วันนี้(4 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.อุดรธานี เขต 2 ที่ส่งผู้สมัครร่วมกัน 3 พรรคในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า การไปช่วยหาเสียงได้ปรึกษากันแล้ว ซึ่งทางพรรคมหาชนก็ได้ระบุว่าอยากให้มีการไปรณรงค์เคลื่อนไหวในฐานะของการเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้นตนและสมาชิกของพรรคก็จะ ไปช่วยหาเสียง และถ้ามีการปราศรัยใหญ่ก็จะร่วมมือกันอย่างเต็มที่ รวมทั้งพรรคชาติไทยด้วย เพราะเป็นการตัดสินใจหลังจากการหารือร่วมกัน รวมทั้งขอให้ ส.ส.ทุกท่านของพรรคประชาธิปัตย์สละเวลาในการไปช่วยเดินหาเสียงด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจกับทิศทางของพรรคมหาชนมากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนที่พรรคมหาชนหารือมา ก็มีการพูดกันชัดเจนว่า เมื่อส่งในนามพรรคร่วมฝ่ายค้านก็หมายความว่า พรรคมหาชนก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหัวหน้าพรรคมหาชนก็ยืนยันเช่นนั้น ซึ่งท่านก็ยอมรับว่ามีปัญหาในส่วนของ ส.ส.ปัจจุบันอยู่ แต่ท่าทีที่แสดงออกก็ยืนยันถึงการเดินหน้าในการเป็นพรรคฝ่ายค้าน อีกทั้งผู้สมัครซึ่งลงสมัครในเงื่อนไขนี้ โดยมีพรรคร่วมฝ่ายค้านไปช่วยหาเสียง ตนคิดว่าถ้าเข้ามาได้เขาก็ต้องเต็มที่กับการเป็นฝ่ายค้าน
เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีผลชี้วัดทางการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังเร็วเกินไป ตอนนี้ยังไม่เปิดรับสมัครเลย ไว้เปิดรับสมัคร มีบรรยากาศของการแข่งขันก่อน จากนี้ถึงวันเลือกตั้งก็นานพอสมควร เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งวิเคราะห์อะไรล่วงหน้า ให้ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายในระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่าผลของการอภิปรายจะช่วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ทราบ เพราะว่าเงื่อนไขของการแข่งขันทางการเมืองไปกำหนดล่วงหน้าฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ในภาวะของการเลือกตั้งซ่อมก็มีการแข่งขันในลักษณะของเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล แต่ก็ถือว่าฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบ เพราะเป็นพื้นที่ที่คราวที่แล้วฝ่ายรัฐบาลได้คะแนนเยอะ แต่เราก็หวังว่าประชาชนส่วนหนึ่งที่ตอบรับการทำงานของฝ่ายค้านจะช่วยเพิ่มคะแนนเสียงให้ แต่จะเพียงพอที่จะชนะหรือไม่ก็ต้องดูกันอีกที
เมื่อถามว่ารัฐบาลฝ่ายรัฐบาลบอกว่าฝ่ายค้านรุมกินโต๊ะ ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า “ถ้าเกิดส่ง 3 พรรค ก็บอก 3 รุม 1 อีก มันแข่งขันกันธรรมดาหรอกครับ พวกเราไม่มีอะไรเลยในมือที่จะไปรุมกินโต๊ะใคร ขอให้รัฐบาลแข่งขันกันแบบเป็นธรรมดีกว่า” ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวและว่า เราทำหน้าที่ของเรา เลือกตั้งแต่ละครั้งสังคมต้องมีทางเลือกเท่านั้นเอง อย่าไปคิดวิเคราะห์หรือนำไปเป็นเงื่อนไขที่ต้องโต้แย้งอะไรกันมาก เพราะเป็นเรื่องปกติมากของระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่าคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ที่เพิ่มขึ้น หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กลับเข้าสู่ความหวังของประชาชนอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ความนิยมมีขึ้น มีลง ซึ่งตนย้ำกับสมาชิกตลอดว่า เรายังต้องทำงานหนักมาก มีอีกหลายเรื่องซึ่งถ้าเราจะเป็นคู่แข่งขันที่สมน้ำสมเนื้อในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เราต้องพิสูจน์ เพราะฉะนั้นเรื่องของการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ยังต้องทำอีกเยอะมาก แต่ว่าเสียงตอบรับที่ดีขึ้นถือเป็นกำลังใจและแรงกระตุ้นที่สำคัญที่ทำให้เราเดินต่อไปได้ “ผมก็จะย้ำสิ่งนี้ว่าเสียงตอบรับจะเป็นกำลังใจและแรงกระตุ้น และพรรคไม่อยู่ในฐานะที่จะไปตายใจในเรื่องอะไรทั้งสิ้น ข้างหน้ายังหนักมาก” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคประชาธิปัตย์เข้มแข็งพอที่จะต่อกรกับพรรคไทยรักไทย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า “มันไม่มีการต่อกรสู้รบปรบมือที่ไหน ยังไม่มีการเลือกตั้งทั่วไป แต่สิ่งที่ผมย้ำก็คือเมื่อเราเริ่มต้นจากจำนวนส.ส.น้อยมาก เราต้องเริ่มทำงานตั้งแต่วันนี้ และต้องทำงานหนักตลอด 3-4 ปีข้างหน้า”
เมื่อถามว่าผลจากการทำงานที่ผ่านมาเพียงพอที่จะไปสู่เป้าหมายใน 3 — 4 ปี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เฉพาะที่ผ่านมายังไม่เพียงพอ และมีอีกหลายอย่างที่ต้องเร่งทำ ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมายังสั้นมาก กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทำงานมาได้แค่ 4 เดือน ในกรอบระยะเวลาการทำงาน 4 ปี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.ค.2548--จบ--
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจกับทิศทางของพรรคมหาชนมากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนที่พรรคมหาชนหารือมา ก็มีการพูดกันชัดเจนว่า เมื่อส่งในนามพรรคร่วมฝ่ายค้านก็หมายความว่า พรรคมหาชนก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหัวหน้าพรรคมหาชนก็ยืนยันเช่นนั้น ซึ่งท่านก็ยอมรับว่ามีปัญหาในส่วนของ ส.ส.ปัจจุบันอยู่ แต่ท่าทีที่แสดงออกก็ยืนยันถึงการเดินหน้าในการเป็นพรรคฝ่ายค้าน อีกทั้งผู้สมัครซึ่งลงสมัครในเงื่อนไขนี้ โดยมีพรรคร่วมฝ่ายค้านไปช่วยหาเสียง ตนคิดว่าถ้าเข้ามาได้เขาก็ต้องเต็มที่กับการเป็นฝ่ายค้าน
เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีผลชี้วัดทางการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังเร็วเกินไป ตอนนี้ยังไม่เปิดรับสมัครเลย ไว้เปิดรับสมัคร มีบรรยากาศของการแข่งขันก่อน จากนี้ถึงวันเลือกตั้งก็นานพอสมควร เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งวิเคราะห์อะไรล่วงหน้า ให้ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายในระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่าผลของการอภิปรายจะช่วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ทราบ เพราะว่าเงื่อนไขของการแข่งขันทางการเมืองไปกำหนดล่วงหน้าฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ในภาวะของการเลือกตั้งซ่อมก็มีการแข่งขันในลักษณะของเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล แต่ก็ถือว่าฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบ เพราะเป็นพื้นที่ที่คราวที่แล้วฝ่ายรัฐบาลได้คะแนนเยอะ แต่เราก็หวังว่าประชาชนส่วนหนึ่งที่ตอบรับการทำงานของฝ่ายค้านจะช่วยเพิ่มคะแนนเสียงให้ แต่จะเพียงพอที่จะชนะหรือไม่ก็ต้องดูกันอีกที
เมื่อถามว่ารัฐบาลฝ่ายรัฐบาลบอกว่าฝ่ายค้านรุมกินโต๊ะ ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า “ถ้าเกิดส่ง 3 พรรค ก็บอก 3 รุม 1 อีก มันแข่งขันกันธรรมดาหรอกครับ พวกเราไม่มีอะไรเลยในมือที่จะไปรุมกินโต๊ะใคร ขอให้รัฐบาลแข่งขันกันแบบเป็นธรรมดีกว่า” ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวและว่า เราทำหน้าที่ของเรา เลือกตั้งแต่ละครั้งสังคมต้องมีทางเลือกเท่านั้นเอง อย่าไปคิดวิเคราะห์หรือนำไปเป็นเงื่อนไขที่ต้องโต้แย้งอะไรกันมาก เพราะเป็นเรื่องปกติมากของระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่าคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ที่เพิ่มขึ้น หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กลับเข้าสู่ความหวังของประชาชนอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ความนิยมมีขึ้น มีลง ซึ่งตนย้ำกับสมาชิกตลอดว่า เรายังต้องทำงานหนักมาก มีอีกหลายเรื่องซึ่งถ้าเราจะเป็นคู่แข่งขันที่สมน้ำสมเนื้อในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เราต้องพิสูจน์ เพราะฉะนั้นเรื่องของการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ยังต้องทำอีกเยอะมาก แต่ว่าเสียงตอบรับที่ดีขึ้นถือเป็นกำลังใจและแรงกระตุ้นที่สำคัญที่ทำให้เราเดินต่อไปได้ “ผมก็จะย้ำสิ่งนี้ว่าเสียงตอบรับจะเป็นกำลังใจและแรงกระตุ้น และพรรคไม่อยู่ในฐานะที่จะไปตายใจในเรื่องอะไรทั้งสิ้น ข้างหน้ายังหนักมาก” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคประชาธิปัตย์เข้มแข็งพอที่จะต่อกรกับพรรคไทยรักไทย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า “มันไม่มีการต่อกรสู้รบปรบมือที่ไหน ยังไม่มีการเลือกตั้งทั่วไป แต่สิ่งที่ผมย้ำก็คือเมื่อเราเริ่มต้นจากจำนวนส.ส.น้อยมาก เราต้องเริ่มทำงานตั้งแต่วันนี้ และต้องทำงานหนักตลอด 3-4 ปีข้างหน้า”
เมื่อถามว่าผลจากการทำงานที่ผ่านมาเพียงพอที่จะไปสู่เป้าหมายใน 3 — 4 ปี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เฉพาะที่ผ่านมายังไม่เพียงพอ และมีอีกหลายอย่างที่ต้องเร่งทำ ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมายังสั้นมาก กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทำงานมาได้แค่ 4 เดือน ในกรอบระยะเวลาการทำงาน 4 ปี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.ค.2548--จบ--