แท็ก
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ประเทศสิงคโปร์
กระทรวงการคลัง
รัฐวิสาหกิจ
รัฐมนตรี
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยถึงผลการจัดงานขยายฐานการลงทุนจากต่างประเทศ (Road Show) ในระหว่างวันที่ 13-14 กรกฎาคม 2549 ณ ประเทศสิงคโปร์ ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 11 แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อขยายฐานการลงทุนจากต่างประเทศของประเทศไทย โดยมีบริษัท Merrill Lynch จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมประสานการจัดงาน Road Show ในครั้งนี้ ภายใต้ชื่อ “THAI EQUITY 2006 INVESTOR FORUM” โดยสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อนักลงทุนสถาบันกว่า 100 รายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจไทย และทำให้นักลงทุนเข้าใจถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งซึ่งสะท้อนได้จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ พร้อมทั้งชี้แจงแนวทางการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจช่วงระหว่างรอการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทั้งนี้ สุนทรพจน์ของรัฐมนตรีฯ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2549 จะเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 4.0 ในขณะที่ปี 2550 เศรษฐกิจไทยอาจจะชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่อัตราร้อยละ 3.5 - 4.0 เป็นผลมาจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2550 ล่าช้าประมาณ 6 เดือน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเดือนมีนาคม 2551 ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในเดือนตุลาคม 2549 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีนโยบายรองรับผลกระทบ โดยเร่งรัดให้ส่วนราชการดำเนินการผูกพันงบลงทุนที่ยังเบิกจ่ายไม่แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2549 และเร่งรัดการใช้จ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในช่วงที่เหลือของปี 2549 ต่อเนื่องถึงปี 2550
กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวใน อัตราสูงขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5.0 ในปี 2551-2552 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนของภาครัฐที่กลับมาขยายตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะได้มีการวางแผนงบประมาณในระยะ 3 ปี (2550-2552) เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายการคลังที่เหมาะสมในอนาคต
รัฐมนตรีฯ ได้ชี้แจงต่อนักลงทุนต่างประเทศว่า ภาวะการเมืองของไทยมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยอย่างสันติวิธี ทั้งนี้ รัฐบาลรักษาการมีความพร้อมที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนตุลาคม 2549
รัฐมนตรีฯ ได้กล่าวเน้นถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งในรูปการลงทุนโดยตรง (Foreign direct investment) และการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุน (Portfolio investment) รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเปิดเสรีทางการค้า และมาตรการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน อันเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เศรษฐกิจสามารถไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ คณะนักลงทุนชั้นนำ (Platinum Investors) จำนวน 8 ราย ได้เข้าพบรัฐมนตรีฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพรวมทางเศรษฐกิจและโอกาสการลงทุนในประเทศไทย
2. กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้หารือกับนักลงทุนที่สนใจในภาวะเศรษฐกิจไทย ในหัวข้อ “Update on Thailand” โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำเสนอผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนความคืบหน้าภาพรวมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจรายสาขาหลักในช่วงปี 2548 - 2552 ประกอบด้วยระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ บ้านเอื้ออาทร คมนาคม โลจิสติกส์ และ พลังงาน รวมทั้งความคืบหน้าของนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (public - private - partnership)
ในการนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้นำเสนอแผนแม่บทพัฒนาตลาดทุนต่อนักลงทุน เพื่อให้ทราบถึงเป้าหมายและทิศทางการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งทราบว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีสินค้าเพื่อการลงทุนครบครัน ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์ โดยสินค้าตัวใหม่ที่ตลาดอนุพันธ์จะนำมาซื้อขาย คือ Interest Rate Futures
นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจและบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ 11 แห่ง ซึ่งเป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรมหลัก ๆ ได้แก่ ธนาคาร ขนส่งและโลจิสติกส์ สื่อและสิ่งพิมพ์ พลังงานและสาธารณูปโภค และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังมีรายชื่อต่อไปนี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงค์เคราะห์ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวมกันประมาณร้อยละ 25 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศจะได้รับทราบข้อมูลล่าสุดจากผู้แทนจากบริษัทในลักษณะ one-on-one meeting กว่า 140 การประชุมย่อยตลอดทั้งสองวัน
การจัดงานขยายฐานการลงทุนในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จด้วยดีโดยมีนักลงทุนสถาบันในสิงคโปร์ที่ให้ความมั่นใจในพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยและมีความสนใจในการลงทุนในประเทศไทย โดยนักลงทุนได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไทยและนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ และข้อมูลของรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนที่ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 66/2549 14 กรกฎาคม 49--
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อนักลงทุนสถาบันกว่า 100 รายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจไทย และทำให้นักลงทุนเข้าใจถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งซึ่งสะท้อนได้จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ พร้อมทั้งชี้แจงแนวทางการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจช่วงระหว่างรอการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทั้งนี้ สุนทรพจน์ของรัฐมนตรีฯ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2549 จะเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 4.0 ในขณะที่ปี 2550 เศรษฐกิจไทยอาจจะชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่อัตราร้อยละ 3.5 - 4.0 เป็นผลมาจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2550 ล่าช้าประมาณ 6 เดือน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเดือนมีนาคม 2551 ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในเดือนตุลาคม 2549 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีนโยบายรองรับผลกระทบ โดยเร่งรัดให้ส่วนราชการดำเนินการผูกพันงบลงทุนที่ยังเบิกจ่ายไม่แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2549 และเร่งรัดการใช้จ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในช่วงที่เหลือของปี 2549 ต่อเนื่องถึงปี 2550
กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวใน อัตราสูงขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5.0 ในปี 2551-2552 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนของภาครัฐที่กลับมาขยายตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะได้มีการวางแผนงบประมาณในระยะ 3 ปี (2550-2552) เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายการคลังที่เหมาะสมในอนาคต
รัฐมนตรีฯ ได้ชี้แจงต่อนักลงทุนต่างประเทศว่า ภาวะการเมืองของไทยมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยอย่างสันติวิธี ทั้งนี้ รัฐบาลรักษาการมีความพร้อมที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนตุลาคม 2549
รัฐมนตรีฯ ได้กล่าวเน้นถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งในรูปการลงทุนโดยตรง (Foreign direct investment) และการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุน (Portfolio investment) รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเปิดเสรีทางการค้า และมาตรการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน อันเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เศรษฐกิจสามารถไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ คณะนักลงทุนชั้นนำ (Platinum Investors) จำนวน 8 ราย ได้เข้าพบรัฐมนตรีฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพรวมทางเศรษฐกิจและโอกาสการลงทุนในประเทศไทย
2. กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้หารือกับนักลงทุนที่สนใจในภาวะเศรษฐกิจไทย ในหัวข้อ “Update on Thailand” โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำเสนอผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนความคืบหน้าภาพรวมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจรายสาขาหลักในช่วงปี 2548 - 2552 ประกอบด้วยระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ บ้านเอื้ออาทร คมนาคม โลจิสติกส์ และ พลังงาน รวมทั้งความคืบหน้าของนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (public - private - partnership)
ในการนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้นำเสนอแผนแม่บทพัฒนาตลาดทุนต่อนักลงทุน เพื่อให้ทราบถึงเป้าหมายและทิศทางการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งทราบว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีสินค้าเพื่อการลงทุนครบครัน ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์ โดยสินค้าตัวใหม่ที่ตลาดอนุพันธ์จะนำมาซื้อขาย คือ Interest Rate Futures
นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจและบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ 11 แห่ง ซึ่งเป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรมหลัก ๆ ได้แก่ ธนาคาร ขนส่งและโลจิสติกส์ สื่อและสิ่งพิมพ์ พลังงานและสาธารณูปโภค และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังมีรายชื่อต่อไปนี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงค์เคราะห์ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวมกันประมาณร้อยละ 25 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศจะได้รับทราบข้อมูลล่าสุดจากผู้แทนจากบริษัทในลักษณะ one-on-one meeting กว่า 140 การประชุมย่อยตลอดทั้งสองวัน
การจัดงานขยายฐานการลงทุนในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จด้วยดีโดยมีนักลงทุนสถาบันในสิงคโปร์ที่ให้ความมั่นใจในพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยและมีความสนใจในการลงทุนในประเทศไทย โดยนักลงทุนได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไทยและนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ และข้อมูลของรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนที่ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 66/2549 14 กรกฎาคม 49--