เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาบริษัทเบเยอร์ ครอปไซน์ส ประเทศเยอรมนี ได้ตรวจพบการปนเปื้อนของข้าวเมล็ดยาวที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม (GMO : Gennitically Modifier Organism)สายพันธุ์ LL601 จากการสุ่มตัวอย่าง “ข้าวนึ่ง” ที่ส่งมาจากเขตอาร์คันซอและมิสซูรี และในเดือนถัดมาหน่วยงานกำกับดูแลการตลาดและผู้บริโภคในประเทศฝรั่งเศส (DGCCRF) ก็ได้ตรวจพบข้าว GMO สายพันธุ์ LL601 จากสหรัฐฯ เช่นกัน ประกอบกับสหรัฐฯ ได้ออกมายอมรับว่าข้าวสายพันธุ์ดังกล่าวยังไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้คณะกรรมาธิการยุโรปออกมาประกาศห้ามการนำเข้าข้าว GMO ข้างต้น นอกจากนี้รัฐบาลของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็ได้สั่งระงับการนำเข้าข้าว GMOs จากสหรัฐฯ เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป
ในขณะเดียวกันผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพันธุวิศวกรรม กรีนพีซ (องค์กรนานาชาติที่รณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม)เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นางสาวภัสน์ ศรีสุวรรณ์ ระบุว่ากรีนพีซ ได้ออกมาขอร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ของไทยมุ่งพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนและปราศจาก GMO โดยเฉพาะในสินค้าข้าว พร้อมกับได้เสนอข้อเรียกร้อง 3 ประการ คือ
- ขอให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีคงมติคณะรัฐมนตรีเดิมที่ห้ามทดลองพืช GMO ทุกชนิดในไร่นาไว้ก่อน
- ในการจัดทำพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพต้องยึดหลักป้องกันไว้ก่อน
- รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการตรวจสอบข้าว GMO ในท้องตลาด เพื่อตรวจสอบการปนเปื้อนข้าว GMO จากต่างประเทศ
ทั้งนี้ปัจจุบันจุดแข็งของข้าวไทยขณะนี้คือ ข้าวไทยยังไม่เป็น GMO ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจึงควรกำหนดนโยบายให้ชัดเจนว่า จะเป็นประเทศที่ผลิตอาหารที่ปลอด GMO เพื่อเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกของประเทศไทย
ประเด็นวิเคราะห์:
จากข้อเสนอแนะของกรีนพีซบ่งชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยควรมุ่งเน้นเทคโนโลยีการผลิตแบบธรรมชาติที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสินค้าข้าว เนื่องจากข้าว GMO อาจส่งผลกระทบต่อลักษณะพันธุ์ข้าวหอมมะลิที่โดดเด่นของไทยให้เปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้ประเทศเสียโอกาสทางการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้หากประเทศไทยสามารถรักษาจุดแข็งของข้าวไทยที่ยังไม่เป็น GMO ได้ ก็นับเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ซื้อในต่างประเทศหันมาซื้อข้าวไทยมากขึ้น แหล่งที่มาของข้อมูล
ที่มา: http://www.depthai.go.th