วันนี้( 13 พค.)นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวกรณีที่นายวีระ มุสิกพงษ์ แกนนำพรรคไทยรักไทยยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยกล่าวหาว่านายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและนายธารินทร์ นิมมาน เหมินท์ อดีตรมว.คลัง ของพรรคประชาธิปัตย์ มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำงานขององค์กรปฎิรูประบบสถาบันการเงิน(ปรส.)
โดยนายพิเชษฐ กล่าวว่าตนได้ส่งคนเข้าไปสอบถามและตรวจสอบข้อมูลจาก ดีเอสไอปรากฏว่า นายวีระไม่ได้กล่าวหาใดๆ เลย เพียงแต่เอาหนังสือที่เขียนโดยนายดุสิต ศิริวรรณไปยื่นให้กับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ แต่ไม่ได้กล่าวหาตัวบุคคลใครทั้งสิ้น "เพียงแต่บอกว่าให้เร่งรัดติดตามเรื่องของ ปรส. แต่นายวีระกลับออกมาแถลงข่าวบิดเบือน ว่ามาแจ้งความขอให้ดำเนินคดีกับนายชวน และนายธารินทร์ ซึ่งเป็นการสร้างพฤติกรรมเพื่อกลบข่าวอื่นที่พรรคไทยรักไทยกำลังเผชิญอยู่ ทั้งนี้คิดว่าถ้านายวีระได้ไปแจ้งความกล่าวหาจริง เราจำเป็นจะต้องดำเนินคดีกับนายวีระทันที แต่ปรากฏว่าไปเจอแต่ความว่างเปล่า"นายพิเชษฐ กล่าว
นายพิเชษฐ กล่าวว่า ปรส.เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ต.ค. 2540 ก่อนที่รัฐบาลชวน 2 จะเข้า บริหารประเทศ ซึ่งเป็นการตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และมีรัฐมนตรีในขณะนี้ ร่วมเป็นผู้ตั้งปรส.ขึ้นมาและมีอำนาจเด็ดขาดในการวินิจฉัย ซึ่งปรส.ได้ดำเนินการเรื่องนี้อยู่หลายปี และได้ปิดตัวลงตามพระราชกำหนดในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และก่อนที่ปรส.จะปิดการทำงานรัฐบาลก่อนนั้นไม่สามารถที่จะสอบสวน ซักถามการทำงาน ใดๆ ของปรส.เพราะยังไม่เสร็จภารกิจ แต่ภารกิจมาจบในรัฐบาลนี้ หาก ปรส.มีสิ่งใดบกพร่องทุจริต หรือกระทำการใดที่เอื้อประโยชน์ต่อใครเป็นหน้าที่ของรัฐบาลนี้จะต้องชำระสะสาง "แต่ 5 ปีกว่าแล้วรัฐบาลนี้ไม่เคยเข้าไปแตะต้องปรส.เลย พวกผมมีความต้องการว่า เมื่อ ปิด ปรส.ไปแล้วก็ควรที่จะต้องทำให้ชัดเจน ว่าที่ปรส.ทำงานมามีอะไรทุจริตและมีใครไปแสวงหา ผลประโยชน์หรือไม่มีการกระทำอะไรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเมื่อยกเลิกองค์กรไปแล้ว รัฐบาลจะต้องตรวจสอบปรส.แต่ทำไมรัฐบาลนี้ไม่ทำเลย" อดีต รมช.คลัง กล่าว
นายพิเชษฐ กล่าวว่า มีข้อมูลประกอบที่น่าเชื่อว่าหลังจากมี ปรส.ให้ปิดถาวร 56 สถาบัน การเงิน มีเพียง 2 สถาบันการเงินที่เปิดได้ และ 1ใน 2 สถาบันการเงินที่เปิดได้ คือสถาบันการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับเครือญาติในรัฐบาลนี้ และปัญหาหลายอย่างก็เกิดขึ้นบนความเดือดร้อนของประชาชน จากสถาบันการเงิน 1 ใน 2 ที่เปิดซึ่งมีรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้เกี่ยวข้องเป็นเจ้าของอยู่ ต่อมาความ เสียหายของปรส.ส่วนหนึ่งที่บอกว่าเอาทรัพย์สินเกือบ 1 ล้านล้านบาท มาขายได้เพียงแค่ประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท และพยายามนำสิ่งเหล่านี้มากล่าวหา
" แท้จริงแล้วทรัพย์สิน 1 ล้านล้านบาท คือหนี้เสียทางบัญชีที่มีมูลค่ารวมกันทั้งหมดประมาณ 1 ล้านล้านบาท แต่หนี้เสียหรือหนี้เน่าดังกล่าวเกิดจากรัฐบาลในขณะนั้นไปอุ้ม 56 สถาบันการเงิน แล้วปล่อยเงินกู้ ปล่อยสินเชื่อแบบต่างๆ โดยปราศจากหลักประกันที่มั่นคง เพราะฉะนั้นหนี้เหล่านี้ซึ่ง มีตัวทรัพย์สินเพียงแต่ 2 แสนกว่าล้านบาทขายออกไปสุดท้ายก็ได้ยอดเพียงแต่ 2 แสนกว่าล้านบาท และถ้าผิดวันนี้รัฐบาลจะต้องเร่งรัดติดตามเพราะปรส.ได้ยุบไปแล้ว"นายพิเชษฐ กล่าว นายพิเชษฐ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่ต้องฝากไปยังรัฐบาลคือในช่วงจัดการทรัพย์สินมีการตั้ง บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.)ขึ้นมา เอาทรัพย์สินที่มีจำนวนหนึ่งไปรวมกองกันไว้แล้วบริหารโดย บสท. ทรัพย์สินกี่แห่งในบสท.ที่มีการจัดการโดยทุจริต เอื้อประโยชน์แต่ผู้เกี่ยวข้องทางการเมือง
ทั้งนี้นายพิเชษฐ ยังตั้งคำถามว่า "มีการตัดหนี้จำนวน 8 พันกว่าล้านบาท เหลือ เพียงแค่ 2 พันล้านบาทให้แก่บริษัทอะไรหรือไม่ สุดท้ายมีทรัพย์สินมากกว่า 2 พันล้านบาทก็ยังคืน ส่วนเกินให้เขาแล้ว มีหรือไม่ที่บสท.ขายทรัพย์สินบางส่วนให้กับภรรยาของผู้ใหญ่ในรัฐบาลในที่ดินบางแปลงแถวรัชดา ในราคาผิดปกติ มีหรือไม่ที่บสท.ขายที่ดินบางแปลงในราคาถูกให้กับน้องสาวผู้ใหญ่ในรัฐบาลขณะนี้เอา ไปทำบ้านจัดสรรใหญ่โต ซึ่งนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ติดตามอยู่ขณะนี้ มีหรือไม่ที่บสท.ไปลดหนี้ให้กับน้องชายของผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาลเหลือเพียงแต่ประมาณ 20 กว่า เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาทรัพย์สินไปคืนให้เขา มีหรือไม่ที่บสท.ไปลดหนี้สินให้กับเพื่อนของผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาล ซึ่งประกอบกิจการใหญ่โตเกี่ยว กับกาแฟ เป็นหมื่น หมื่นล้านบาทเหลือเพียงแต่ 2 พันล้านบาท จนร่ำรวยไปเยอะแยะ สิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่รัฐบาลและดีเอสไอต้องไปติดตามไล่ล่าคนทุจริตออกมาให้ได้"
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 พ.ค. 2549--จบ--
โดยนายพิเชษฐ กล่าวว่าตนได้ส่งคนเข้าไปสอบถามและตรวจสอบข้อมูลจาก ดีเอสไอปรากฏว่า นายวีระไม่ได้กล่าวหาใดๆ เลย เพียงแต่เอาหนังสือที่เขียนโดยนายดุสิต ศิริวรรณไปยื่นให้กับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ แต่ไม่ได้กล่าวหาตัวบุคคลใครทั้งสิ้น "เพียงแต่บอกว่าให้เร่งรัดติดตามเรื่องของ ปรส. แต่นายวีระกลับออกมาแถลงข่าวบิดเบือน ว่ามาแจ้งความขอให้ดำเนินคดีกับนายชวน และนายธารินทร์ ซึ่งเป็นการสร้างพฤติกรรมเพื่อกลบข่าวอื่นที่พรรคไทยรักไทยกำลังเผชิญอยู่ ทั้งนี้คิดว่าถ้านายวีระได้ไปแจ้งความกล่าวหาจริง เราจำเป็นจะต้องดำเนินคดีกับนายวีระทันที แต่ปรากฏว่าไปเจอแต่ความว่างเปล่า"นายพิเชษฐ กล่าว
นายพิเชษฐ กล่าวว่า ปรส.เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ต.ค. 2540 ก่อนที่รัฐบาลชวน 2 จะเข้า บริหารประเทศ ซึ่งเป็นการตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และมีรัฐมนตรีในขณะนี้ ร่วมเป็นผู้ตั้งปรส.ขึ้นมาและมีอำนาจเด็ดขาดในการวินิจฉัย ซึ่งปรส.ได้ดำเนินการเรื่องนี้อยู่หลายปี และได้ปิดตัวลงตามพระราชกำหนดในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และก่อนที่ปรส.จะปิดการทำงานรัฐบาลก่อนนั้นไม่สามารถที่จะสอบสวน ซักถามการทำงาน ใดๆ ของปรส.เพราะยังไม่เสร็จภารกิจ แต่ภารกิจมาจบในรัฐบาลนี้ หาก ปรส.มีสิ่งใดบกพร่องทุจริต หรือกระทำการใดที่เอื้อประโยชน์ต่อใครเป็นหน้าที่ของรัฐบาลนี้จะต้องชำระสะสาง "แต่ 5 ปีกว่าแล้วรัฐบาลนี้ไม่เคยเข้าไปแตะต้องปรส.เลย พวกผมมีความต้องการว่า เมื่อ ปิด ปรส.ไปแล้วก็ควรที่จะต้องทำให้ชัดเจน ว่าที่ปรส.ทำงานมามีอะไรทุจริตและมีใครไปแสวงหา ผลประโยชน์หรือไม่มีการกระทำอะไรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเมื่อยกเลิกองค์กรไปแล้ว รัฐบาลจะต้องตรวจสอบปรส.แต่ทำไมรัฐบาลนี้ไม่ทำเลย" อดีต รมช.คลัง กล่าว
นายพิเชษฐ กล่าวว่า มีข้อมูลประกอบที่น่าเชื่อว่าหลังจากมี ปรส.ให้ปิดถาวร 56 สถาบัน การเงิน มีเพียง 2 สถาบันการเงินที่เปิดได้ และ 1ใน 2 สถาบันการเงินที่เปิดได้ คือสถาบันการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับเครือญาติในรัฐบาลนี้ และปัญหาหลายอย่างก็เกิดขึ้นบนความเดือดร้อนของประชาชน จากสถาบันการเงิน 1 ใน 2 ที่เปิดซึ่งมีรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้เกี่ยวข้องเป็นเจ้าของอยู่ ต่อมาความ เสียหายของปรส.ส่วนหนึ่งที่บอกว่าเอาทรัพย์สินเกือบ 1 ล้านล้านบาท มาขายได้เพียงแค่ประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท และพยายามนำสิ่งเหล่านี้มากล่าวหา
" แท้จริงแล้วทรัพย์สิน 1 ล้านล้านบาท คือหนี้เสียทางบัญชีที่มีมูลค่ารวมกันทั้งหมดประมาณ 1 ล้านล้านบาท แต่หนี้เสียหรือหนี้เน่าดังกล่าวเกิดจากรัฐบาลในขณะนั้นไปอุ้ม 56 สถาบันการเงิน แล้วปล่อยเงินกู้ ปล่อยสินเชื่อแบบต่างๆ โดยปราศจากหลักประกันที่มั่นคง เพราะฉะนั้นหนี้เหล่านี้ซึ่ง มีตัวทรัพย์สินเพียงแต่ 2 แสนกว่าล้านบาทขายออกไปสุดท้ายก็ได้ยอดเพียงแต่ 2 แสนกว่าล้านบาท และถ้าผิดวันนี้รัฐบาลจะต้องเร่งรัดติดตามเพราะปรส.ได้ยุบไปแล้ว"นายพิเชษฐ กล่าว นายพิเชษฐ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่ต้องฝากไปยังรัฐบาลคือในช่วงจัดการทรัพย์สินมีการตั้ง บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.)ขึ้นมา เอาทรัพย์สินที่มีจำนวนหนึ่งไปรวมกองกันไว้แล้วบริหารโดย บสท. ทรัพย์สินกี่แห่งในบสท.ที่มีการจัดการโดยทุจริต เอื้อประโยชน์แต่ผู้เกี่ยวข้องทางการเมือง
ทั้งนี้นายพิเชษฐ ยังตั้งคำถามว่า "มีการตัดหนี้จำนวน 8 พันกว่าล้านบาท เหลือ เพียงแค่ 2 พันล้านบาทให้แก่บริษัทอะไรหรือไม่ สุดท้ายมีทรัพย์สินมากกว่า 2 พันล้านบาทก็ยังคืน ส่วนเกินให้เขาแล้ว มีหรือไม่ที่บสท.ขายทรัพย์สินบางส่วนให้กับภรรยาของผู้ใหญ่ในรัฐบาลในที่ดินบางแปลงแถวรัชดา ในราคาผิดปกติ มีหรือไม่ที่บสท.ขายที่ดินบางแปลงในราคาถูกให้กับน้องสาวผู้ใหญ่ในรัฐบาลขณะนี้เอา ไปทำบ้านจัดสรรใหญ่โต ซึ่งนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ติดตามอยู่ขณะนี้ มีหรือไม่ที่บสท.ไปลดหนี้ให้กับน้องชายของผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาลเหลือเพียงแต่ประมาณ 20 กว่า เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาทรัพย์สินไปคืนให้เขา มีหรือไม่ที่บสท.ไปลดหนี้สินให้กับเพื่อนของผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาล ซึ่งประกอบกิจการใหญ่โตเกี่ยว กับกาแฟ เป็นหมื่น หมื่นล้านบาทเหลือเพียงแต่ 2 พันล้านบาท จนร่ำรวยไปเยอะแยะ สิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่รัฐบาลและดีเอสไอต้องไปติดตามไล่ล่าคนทุจริตออกมาให้ได้"
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 พ.ค. 2549--จบ--