เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2549 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกสำนักเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุดชาย บุญชัย แกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ออกมาพาดพิงว่า มีการรับเงิน 15 ล้านจาก “พี่เทพ” แห่งพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ได้พูดคุยกัน เพราะว่าในพรรคมี 2 เทพ คือเทพเล็กคือตน กับเทพใหญ่ คือนายสุเทพ โดยเลขาธิการพรรคได้กล่าวปฎิเสธว่าไม่รู้จักกับกลุ่มคนเหล่านี้เลย ยิ่งกว่านั้นการที่นายสุดชาย อ้างว่านายชนาพัทธ์ ณ นคร เป็นคนนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกับตนนั้น ขอยืนยันว่าตนกับนายชนาพัทธ์ไม่รู้จักกัน รู้จักแต่เพียงคุณพ่อนายชนาพัทธ์ แต่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว รู้จักแต่ชื่อเสียงซึ่งเป็นอาจารย์ราชภัฏนครศรีธรรมราช
“คุณชนาพัทธ์เป็นคนเคลื่อนไหวอิสระ เป็นนักเคลื่อนไหวพเนจร เพราะฉะนั้นผมคิดว่าพรรคไม่มีความจำเป็นที่จะออกไปสนับสนุนเงินถึง 15 ล้าน และข้อเท็จจริงก็คือว่า พรรคเองไม่มีเงินมากเพียงพอที่จะไปใช้จ่ายหรือสนับสนุนในเรื่องที่ไร้สาระแบบนี้ และพรรคประชาธิปัตย์ทำการเมืองแบบเปิดเผย คือหมายความว่าถ้าสนับสนุนก็เปิดเผย ทำการเมืองแบบบนดินแบบที่แจ้ง ไม่ทำในที่มืดเพราะฉะนั้นประเด็นนี้ตัดไปได้เลยว่าเราไม่รู้จักและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวในวันที่ 10 ธันวาคม” นายเทพไทกล่าว
ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่นั้น นายเทพไทกล่าวว่า คงจะไม่ฟ้องร้องเพราะว่าเป็นการพูดกว้าง ๆ เพียงแต่ทำให้คนไขว้เขวแค่นั้นเอง และก็เป็นการทำลายกันเองในกลุ่มผู้เคลื่อนไหว ยังไม่พาดพิงมายังพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนว่าเป็นเทพไหน ถ้าหากว่าเป็นการระบุชื่อนามสกุลที่ชัดเจนและมีข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่านี้เราก็อาจจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
พร้อมกันนี้โฆษกสำนักเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เข้ามาจัดการเข้ามาดูแลความเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม เพราะเกรงว่าจะเกิดเป็นกรณีน้ำผึ้งหยดเดียว และสถานการณ์จะลุกลามไปจะทำให้เข้าทางคนที่สนับสนุนระบอบทักษิณอยู่เพราะยังเรียกร้องอยู่
สำหรับกรณีการจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 นายเทพไท กล่าวว่า ทุกปีได้มีการจัดงบประมาณให้กับกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองปีละ 300 ล้าน แต่ในปีนี้รัฐบาลได้ตัดงบส่วนนี้ไป ทำให้เกิดความสงสัยว่ารัฐบาลได้คำนึงถึงพรรคการเมืองอย่างไรบ้าง แม้ว่ารัฐบาลเองจะมองว่าปีนี้ไม่มีการเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองถูกประกาศของคปค. 2 ฉบับคือ ฉบับที่ 25 ฉบับที่ 27 ให้งดเว้นการทำกิจกรรมทางการเมืองจึงตัดงบส่วนนี้ไป จึงอยากจะเรียกร้องว่ารัฐบาลน่าควรจะมาดูแล เพราะนอกจากพรรคการเมือง 5 พรรคที่จะถูกยุบแล้วนั้นก็ยังมีพรรคการเมืองอีกหลายพรรค ซึ่งในขณะนี้มีพรรคการเมืองอยู่อีก 44 พรรค
“ถ้าหากว่ารัฐบาลชุดนี้รังเกียจได้ปฎิเสธการเมืองผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าระบอบประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง และพรรคการเมืองก็ต้องอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยและอยู่คู่กับการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นผมคิดว่ารัฐบาลน่าที่จะสนับสนุนตรงนี้ แม้ว่าในวันนี้ไม่มีอยู่ในแผนงานงบประมาณ แต่รัฐบาลก็สามารถที่จะแปรญัตติของรัฐบาลเพิ่มเติมได้” นายเทพไทกล่าว
โฆษกสำนักเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า กรณีการจัดงบให้กับสภานิติบัญญัติกับสภาร่างรัฐธรรมนูญไปดูงานต่างประเทศ โดยใช้งบประมาณนับ 10 ล้านบาท เป็นเรื่องน่าติดตาม ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือว่าหากกรรมการร่างสภาร่างรัฐธรรมนูญมีเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญค่อนข้างน้อยคงไม่มีเวลาที่จะต้องไปดูงาน และก็กรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปดูงานต่างประเทศเพื่อมาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นงบส่วนนี้คิดว่าเป็นการจัดตั้งขึ้นมาโดยเสียเปล่าและไม่มีความเหมาะสม จึงอยากให้รัฐบาลมาทบทวนในส่วนนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ธ.ค. 2549--จบ--
“คุณชนาพัทธ์เป็นคนเคลื่อนไหวอิสระ เป็นนักเคลื่อนไหวพเนจร เพราะฉะนั้นผมคิดว่าพรรคไม่มีความจำเป็นที่จะออกไปสนับสนุนเงินถึง 15 ล้าน และข้อเท็จจริงก็คือว่า พรรคเองไม่มีเงินมากเพียงพอที่จะไปใช้จ่ายหรือสนับสนุนในเรื่องที่ไร้สาระแบบนี้ และพรรคประชาธิปัตย์ทำการเมืองแบบเปิดเผย คือหมายความว่าถ้าสนับสนุนก็เปิดเผย ทำการเมืองแบบบนดินแบบที่แจ้ง ไม่ทำในที่มืดเพราะฉะนั้นประเด็นนี้ตัดไปได้เลยว่าเราไม่รู้จักและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวในวันที่ 10 ธันวาคม” นายเทพไทกล่าว
ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่นั้น นายเทพไทกล่าวว่า คงจะไม่ฟ้องร้องเพราะว่าเป็นการพูดกว้าง ๆ เพียงแต่ทำให้คนไขว้เขวแค่นั้นเอง และก็เป็นการทำลายกันเองในกลุ่มผู้เคลื่อนไหว ยังไม่พาดพิงมายังพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนว่าเป็นเทพไหน ถ้าหากว่าเป็นการระบุชื่อนามสกุลที่ชัดเจนและมีข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่านี้เราก็อาจจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
พร้อมกันนี้โฆษกสำนักเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เข้ามาจัดการเข้ามาดูแลความเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม เพราะเกรงว่าจะเกิดเป็นกรณีน้ำผึ้งหยดเดียว และสถานการณ์จะลุกลามไปจะทำให้เข้าทางคนที่สนับสนุนระบอบทักษิณอยู่เพราะยังเรียกร้องอยู่
สำหรับกรณีการจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 นายเทพไท กล่าวว่า ทุกปีได้มีการจัดงบประมาณให้กับกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองปีละ 300 ล้าน แต่ในปีนี้รัฐบาลได้ตัดงบส่วนนี้ไป ทำให้เกิดความสงสัยว่ารัฐบาลได้คำนึงถึงพรรคการเมืองอย่างไรบ้าง แม้ว่ารัฐบาลเองจะมองว่าปีนี้ไม่มีการเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองถูกประกาศของคปค. 2 ฉบับคือ ฉบับที่ 25 ฉบับที่ 27 ให้งดเว้นการทำกิจกรรมทางการเมืองจึงตัดงบส่วนนี้ไป จึงอยากจะเรียกร้องว่ารัฐบาลน่าควรจะมาดูแล เพราะนอกจากพรรคการเมือง 5 พรรคที่จะถูกยุบแล้วนั้นก็ยังมีพรรคการเมืองอีกหลายพรรค ซึ่งในขณะนี้มีพรรคการเมืองอยู่อีก 44 พรรค
“ถ้าหากว่ารัฐบาลชุดนี้รังเกียจได้ปฎิเสธการเมืองผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าระบอบประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง และพรรคการเมืองก็ต้องอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยและอยู่คู่กับการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นผมคิดว่ารัฐบาลน่าที่จะสนับสนุนตรงนี้ แม้ว่าในวันนี้ไม่มีอยู่ในแผนงานงบประมาณ แต่รัฐบาลก็สามารถที่จะแปรญัตติของรัฐบาลเพิ่มเติมได้” นายเทพไทกล่าว
โฆษกสำนักเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า กรณีการจัดงบให้กับสภานิติบัญญัติกับสภาร่างรัฐธรรมนูญไปดูงานต่างประเทศ โดยใช้งบประมาณนับ 10 ล้านบาท เป็นเรื่องน่าติดตาม ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือว่าหากกรรมการร่างสภาร่างรัฐธรรมนูญมีเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญค่อนข้างน้อยคงไม่มีเวลาที่จะต้องไปดูงาน และก็กรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปดูงานต่างประเทศเพื่อมาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นงบส่วนนี้คิดว่าเป็นการจัดตั้งขึ้นมาโดยเสียเปล่าและไม่มีความเหมาะสม จึงอยากให้รัฐบาลมาทบทวนในส่วนนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ธ.ค. 2549--จบ--