือนกันที่สินค้าประสบกับปัญหาผลิตไม่ได้ตามต้องการ ทั้งนี้เวลารับงานลูกค้าต้องเลื่อนเวลานัดรับสินค้าออกไปเพื่อไม่ให้เสียลูกค้า ถึงวันนี้กับยอดขายอาจยังไม่อยู่ในเกณฑ์พอใจ เพราะเพิ่งเริ่มดำเนินการ แต่เชื่อว่าเมื่อผ่านพ้นไปได้ 3 เดือน ยอดขายจะขยับดีขึ้น ส่วนความภูมิใจนั้นไม่ต้องพูดถึงมันมีอยู่มาก เพราะเราสามารถผลิตและทำได้ด้วยตนเอง" ปัญหาและความภาคภูมิใจที่คุณมัณฑนา เล่าให้ฟัง
โคมไฟทั้งสองแบบดังนำเสนอ คงเป็นไอเดียดีๆ ที่ส่งผลให้ผู้อ่านได้ก้าวย่างคิดผลิตและพัฒนาสินค้า กระทั่งกลายเป็นผู้ประกอบการ มีรายได้เข้ากระเป๋า ไม่จำเป็นต้องผลิตให้เหมือนกับผู้ประกอบการทั้งสองดังกล่าวมา เพียงนำความรู้ไปปรับประยุกต์ต่อยอด ความภาคภูมิใจจะได้เกิดเต็มร้อย
สำหรับผู้สนใจต้องการเลือกซื้อสินค้าโคมไฟไหมพรม เดินทางไปได้ดังที่อยู่เดียวกันกับ "โคมไฟบ้านหมี" ตั้งแต่เวลา 15.00 น. กระทั่งถึง 21.00 น. ทุกวัน หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่หมายเลข (02) 931-2130, (06) 565-9902
*ขั้นตอนการผลิตโคมไฟไหมพรม
1. ตัดฐานไม้ให้ได้รูปแบบตามต้องการ โดยใช้ไม้ MDF ความหนาของไม้ประมาณ 15 มิลลิเมตร
2. เจาะรูเพื่อร้อยสายไฟ และเจาะร่องเพื่อซ่อนสายไฟ
3. ทาสีที่ฐานไม้โดยใช้สีอะครีลิก และพ่นสีเคลือบเงาทิ้งไว้ให้แห้ง เก็บงานให้เรียบร้อยเพื่อรอประกอบ
4. ขึ้นโครงเหล็กโคมไฟตามต้องการ พ่นด้วยสีอะครีลิก และพ่นเคลือบเงาทิ้งไว้ให้แห้งเพื่อรอประกอบ
5. ประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้า และสายไฟฟ้าให้เรียบร้อย กับขาตั้งโคมไฟ
6. ประกอบฐานไม้และขาตั้งโคมไฟเข้าด้วยกัน เก็บงานให้เรียบร้อย
7. นำผ้าตาข่ายมาตัดให้เข้ารูปกับฝาครอบโคมไฟ แล้วนำมาปิดทับเข้ากับฝาครอบของโคมไฟ เย็บติดกับฝาครอบโคมไฟ
8. นำโครเชต์ไหมพรมที่ถักไว้เรียบร้อยแล้ว ไปคลุมทับกับฝาครอบโคมไฟอีกชั้นหนึ่ง
9. เย็บตีนตุ๊กแกที่ส่วนบนและล่างของฝาครอบเพื่อยึดติดกับไหมพรม
10. ตกแต่งด้วยลูกไม้ที่ขอบล่างของฝาครอบโคมไฟ เพื่อความสวยงาม
11. จัดแต่งฐานโคมไฟด้วยตุ๊กตาเรซิ่นที่เตรียมไว้ตามต้องการ
12. ปิดฐานด้านล่างด้วยผ้าสักหลาด เพื่อกันโคมไฟเคลื่อนและเพื่อความเรียบร้อยสวยงามของชิ้นงาน
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
สินค้าฟุ่มเฟือยนั้นมีหลายรายการ ส่วนใหญ่ผู้ซื้อเลือกไว้เป็นของสะสม ด้วยเหตุผลใหญ่คือความชอบ แม้เพียงนำไปตั้งโชว์อยู่ในตู้ก็สร้างความภูมิใจได้แล้ว แต่การตอบสนองเช่นนี้ส่งผลให้หมดเงินไปจำนวนมาก และไม่อาจหาประโยชน์ได้มากนักจากสินค้าเหล่านี้ กระทั่งช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ สินค้าดังกล่าวมีผู้ให้ความสนใจน้อยราย หรืออาจมองข้ามไป แม้กระทั่งกลุ่มนักสะสมกลับนำมาจัดจำหน่าย ตามตลาดนัดเปิดท้ายกับสนนราคาถูกแพงแล้วแต่ชนิดสินค้า ปัจจุบันผู้ชื้อยังคงให้ความสำคัญกับเงินในกระเป๋า จะซื้อหาสินค้าใดสักชิ้นหนึ่ง คิดแล้วคิดอีก ใช่ว่าเขาไม่สนใจใคร่ได้ เพราะความต้องการนั้นมีอยู่ทุกผู้ทุกคน เพียงแต่รอบคอบกับการใช้จ่ายมากขึ้น
สินค้าฟุ่มเฟือยถึงวันนี้ยังคงมีอยู่ในท้องตลาด แต่ผู้ผลิตต่างพัฒนาไอเดียบรรจงเพิ่มเติมประโยชน์ใช้สอยเข้าไปพ่วง เพื่อให้ผู้ซื้อเกิดความประทับใจ และไม่เสียดายเงินเมื่อต้องจับจ่ายเป็นเจ้าของสินค้าใดสักชิ้นหนึ่ง
โคมไฟบ้านหมี
ไอเดียดีจากโมเดล
สองผู้ประกอบการซึ่ง "เส้นทางเศรษฐี" ผ่านไปพบครั้งนี้ เธอคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยของสินค้าฟุ่มเฟือย เมื่อใดลูกค้าตกลงใจเลือกเป็นเจ้าของ รับรองว่าคุ้มค่า ไม่ใช่ตั้งเก็บโชว์ไว้ในตู้กระจกอย่างผ่านมา โคมไฟบ้านหมี กับโคมไฟไหมพรม เป็นสองชิ้นงานของคนสองวัยผลิตออกมาเพื่อจำหน่าย โดยจัดตั้งจำหน่ายอยู่ภายในร้านเดียวกัน ของตลาดนัดตะวันนา ไนท์บาซาร์ (ติดห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ)
เริ่มชิ้นแรก เจ้าของความคิดให้ชื่อว่า "โคมไฟบ้านหมี" ซึ่งนำวัตถุดิบหลักคือกระถางกล้วยไม้ มาทำเป็นตัวบ้าน จากนั้นหาวัสดุอื่นๆ ประกอบการตกแต่ง ให้เกิดเป็นห้องหลากหลายแบบ โดยมีตุ๊กตาหมีตั้งวาง เสมือนเป็นเจ้าของห้องนั้นๆ ถ้าเพียงดังเอ่ยมาคงมองไม่เห็นประโยชน์ใช้สอยนอกเสียจากเป็นสินค้าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่ง แต่ผู้ผลิตกลับนำชุดอุปกรณ์ไฟ ดวงเล็กๆ ขนาด 7 วัตต์ มาติดตั้งให้แสงสว่าง สร้างมูลค่า กระทั่งลูกค้าเกิดความต้องการอยากได้ไว้ครอบครอง
สาวสวยวัยเพียง 22 ปี คุณอรนลิน ชาติบัวทอง ปัจจุบันศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เจ้าของความคิด ผู้ผลิตสินค้าออกมาจำหน่าย ด้วยเพราะได้ไอเดียมาจากความชอบงานด้านประดิษฐ์ และชอบเดินดูสินค้าตามตลาดนัดต่างๆ กระทั่งพบเห็นสินค้าโมเดล ซึ่งทำออกมาเป็นรูปห้องรับแขก ไม่เพียงดูแล้วปล่อยให้ผ่านเลยไป เพราะเธอผู้นี้ นำความคิดมาพัฒนาต่อยอด กระทั่งออกมาเป็นโคมไฟบ้านหมีหลังน้อย
เมื่อความคิดสรุปจะผลิตโคมไฟ สิ่งสำคัญคือวัตถุดิบ ต้องหาแหล่งรองรับ โดยหลักๆ ได้แก่กระถางไม้ ไว้สำหรับปลูกต้นกล้วยไม้รูปทรงต่างๆ กับขนาด 7, 8, 9, 10 นิ้ว ราคาใบละประมาณ 15 บาท เลือกซื้อได้ในตลาดนัดจตุจักร โซนจำหน่ายต้นไม้ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ อาทิ ไม้ไอศกรีม ผ้า ดอกไม้ประดิษฐ์ กระถาง ถ้วยชามขนาดเล็ก กระดาษห่อของขวัญ บัตรโทรศัพท์เติมเงิน อาหารจิ๋ว ฯลฯ หาซื้อได้ในตลาดสำเพ็ง พาหุรัด คลองถม สะพานพุทธ คุณอรนลินว่า วัตถุดิบบางชิ้นมองแล้วอาจไม่มีคุณค่า หรือหาประโยชน์ในการนำมาใช้ไม่ได้ แต่ตนเองมองเห็น นำมาพัฒนาเป็นผลงานสร้างรายได้อย่างดี
นำกระถางต้นไม้
วัสดุเหลือใช้มาทำ
ถามถึงวิธีทำ คุณอรนลินเผยว่า เริ่มแรกนำกระถางกล้วยไม้มาขัดให้หมดเสี้ยน จากนั้นลงแล็กเกอร์ ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วตัดกระดาษห่อของขวัญ กรุด้านในเสมือนเป็นวอลเปเปอร์ ติดประดับขอบด้านบนด้วยผ้าหรือวัสดุอื่นๆ เพื่อเป็นประตู จากนั้นนำไม้ไอศกรีมตัด และติดกาวเชื่อมต่อกลายเป็นชั้นวางของ ชุดโต๊ะเก้าอี้ ตามต้องการ วัสดุต่างๆ มาประดับ แล้วจึงนำตุ๊กตาหมีตั้งวาง สื่อให้รู้ว่าเป็นเจ้าของห้อง สรุปรวมเวลาผลิตราว 20 นาที จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ "เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย จะติดตั้งชุดอุปกรณ์ไฟ และหลอดไฟไว้ด้วย รูปแบบการผลิตพลิกแพลงได้ตามใจลูกค้า บางคนอาจไม่ชอบตุ๊กตาหมี แต่ขอเปลี่ยนเป็นนก เป็ด สัตว์ต่างๆ ตามชื่อของผู้ได้รับ เช่นนี้สามารถทำให้ได้ แต่ขอเวลาในการจัดเตรียมวัสดุประมาณ 1 สัปดาห์" คุณอรนลิน กล่าวเสริม
กับการลงทุนด้วยเงินก้อนแรก 5,000 บาท เพื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นทดลองทำ เริ่มแรกไม่สวยดังใจหวัง แต่ไม่คิดย่อท้อ ฝึกฝนกระทั่งเกิดความชำนาญ นำออกมาจำหน่ายกับสนนราคาเริ่มต้น 199 บาท สูงสุด 550 บาท ซึ่งงบประมาณการลงทุนค่าวัสดุอุปกรณ์เบ็ดเสร็จชิ้นละประมาณ 80 บาท ถึงวันนี้ คุณอรนลินมีรายได้จากไอเดียและการผลิตเป็นเงินประมาณ 30,000-40,000 บาท โดยกลุ่มเป้าหมายใหญ่วัยรุ่น และนับว่าเป็นช่องทางอันดี กับการเลือกตลาดแห่งนี้เป็นสถานที่จัดจำหน่ายสินค้า เพราะลูกค้าตรงตามคาดหวัง
"ถึงวันนี้เปิดร้านจำหน่ายมาได้ 3 ปี ถือว่ายอดขายยังดีอยู่ ลูกค้าทั้งประจำและขาจร สั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งการทำตามลูกค้าถือเป็นจุดเด่น สร้างความพึงพอใจให้เกิดกับผู้ซื้อ ส่วนปัญหาเรื่องคู่แข่ง ก็คงมีบ้างในท้องตลาด แต่งานของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับไอเดีย และการพัฒนา" คุณอรนลิน กล่าวถึงจุดเด่น และคู่แข่งขันทิ้งท้าย
สำหรับผู้สนใจต้องการชมสินค้าโคมไฟบ้านหมี เดินทางไปได้ยังตลาดนัดตะวันนา ไนท์บาซาร์ โซน F ซอย 1 บู๊ธที่ 15 หรือโทรศัพท์หมายเลข (02) 931-2130, (04) 008-8069
โคมไฟไหมพรม
สีหวาน สดใส
เรื่องราวดังจะนำเสนอไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะบอกไว้ข้างต้นแล้วว่าภายในร้านเดียวกันยังมีสินค้าประเภทโคมไฟอีกชิ้นหนึ่งอันเกิดจากมันสมอง แต่สินค้านี้เหมาะสำหรับคุณหนูๆ ทั้งหลาย โดยวัตถุดิบสำคัญได้แก่ไหมพรม สิ่งคู่ผู้หญิง ซึ่งแต่ก่อนยามว่างมักหยิบจับขึ้นมาพร้อมเข็มปัก หรือโครเชต์ เพื่อถักร้อยเป็นรูปแบบต่างๆ ทั้งเสื้อ กระโปรง ถุงเท้าเด็ก กระเป๋า เช่นนี้เป็นต้น
คุณมัณฑนา วงค์ชัย ปัจจุบันอายุ 43 ปี พี่สาวของคุณอรนลิน จบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนวิมุตยารามวิทยาคม เธอเป็นเจ้าของสินค้า "โคมไฟไหมพรม" ซึ่งขณะนี้ผลิตออกมา 7 สี ตามวัน คือ แดง เหลือง ชมพู เขียว ส้ม ฟ้า ม่วง ลักษณะโคมไฟให้ความหวาน โดยแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนบนคือโครง ทำมาจากเหล็ก และส่วนฐานและแกนยึด ซึ่งผลิตด้วยไม้สองชนิดคือ MDF และไม้ยางพารา ทั้งสองส่วนสั่งผลิตจากโรงงาน และแรงงานชาวบ้าน ส่วนไหมพรมนั้นถักร้อยด้วยเข็มโครเชต์ โดยเริ่มแรก คุณมัณฑนาทดลองผลิตด้วยตนเอง นั่นเพราะมีความรู้และชอบงานเย็บปักถักร้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
"ไม่คิดว่าต้องผลิตผลงานด้วยตนเอง เพราะแต่ก่อนถูกใจสินค้าใดจะสั่งซื้อ เลือกซื้อ แล้วนำมาจำหน่าย เคยรับสินค้าประเภทตุ๊กตาจากต่างประเทศมาขาย ราคารับซื้อสูงมาก จึงคิดว่าเมื่อเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ เราควรเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายสินค้าส่งไปยังต่างประเทศคงจะดี แต่ต้องมองตลาดให้เป็น" คำกล่าวของคุณมัณฑนา
คาดหวังส่งไกล
เดินทางไปทั่วโลก
คุณมัณฑนาว่า เมื่อผลิตสินค้ากระทั่งออกมาดี ได้มาตรฐาน จึงมองหาช่องทางจัดจำหน่าย และเพื่อให้สินค้าไปถึงมือชาวต่างชาติ จำเป็นต้องเดินเข้าหาบุคคลกลุ่มนี้ ด้วยการออกงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ หลายแห่ง ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพียง 1 เดือน กับสินค้าผลิตขึ้น เริ่มมีลูกค้าชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเจรจา และกับลูกค้าปลีกยังคงเดินได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มลูกค้าใหญ่ คนทำงานและแม่บ้าน เลือกซื้อสินค้าให้ลูกสาว หรือไม่ก็ซื้อเป็นของขวัญของฝาก
สำหรับราคาขายตั้งไว้ 1,200 บาท แต่ถ้าซื้อจำนวน 6 ชิ้นขึ้นไป ลดเหลือชิ้นละ 900 บาท กับการลงทุนประมาณ 600 บาท ต่อชิ้น "ถึงวันนี้จ้างแรงงานในกรุงเทพฯ เกือบ 20 คน ซึ่งส่วนใหญ่เลือกประกอบเป็นอาชีพเสริม หลังเลิกเรียน และว่างเว้นจากการทำงาน ในแต่ละวันผลิตผลงานได้เกือบ 20 ชิ้น และขณะนี้กลุ่มคนจากวิทยาลัยการอาชีพ ในจังหวัดสระบุรี อีก 10 กว่าคน รับงานไปทำ โดยให้อัตราค่าจ้างชิ้นละ 40 บาท ซึ่งหลักการคัดเลือกแรงงานขอเพียงใจรักในงานเย็บปักถักร้อย สามารถจับเข็มโครเชต์เป็น แต่ไม่ถึงกับชำนาญก็ได้ เพราะลวดลายไม่ยาก เรียนรู้ไม่นานก็ทำเป็น" คุณมัณฑนา เผยถึงแรงงาน
กล่าวถึงอุปกรณ์สำคัญได้แก่ ไหมพรม เข็มโครเชต์ ผ้าลูกไม้ ผ้าตาข่ายชนิดบาง ตุ๊กตาเรซิ่น ผ้าสักหลาด กาว ชุดอุปกรณ์ไฟ เลือกซื้อจากผู้ค้าส่งในตลาดสำเพ็ง ซึ่งในหนึ่งชิ้นงานใช้ไหม 2 สี คือขาวและสีอื่นๆ โดยเลือกตามวัน ส่วนโครงเหล็กทรงกลมสั่งซื้อในราคาชิ้นละ 150 บาท สำหรับฐานไม้ราคา 90 บาท ต่อชิ้น พร้อมพ่นสีสวยงาม โดยส่วนประกอบสองอย่างหลังนี้ต้องสั่งผลิตครั้งละประมาณ 30-50 ชิ้น หมดเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 4-5 หมื่นบาท
"ถึงตอนนี้พยายามทำตลาดเพื่อส่งออก โดยประเทศซึ่งหมายตาไว้อันดับแรกอยู่แถบยุโรป สหรัฐอเมริกา แต่ถ้าเป็นไปได้ก็หวังก้าวไกลไปทั่วโลก ทั้งนี้คงต้องศึกษาลูกค้าแต่ละแห่งด้วย เพื่อพัฒนาสินค้า สำหรับลูกค้าที่สนใจและต้องการให้ผลิตโคมไฟสำหรับตั้งหัวเตียงผู้ใหญ่ เดินทางมาพูดคุยกันได้" คุณมัณฑนา กล่าว
จดลิขสิทธิ์ไว้
ป้องกันภัยคู่แข่ง
คุณมัณฑนากล่าวถึงคู่แข่งว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นรายใดผลิตออกมารูปแบบเดียวกัน และเชื่อว่าถ้ามีผู้ประกอบการคิดผลิตสินค้าขึ้นมาจำหน่าย เขาคงคิดอะไรแตกต่างออกไป เพราะงานฝีมือไม่ใช่ว่าจะลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ อีกทั้งกับสินค้า "โคมไฟไหมพรม" รูปแบบนี้ได้จดลิขสิทธิ์ไว้เรียบร้อยแล้ว
"เรื่องการผลิตถือว่าสำคัญมาก ต้องให้เพียงพอตามความต้องการของท้องตลาด ประการสำคัญควรตรงต่อเวลา แต่ก็มีเหมือนกันที่สินค้าประสบกับปัญหาผลิตไม่ได้ตามต้องการ ทั้งนี้เวลารับงานลูกค้าต้องเลื่อนเวลานัดรับสินค้าออกไปเพื่อไม่ให้เสียลูกค้า ถึงวันนี้กับยอดขายอาจยังไม่อยู่ในเกณฑ์พอใจ เพราะเพิ่งเริ่มดำเนินการ แต่เชื่อว่าเมื่อผ่านพ้นไปได้ 3 เดือน ยอดขายจะขยับดีขึ้น ส่วนความภูมิใจนั้นไม่ต้องพูดถึงมันมีอยู่มาก เพราะเราสามารถผลิตและทำได้ด้วยตนเอง" ปัญหาและความภาคภูมิใจที่คุณมัณฑนา เล่าให้ฟัง
โคมไฟทั้งสองแบบดังนำเสนอ คงเป็นไอเดียดีๆ ที่ส่งผลให้ผู้อ่านได้ก้าวย่างคิดผลิตและพัฒนาสินค้า กระทั่งกลายเป็นผู้ประกอบการ มีรายได้เข้ากระเป๋า ไม่จำเป็นต้องผลิตให้เหมือนกับผู้ประกอบการทั้งสองดังกล่าวมา เพียงนำความรู้ไปปรับประยุกต์ต่อยอด ความภาคภูมิใจจะได้เกิดเต็มร้อย
สำหรับผู้สนใจต้องการเลือกซื้อสินค้าโคมไฟไหมพรม เดินทางไปได้ดังที่อยู่เดียวกันกับ "โคมไฟบ้านหมี" ตั้งแต่เวลา 15.00 น. กระทั่งถึง 21.00 น. ทุกวัน หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่หมายเลข (02) 931-2130, (06) 565-9902
*ขั้นตอนการผลิตโคมไฟไหมพรม
1. ตัดฐานไม้ให้ได้รูปแบบตามต้องการ โดยใช้ไม้ MDF ความหนาของไม้ประมาณ 15 มิลลิเมตร
2. เจาะรูเพื่อร้อยสายไฟ และเจาะร่องเพื่อซ่อนสายไฟ
3. ทาสีที่ฐานไม้โดยใช้สีอะครีลิก และพ่นสีเคลือบเงาทิ้งไว้ให้แห้ง เก็บงานให้เรียบร้อยเพื่อรอประกอบ
4. ขึ้นโครงเหล็กโคมไฟตามต้องการ พ่นด้วยสีอะครีลิก และพ่นเคลือบเงาทิ้งไว้ให้แห้งเพื่อรอประกอบ
5. ประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้า และสายไฟฟ้าให้เรียบร้อย กับขาตั้งโคมไฟ
6. ประกอบฐานไม้และขาตั้งโคมไฟเข้าด้วยกัน เก็บงานให้เรียบร้อย
7. นำผ้าตาข่ายมาตัดให้เข้ารูปกับฝาครอบโคมไฟ แล้วนำมาปิดทับเข้ากับฝาครอบของโคมไฟ เย็บติดกับฝาครอบโคมไฟ
8. นำโครเชต์ไหมพรมที่ถักไว้เรียบร้อยแล้ว ไปคลุมทับกับฝาครอบโคมไฟอีกชั้นหนึ่ง
9. เย็บตีนตุ๊กแกที่ส่วนบนและล่างของฝาครอบเพื่อยึดติดกับไหมพรม
10. ตกแต่งด้วยลูกไม้ที่ขอบล่างของฝาครอบโคมไฟ เพื่อความสวยงาม
11. จัดแต่งฐานโคมไฟด้วยตุ๊กตาเรซิ่นที่เตรียมไว้ตามต้องการ
12. ปิดฐานด้านล่างด้วยผ้าสักหลาด เพื่อกันโคมไฟเคลื่อนและเพื่อความเรียบร้อยสวยงามของชิ้นงาน
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-