เห็นความพยายามของรัฐบาลที่จะผลักดันนโยบายการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ และเห็นการเคลื่อนไหวคัดค้านของนิสิต นักศึกษา และคณาจารย์บางส่วน อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ความขัดแย้งในเรื่องนี้จะลุกลามบานปลายออกไป จนอาจจะทำให้การดำเนินการเรื่องนี้ไม่สัมฤทธิ์ผล
ในฐานะที่เคยเป็นผู้ผลักดันนโยบายนี้มาก่อน ทราบดีว่าเจตนา และเป้าหมายของการทำเรื่องนี้ ก็เพื่อให้ระบบการบริหารของมหาวิทยาลัยมีความคล่องตัว เหมาะสมกับภารกิจ เพื่อขับเคลื่อนให้มหาวิทยาลัยสามารถพัฒนา ก้าวหน้า ไปสู่ความเป็นเลิศ และขอยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การ “แปรรูป” ในความหมายที่ว่าทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นหน่วยงานเอกชน หรือมีเป้าหมายว่า จะเลิกการสนับสนุนมหาวิทยาลัย โดยให้มหาวิทยาลัย ต้อง “เลี้ยงตนเอง” อย่างที่มีการกล่าวกัน
ในขณะเดียวกัน จากการติดตามปัญหาของการผลักดันนโยบายนี้รวมถึง การติดตามสภาพปัญหาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ทำให้เข้าใจข้อท้วงติง และ ข้อห่วงใยของผู้คัดค้านเช่นเดียวกัน และมองเห็นว่าปัญหาจากหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เกิดการขาดความเชื่อมั่นในนโยบายนี้
ผมจึงอยากเสนอทางออกเพื่อเป็นคำตอบสำหรับความห่วงใยต่างๆที่มีการหยิบยกขึ้นมา และอยากเห็นรัฐบาลดำเนินการในเรื่องต่างๆดังต่อไปนี้ ก่อนที่จะมีการผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
๑.สร้างระบบการให้การอุดหนุนงบประมาณที่ชัดเจน โปร่งใส
ไม่ว่ามหาวิทยาลัยจะอยู่ในหรือนอกระบบ เป้าหมายที่สำคัญ คือ รัฐต้องไม่ปล่อยให้คนไทยไม่สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เพียงเพราะฐานะของครอบครัว นอกเหนือจากการจัดให้มีทุนการศึกษาและกองทุนกู้ยืมแล้ว การรับภาระค่าหน่วยกิจในสัดส่วนที่เหมาะสมยังเป็นสิ่งจำเป็น ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเรื่องหลักเกณฑ์ในการจัดสรรงบประมาณมากกว่า ปัญหาระบบการบริหารของมหาวิทยาลัย
ปัจจุบัน รัฐรับภาระต้นทุนการผลิตบัณฑิตอยู่ประมาณ ๓๐-๔๐% แต่ระบบการจัดงบประมาณยังขาดความแน่นอน และไม่โปร่งใสเท่าที่ควร รัฐบาลจึงควรใช้โอกาสนี้สะสางเรื่องนี้ โดยการตรากฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระ ทำหน้าที่ประเมินต้นทุนการผลิตบัณฑิตทุกสาขาและกำหนดให้รัฐบาลประกาศนโยบายการอุดหนุนอุดมศึกษา ว่าจะรับภาระต้นทุนในสัดส่วนเท่าใดในแต่ละสาขาวิชา โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสาขาที่มีคุณค่าสำหรับสังคม แต่มีผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ต่ำสำหรับมหาวิทยาลัยและผู้เรียน รวมทั้งสาขาขาดแคลน และใช้ตัวเลขต้นทุนและนโยบายดังกล่าว ประกอบกับตัวเลขจำนวนนิสิต นักศึกษา ในแต่ละสถาบัน เป็นเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณ
วิธีนี้ดูจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้การจัดงบประมาณสมเหตุสมผล มีหลักประกันว่าจะมีงบประมาณเพียงพอ ทำให้ประเด็นการผลักภาระให้นิสิต นักศึกษาหมดไป หากจะสามารถเพิ่มเติมการกำหนดเกณฑ์เรื่องงบประมาณเพื่อสนับสนุนการวิจัย และ การบริการ สังคมก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก
๒.สร้างหลักประกันเสรีภาพทางวิชาการ
ข้อห่วงใยที่สำคัญประการที่สอง คือ ความกังวลว่า ระบบการบริหารบุคลากร เมื่อออก
นอกระบบ ที่มีการประเมินและมีสัญญาจ้าง จะทำให้เกิดช่องว่างที่นำไปสู่การกลั่นแกล้งได้ อันจะส่งผลไปยังการมีเสรีภาพทางวิชาการ
เพื่อให้เกิดความมั่นใจในเรื่องนี้ รัฐบาลควรสร้างกลไกที่เป็นอิสระเพื่อคุ้มครอง และปกป้องเสรีภาพทางวิชาการของคณาจารย์ และเป็นกลไกอุทธรณ์ในกรณีที่มีการกลั่นแกล้ง รวมทั้งควรกำหนดโทษให้ชัดเจนในกรณีที่ผู้บริหารใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
๓.ประชาพิจารณ์ระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบุคลากร
ปัญหาความไม่เชื่อมั่นที่เกิดขึ้นอีกประการหนึ่ง คือ ความไม่ชัดเจน หรือ ความไม่พอใจที่มีต่อ การบริหารงานในระบบใหม่ ที่ผ่านมาระเบียบที่ใช้กับพนักงานมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความคล่องตัว ซึ่งควรจะทำให้ เงื่อนไขการจ้างบุคลากร ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของมหาวิทยาลัย และ บุคลากรแต่ละคน แต่กลับไปอิงระบบราชการอยู่ ความแตกต่างระหว่างบุคลากรสองประเภท จึงกลายเป็นเพียงว่า พนักงานได้เงินเดือนสูงกว่า แต่ได้สวัสดิการและมีความมั่นคงน้อยกว่า นอกจากนี้การกำหนดวิธีการเกี่ยวกับการประเมิน เช่นการกำหนดภาระงานในหลายแห่ง ควรจะต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ของชีวิตการทำงานของบุคลากรด้านวิชาการ การประชาพิจารณ์ในเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง เปิดใจกว้าง มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการประชาพิจารณ์ พระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยต่างๆ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการนั้น โดยเฉพาะสำหรับข้าราชการที่จะปรับเปลี่ยนสถานภาพนั้น ดูจะได้รับการแก้ไขไปบ้างแล้ว (บำเหน็จ บำนาญ กบข. เครื่องราชอิสริยาภรณ์) แต่สำหรับพนักงานมหาวิทยาลัย ยังคงสามารถที่จะปรับปรุงได้อีก เช่น การมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรวมสำหรับบุคลากรในทุกสถาบัน เป็นต้น
ข้อเสนอทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดความมั่นใจว่า การออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยนั้น จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่หลายฝ่ายวิตก หรือ มีวาระแอบแฝง แต่ยังเป็นการสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลที่พึงจะเกิดขึ้นในการบริหารของภาครัฐ และ มหาวิทยาลัย หากดำเนินการตามนี้ กระบวนการผลักดันนโยบายมหาวิทยาลัยในกำกับ น่าจะมีความราบรื่นและได้รับความยอมรับ ความเข้าใจมากขึ้นมาก แต่หากคำถามของผู้คัดค้านไม่มีคำตอบ หรือหลักประกัน ในที่สุดก็อาจทำให้การผลักดันนโยบายนี้ล้มเหลว หรือทำให้เกิดการบั่นทอนขวัญ และกำลังใจของบุคลากรชั้นนำของชาติโดยไม่จำเป็น
***************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ธ.ค. 2549--จบ--
ในฐานะที่เคยเป็นผู้ผลักดันนโยบายนี้มาก่อน ทราบดีว่าเจตนา และเป้าหมายของการทำเรื่องนี้ ก็เพื่อให้ระบบการบริหารของมหาวิทยาลัยมีความคล่องตัว เหมาะสมกับภารกิจ เพื่อขับเคลื่อนให้มหาวิทยาลัยสามารถพัฒนา ก้าวหน้า ไปสู่ความเป็นเลิศ และขอยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การ “แปรรูป” ในความหมายที่ว่าทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นหน่วยงานเอกชน หรือมีเป้าหมายว่า จะเลิกการสนับสนุนมหาวิทยาลัย โดยให้มหาวิทยาลัย ต้อง “เลี้ยงตนเอง” อย่างที่มีการกล่าวกัน
ในขณะเดียวกัน จากการติดตามปัญหาของการผลักดันนโยบายนี้รวมถึง การติดตามสภาพปัญหาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ทำให้เข้าใจข้อท้วงติง และ ข้อห่วงใยของผู้คัดค้านเช่นเดียวกัน และมองเห็นว่าปัญหาจากหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เกิดการขาดความเชื่อมั่นในนโยบายนี้
ผมจึงอยากเสนอทางออกเพื่อเป็นคำตอบสำหรับความห่วงใยต่างๆที่มีการหยิบยกขึ้นมา และอยากเห็นรัฐบาลดำเนินการในเรื่องต่างๆดังต่อไปนี้ ก่อนที่จะมีการผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
๑.สร้างระบบการให้การอุดหนุนงบประมาณที่ชัดเจน โปร่งใส
ไม่ว่ามหาวิทยาลัยจะอยู่ในหรือนอกระบบ เป้าหมายที่สำคัญ คือ รัฐต้องไม่ปล่อยให้คนไทยไม่สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เพียงเพราะฐานะของครอบครัว นอกเหนือจากการจัดให้มีทุนการศึกษาและกองทุนกู้ยืมแล้ว การรับภาระค่าหน่วยกิจในสัดส่วนที่เหมาะสมยังเป็นสิ่งจำเป็น ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเรื่องหลักเกณฑ์ในการจัดสรรงบประมาณมากกว่า ปัญหาระบบการบริหารของมหาวิทยาลัย
ปัจจุบัน รัฐรับภาระต้นทุนการผลิตบัณฑิตอยู่ประมาณ ๓๐-๔๐% แต่ระบบการจัดงบประมาณยังขาดความแน่นอน และไม่โปร่งใสเท่าที่ควร รัฐบาลจึงควรใช้โอกาสนี้สะสางเรื่องนี้ โดยการตรากฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระ ทำหน้าที่ประเมินต้นทุนการผลิตบัณฑิตทุกสาขาและกำหนดให้รัฐบาลประกาศนโยบายการอุดหนุนอุดมศึกษา ว่าจะรับภาระต้นทุนในสัดส่วนเท่าใดในแต่ละสาขาวิชา โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสาขาที่มีคุณค่าสำหรับสังคม แต่มีผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ต่ำสำหรับมหาวิทยาลัยและผู้เรียน รวมทั้งสาขาขาดแคลน และใช้ตัวเลขต้นทุนและนโยบายดังกล่าว ประกอบกับตัวเลขจำนวนนิสิต นักศึกษา ในแต่ละสถาบัน เป็นเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณ
วิธีนี้ดูจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้การจัดงบประมาณสมเหตุสมผล มีหลักประกันว่าจะมีงบประมาณเพียงพอ ทำให้ประเด็นการผลักภาระให้นิสิต นักศึกษาหมดไป หากจะสามารถเพิ่มเติมการกำหนดเกณฑ์เรื่องงบประมาณเพื่อสนับสนุนการวิจัย และ การบริการ สังคมก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก
๒.สร้างหลักประกันเสรีภาพทางวิชาการ
ข้อห่วงใยที่สำคัญประการที่สอง คือ ความกังวลว่า ระบบการบริหารบุคลากร เมื่อออก
นอกระบบ ที่มีการประเมินและมีสัญญาจ้าง จะทำให้เกิดช่องว่างที่นำไปสู่การกลั่นแกล้งได้ อันจะส่งผลไปยังการมีเสรีภาพทางวิชาการ
เพื่อให้เกิดความมั่นใจในเรื่องนี้ รัฐบาลควรสร้างกลไกที่เป็นอิสระเพื่อคุ้มครอง และปกป้องเสรีภาพทางวิชาการของคณาจารย์ และเป็นกลไกอุทธรณ์ในกรณีที่มีการกลั่นแกล้ง รวมทั้งควรกำหนดโทษให้ชัดเจนในกรณีที่ผู้บริหารใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
๓.ประชาพิจารณ์ระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบุคลากร
ปัญหาความไม่เชื่อมั่นที่เกิดขึ้นอีกประการหนึ่ง คือ ความไม่ชัดเจน หรือ ความไม่พอใจที่มีต่อ การบริหารงานในระบบใหม่ ที่ผ่านมาระเบียบที่ใช้กับพนักงานมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความคล่องตัว ซึ่งควรจะทำให้ เงื่อนไขการจ้างบุคลากร ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของมหาวิทยาลัย และ บุคลากรแต่ละคน แต่กลับไปอิงระบบราชการอยู่ ความแตกต่างระหว่างบุคลากรสองประเภท จึงกลายเป็นเพียงว่า พนักงานได้เงินเดือนสูงกว่า แต่ได้สวัสดิการและมีความมั่นคงน้อยกว่า นอกจากนี้การกำหนดวิธีการเกี่ยวกับการประเมิน เช่นการกำหนดภาระงานในหลายแห่ง ควรจะต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ของชีวิตการทำงานของบุคลากรด้านวิชาการ การประชาพิจารณ์ในเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง เปิดใจกว้าง มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการประชาพิจารณ์ พระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยต่างๆ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการนั้น โดยเฉพาะสำหรับข้าราชการที่จะปรับเปลี่ยนสถานภาพนั้น ดูจะได้รับการแก้ไขไปบ้างแล้ว (บำเหน็จ บำนาญ กบข. เครื่องราชอิสริยาภรณ์) แต่สำหรับพนักงานมหาวิทยาลัย ยังคงสามารถที่จะปรับปรุงได้อีก เช่น การมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรวมสำหรับบุคลากรในทุกสถาบัน เป็นต้น
ข้อเสนอทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดความมั่นใจว่า การออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยนั้น จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่หลายฝ่ายวิตก หรือ มีวาระแอบแฝง แต่ยังเป็นการสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลที่พึงจะเกิดขึ้นในการบริหารของภาครัฐ และ มหาวิทยาลัย หากดำเนินการตามนี้ กระบวนการผลักดันนโยบายมหาวิทยาลัยในกำกับ น่าจะมีความราบรื่นและได้รับความยอมรับ ความเข้าใจมากขึ้นมาก แต่หากคำถามของผู้คัดค้านไม่มีคำตอบ หรือหลักประกัน ในที่สุดก็อาจทำให้การผลักดันนโยบายนี้ล้มเหลว หรือทำให้เกิดการบั่นทอนขวัญ และกำลังใจของบุคลากรชั้นนำของชาติโดยไม่จำเป็น
***************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ธ.ค. 2549--จบ--