นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลให้เหตุผลในการนำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณเพิ่มเติมว่า สืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้เกินเป้าที่ตั้งเอาไว้ถึงประมาณ 50,000 ล้านบาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 4.2 % ในเอกสารประกอบการพิจารณาจะเห็นว่ารายได้หลัก ส่วนใหญ่มาจากกรมสรรพากร และกรมศุลกากร
ในส่วนของกรมสรรพากรนั้นรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้เกินเป้าถึง 70,000 ล้านบาท ในส่วนของกรมศุลกากร 3,100 ล้านบาท เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถเก็บภาษีได้เกินเป้าในปี 2548 แต่ปัญหาที่ตามมาคือว ทำไมรัฐบาลจึงสามารถจัดเก็บภาษีรายได้เพิ่มขึ้น ในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง และเหตุผลของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงก็มีหลายปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งปัจจัยภายนอกก็มาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงประกอบกับราคาน้ำมันที่สูงเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยภายในมาจาก การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งแต่จะปั้นตัวเลขให้ขยายตัวเชิงปริมาณไม่เน้นคุณภาพ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย ทำให้คนไทยเกือบทั้งประเทศเป็นหนี้
ตนเคยอภิปรายไปแล้วในช่วงการแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ถูกรัฐบาลทำรุดไป 2 เครื่อง คือ การบริโภคภายในประเทศและการส่งออก แต่วันนี้เครื่องจักรที่ตนคิดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็คือการลงทุนของภาคเอกชน ก็กำลังชำรุดเช่นกัน
ดัชนีต่างๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ ต่างชี้ไปในทิศทางที่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศเรากำลังชะลอตัว เช่น ผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 138.4 ลดลงจากปีก่อน 1.6% ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 3 ปี 2 เดือน นอกจากนี้ความเชื่อมั่นลดลงไปอยู่ที่ 47.1 ถือว่าเป็นดัชนีที่ต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 การลงทุนภาคเอกชนลดลงจากเดือนมากราคมขยายตัวเพียงแค่ 2%
ดัชนีของการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงมาอยูที่ 65.2% จากเดือนมากราคมที่มอัตรา 70.9% ถามว่ารัฐบาลทราบเรื่องนี้หรือไม่ ตนเชื่อว่ารัฐบาลทราบดี เพราะถ้าไปดูในเอกสารงบประมาณก็ต้องยอมรับว่า ข้อสมมุติฐานทางเศรษฐฏิจของรัฐบาลเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่รัฐบาลเคยประมาณการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตรา 7.5% ตอนนี้รัฐบาลยอมรับความจริงครึ่งหนึ่ง บอกว่าอาจจะลดเหลือ 5.5 — 6.5 แต่ตนไม่มั่นใจ เพราะว่าราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับ 40 หรือ 45 เหรียญ/บาเรล ตลอดทั้งปี ตนเชื่อว่าเศรษฐฏิจไม่น่าจะขยายตัวเกิน 4% และอัตราเงินเฟ้ออาจจะพุ่งขึ้นถึงประมาณ 4-4.5% ปัญหาก็ตามมาว่า ทำไมรัฐบาลจึงสามารถจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ ในขณะที่ดัชนีต่างๆ ก็ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง
นอกจากนี้ยังแสดงชาร์ทแสดงตารางสถิติการจัดเก็บภาษีสรรพากรเบื้องต้นทั่วประเทศ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณถึงเดือนมีนาคม 2548 ซึ่งจะเห็นว่าในหมวดที่ 5 ซึ่งเป็นธุรกิจเฉพาะ รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีเกินเป้าถึง 11.11% แต่หมวด 4 เป็นหมวดภาษีมูลค่าเพิ่มรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีเกินเป้า 11.07% ทำไมรัฐบาลจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลให้คนไทยเป็นหนี้ อีกส่วนหนึ่งเพราะราคาน้ำมันสูงขึ้น เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ทุกลิตรที่ประชาชนซื้อ รัฐบาลก็จะมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
หมวดที่ 3 ภาษีเงินได้ปิโตเลียม รัฐบาลสามารถเก็บภาษีเพิ่ม 129.72% หมวดที่ 2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนหนึ่งมาจากผลประกอบการของบริษัท เช่น บริษัทปิโตเลี่ยม ‘แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ นิติบุคคลอื่นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รัฐบาลไม่ได้เพิ่มภาษีประชาชน แต่รัฐบาลรีดภาษีประชาชน เพราะประชาชนเดือดร้อนมาก เจ้าหน้าที่สรรพากรไปเยี่ยมร้านค้า ไปขอประเมินภาษีเพิ่ม จากเดิมอาจจะปีละ 2,000 เป็น 4,000 ถ้าไม่ยอมจ่าย สรรพากรจะยอมลงทุนเฝ้าหน้าร้าน ลงทุนนับชามก๋วยเตี๋ยว’ นายศิริโชคกล่าว
สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่น่าห่วง เพราะรัฐบบาลนอกจากได้เพิ่มจากราคาน้ำมันเพิ่มแล้ว ประชาชนยังต้องรับภาระหนักจากภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง เพราะนอกจากรัฐบาลใช้คนจนเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ รับบาลยังใช้คนจนในการหารายได้อีกต่อหนึ่ง
อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะนำเงินก้อนนี้มาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ 5 โครงการที่รัฐบาลได้ระบุไว้ แต่เงินเหล่านี้เอามากระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผลหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้คนจนชั้นรากหญ้า ‘วันนี้เรากำลังเผชิญเศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่ง ปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญนั้นเป็นปัญหาของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ควบคู่กับปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น วันนี้ถ้ารัฐบาลเอาเงินไปแจกจ่ายให้พี่น้องจับจ่ายสิ่งที่ตามมาก็คือ แรงกดที่เงินเฟ้อ นอกจากนั้นยังมีแรงกดดันให้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้าของรัฐบาลในช่วงไตรมาสแรก จึงมีผลประกอบการที่ขาดดุล’ นายศิริโชค
นายศิริโชค กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าเงิน 50,000 ล้าน ที่รัฐบาลจัดเก็บน่าจะเอาไปใช้ในการทำประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า เช่น ใช้หนี้กองทุนน้ำมัน ซึ่งรัฐบาลใช้กองทุนน้ำมันในการตรึงราคาน้ำมัน ถึงเกือบ 80,000 ล้านบาท ‘ถ้าพูดในแง่ของเศรษศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นนั้นจริงๆ เป็นตัวเลขที่หรอก เพราะการที่รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันทำให้น้ำมันราคาถูกลง ประชาชนก็ไปซื้อน้ำมัน และรัฐบาลก็หารายได้จากภาษีที่เก็บจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากหนี้นอกงบประมาณ’ นายศิริโชคกล่าว
ส.ส.สงขลา กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ เพิ่มความเข้มข้นทางนโยบายทางการเงิน โดยรัฐบาลต้องปรับดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร และดูอัตราดอกเบี้ยให้สู่สภาวะปกติ หรือระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ และเร่งการลงทุนของภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่สร้างโครงการขั้นพื้นฐาน เพราะเป็นการลงทุนที่ยั่งยืนและมั่นคง และเมื่อพิจารณาภาพรวมของเศรษฐกิจและประสิทธิภาพที่จะได้รับจากการใช้เงินก้อนนี้ตนรู้สึกเป็นห่วง ‘อยากขอร้องให้รัฐบาลทบทวน อย่าปู้ยี่ปู้ยำ กับเงินก้อนนี้ เงินนี้เป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชนไม่ใช่เงินของท่าน เงิน 50,000 อาจจะมีค่าไม่มากนักสำหรับคนบางคน แต่มันมีค่ามากสำหรับครอบครัวคนจนอีกหลายล้านครอบครัวในประเทศไทย ทุกบาททุกสตางค์คือหยาดเหงื่อ หยาดน้ำตา ของเขา วันนี้การสร้างหนี้ไม่ใช่เป็นการสร้างชาติ การสร้างหนี้เป็นการทำลายชาติ ตนจึงไม่สามารถรับหลักการร่างพ.ร.บ.เพิ่มเติม ประจำปี 2548 ได้’ ส.ส.สงขลา กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20 เม.ย. 2548--จบ--
-ดท-
ในส่วนของกรมสรรพากรนั้นรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้เกินเป้าถึง 70,000 ล้านบาท ในส่วนของกรมศุลกากร 3,100 ล้านบาท เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถเก็บภาษีได้เกินเป้าในปี 2548 แต่ปัญหาที่ตามมาคือว ทำไมรัฐบาลจึงสามารถจัดเก็บภาษีรายได้เพิ่มขึ้น ในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง และเหตุผลของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงก็มีหลายปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งปัจจัยภายนอกก็มาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงประกอบกับราคาน้ำมันที่สูงเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยภายในมาจาก การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งแต่จะปั้นตัวเลขให้ขยายตัวเชิงปริมาณไม่เน้นคุณภาพ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย ทำให้คนไทยเกือบทั้งประเทศเป็นหนี้
ตนเคยอภิปรายไปแล้วในช่วงการแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ถูกรัฐบาลทำรุดไป 2 เครื่อง คือ การบริโภคภายในประเทศและการส่งออก แต่วันนี้เครื่องจักรที่ตนคิดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็คือการลงทุนของภาคเอกชน ก็กำลังชำรุดเช่นกัน
ดัชนีต่างๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ ต่างชี้ไปในทิศทางที่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศเรากำลังชะลอตัว เช่น ผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 138.4 ลดลงจากปีก่อน 1.6% ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 3 ปี 2 เดือน นอกจากนี้ความเชื่อมั่นลดลงไปอยู่ที่ 47.1 ถือว่าเป็นดัชนีที่ต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 การลงทุนภาคเอกชนลดลงจากเดือนมากราคมขยายตัวเพียงแค่ 2%
ดัชนีของการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงมาอยูที่ 65.2% จากเดือนมากราคมที่มอัตรา 70.9% ถามว่ารัฐบาลทราบเรื่องนี้หรือไม่ ตนเชื่อว่ารัฐบาลทราบดี เพราะถ้าไปดูในเอกสารงบประมาณก็ต้องยอมรับว่า ข้อสมมุติฐานทางเศรษฐฏิจของรัฐบาลเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่รัฐบาลเคยประมาณการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตรา 7.5% ตอนนี้รัฐบาลยอมรับความจริงครึ่งหนึ่ง บอกว่าอาจจะลดเหลือ 5.5 — 6.5 แต่ตนไม่มั่นใจ เพราะว่าราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับ 40 หรือ 45 เหรียญ/บาเรล ตลอดทั้งปี ตนเชื่อว่าเศรษฐฏิจไม่น่าจะขยายตัวเกิน 4% และอัตราเงินเฟ้ออาจจะพุ่งขึ้นถึงประมาณ 4-4.5% ปัญหาก็ตามมาว่า ทำไมรัฐบาลจึงสามารถจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ ในขณะที่ดัชนีต่างๆ ก็ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง
นอกจากนี้ยังแสดงชาร์ทแสดงตารางสถิติการจัดเก็บภาษีสรรพากรเบื้องต้นทั่วประเทศ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณถึงเดือนมีนาคม 2548 ซึ่งจะเห็นว่าในหมวดที่ 5 ซึ่งเป็นธุรกิจเฉพาะ รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีเกินเป้าถึง 11.11% แต่หมวด 4 เป็นหมวดภาษีมูลค่าเพิ่มรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีเกินเป้า 11.07% ทำไมรัฐบาลจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลให้คนไทยเป็นหนี้ อีกส่วนหนึ่งเพราะราคาน้ำมันสูงขึ้น เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ทุกลิตรที่ประชาชนซื้อ รัฐบาลก็จะมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
หมวดที่ 3 ภาษีเงินได้ปิโตเลียม รัฐบาลสามารถเก็บภาษีเพิ่ม 129.72% หมวดที่ 2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนหนึ่งมาจากผลประกอบการของบริษัท เช่น บริษัทปิโตเลี่ยม ‘แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ นิติบุคคลอื่นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รัฐบาลไม่ได้เพิ่มภาษีประชาชน แต่รัฐบาลรีดภาษีประชาชน เพราะประชาชนเดือดร้อนมาก เจ้าหน้าที่สรรพากรไปเยี่ยมร้านค้า ไปขอประเมินภาษีเพิ่ม จากเดิมอาจจะปีละ 2,000 เป็น 4,000 ถ้าไม่ยอมจ่าย สรรพากรจะยอมลงทุนเฝ้าหน้าร้าน ลงทุนนับชามก๋วยเตี๋ยว’ นายศิริโชคกล่าว
สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่น่าห่วง เพราะรัฐบบาลนอกจากได้เพิ่มจากราคาน้ำมันเพิ่มแล้ว ประชาชนยังต้องรับภาระหนักจากภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง เพราะนอกจากรัฐบาลใช้คนจนเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ รับบาลยังใช้คนจนในการหารายได้อีกต่อหนึ่ง
อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะนำเงินก้อนนี้มาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ 5 โครงการที่รัฐบาลได้ระบุไว้ แต่เงินเหล่านี้เอามากระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผลหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้คนจนชั้นรากหญ้า ‘วันนี้เรากำลังเผชิญเศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่ง ปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญนั้นเป็นปัญหาของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ควบคู่กับปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น วันนี้ถ้ารัฐบาลเอาเงินไปแจกจ่ายให้พี่น้องจับจ่ายสิ่งที่ตามมาก็คือ แรงกดที่เงินเฟ้อ นอกจากนั้นยังมีแรงกดดันให้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้าของรัฐบาลในช่วงไตรมาสแรก จึงมีผลประกอบการที่ขาดดุล’ นายศิริโชค
นายศิริโชค กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าเงิน 50,000 ล้าน ที่รัฐบาลจัดเก็บน่าจะเอาไปใช้ในการทำประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า เช่น ใช้หนี้กองทุนน้ำมัน ซึ่งรัฐบาลใช้กองทุนน้ำมันในการตรึงราคาน้ำมัน ถึงเกือบ 80,000 ล้านบาท ‘ถ้าพูดในแง่ของเศรษศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นนั้นจริงๆ เป็นตัวเลขที่หรอก เพราะการที่รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันทำให้น้ำมันราคาถูกลง ประชาชนก็ไปซื้อน้ำมัน และรัฐบาลก็หารายได้จากภาษีที่เก็บจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากหนี้นอกงบประมาณ’ นายศิริโชคกล่าว
ส.ส.สงขลา กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ เพิ่มความเข้มข้นทางนโยบายทางการเงิน โดยรัฐบาลต้องปรับดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร และดูอัตราดอกเบี้ยให้สู่สภาวะปกติ หรือระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ และเร่งการลงทุนของภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่สร้างโครงการขั้นพื้นฐาน เพราะเป็นการลงทุนที่ยั่งยืนและมั่นคง และเมื่อพิจารณาภาพรวมของเศรษฐกิจและประสิทธิภาพที่จะได้รับจากการใช้เงินก้อนนี้ตนรู้สึกเป็นห่วง ‘อยากขอร้องให้รัฐบาลทบทวน อย่าปู้ยี่ปู้ยำ กับเงินก้อนนี้ เงินนี้เป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชนไม่ใช่เงินของท่าน เงิน 50,000 อาจจะมีค่าไม่มากนักสำหรับคนบางคน แต่มันมีค่ามากสำหรับครอบครัวคนจนอีกหลายล้านครอบครัวในประเทศไทย ทุกบาททุกสตางค์คือหยาดเหงื่อ หยาดน้ำตา ของเขา วันนี้การสร้างหนี้ไม่ใช่เป็นการสร้างชาติ การสร้างหนี้เป็นการทำลายชาติ ตนจึงไม่สามารถรับหลักการร่างพ.ร.บ.เพิ่มเติม ประจำปี 2548 ได้’ ส.ส.สงขลา กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20 เม.ย. 2548--จบ--
-ดท-